ถึงแม้เยวี่ยเจาหรานจะดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงได้ไปโดนเกล็ดย้อน [1] ที่สวี่ชิวเยวี่ยหวงที่สุดเข้าแล้ว ถึงอย่างไรการเกิดมาในตระกูลเล็กๆ สามัญ ทั้งมารดาก็เป็แค่ลูกอนุ เื่นี้สำหรับสวี่ชิวเยวี่ยแล้วเป็ความเ็ปที่ลึกที่สุด ความเจ็บนี้ได้กดอยู่ในก้นบึ้งจิตใจของสวี่ชิวเยวี่ยเสมอมา มันหยั่งรากลึก ไม่อาจลบเลือนออกไปได้ชั่วชีวิต
และเพื่อเปลี่ยนแปลงฐานะอันต้อยต่ำของตน ให้กลายเป็คนที่มีสถานะสูงส่งยิ่งขึ้น สวี่ชิวเยวี่ยถึงได้เดินทางจากบ้านเกิดมายังเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียว จุดประสงค์ก็คือ้าสานสัมพันธ์กับเยี่ยนอวิ๋นเฟย กลายเป็กุ้ยเชี่ยของเขา และเดินขึ้นไปยังจุดสูงสุดของชีวิตั้แ่นั้น
สิ่งที่ตนหวงที่สุด ถูกคนอื่นเอาออกมาเล่นสนุกอย่างง่ายดายเช่นนี้ อีกทั้งยังทิ่มแทงฐานะของตนอย่างโเี้ไร้ความปรานี คนเ้าคิดเ้าแค้นเช่นสวี่ชิวเยวี่ย พริบตาก็ได้ใส่ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ตรงหน้าเข้าบัญชีดำที่จงเกลียดจงชังที่สุดแล้ว...
“เ้า——!” นิ้วเรียวของสวี่ชิวเยวี่ยยยกขึ้นชี้ไปที่เยวี่ยเจาหรานโดยตรง นางโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ทว่าคำพูดต่อไปราวกับติดอยู่ในลำคอ จึงไม่อาจส่งเสียงออกมาได้
หันมาที่เยวี่ยเจาหราน เขากลับยังคงสบายใจเฉิบ เจตนาเดิมของเขานั้นไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยมากมายกับหญิงสาวคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่สวี่ชิวเยวี่ยเอาแต่ตักน้ำรดหัวตอ [2] ก่อาั้แ่ต้นจนจบ ลำบากจนเยวี่ยเจาหรานต้องตอบโต้กลับไป
ยิ่งกว่านั้นแม้เยวี่ยเจาหรานจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนศึกในจวนอย่างจริงจัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็ผู้ที่เคยเข้าชั้นเรียนกวดวิชาจากฮองเฮาองค์ปัจจุบันมาแล้ว... ฮองเฮาองค์ปัจจุบันคือใครน่ะหรือ? นั่นคือบุคคลผู้ทรงอิทธิพล ผู้พลิกฝ่ามือเป็เมฆา คว่ำฝ่ามือเป็พิรุณ [3] แห่งวังหลังอันปั่นป่วน หลังคลื่นมหึมาชะล้างเม็ดทราย หลงเหลือผู้ที่สามารถยืนอยู่บนจุดยอดสุดของพีระมิด ย่อมเป็มือฉมังของศึกในวัง เป็ยอดปรมาจารย์ของศึกในจวน
มีอาจารย์รุ่นใหญ่เป็ผู้เบิกเนตรให้เช่นนี้ ทั้งเยวี่ยเจาหรานก็เป็นักเรียนผู้มากพร์ ถึงอยากเรียนไม่เก่งก็ยังยากนัก ในเมื่อร่ำเรียนจนสำเร็จวิชาแล้ว หากไม่แสดงความสามารถจะมีประโยชน์อันใด? ดังนั้นสวี่ชิวเยวี่ยคงได้แต่ยอมรับความซวยของตน ใครใช้ให้นางมารังควานเยวี่ยเจาหรานกันล่ะ? พูดไปก็สมควรแล้ว
“เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย...” เยวี่ยเจาหรานแกล้งทำเป็กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา หยุดชะงักไปชั่วครู่จึงเอ่ยต่อ “เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยไม่ชอบหน้าตาของตนหรือ? แต่ข้ารู้สึกว่างามมากเลยนะ!”
สิ่งที่สวี่ชิวเยวี่ยไม่ชอบคืออะไร ในใจของเยวี่ยเจาหรานย่อมรู้ชัดเจน แต่หากจะเปรียบเื่หน้าหนาและฝีมือการแสดงล้ำเลิศ อย่าว่าแต่สวี่ชิวเยวี่ยเลย ต่อให้นักแสดงชื่อดังจางจื่ออี้อะไรนั่นมายืนอยู่ที่นี่ ก็ยังต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับเยวี่ยเจาหราน ถึงอย่างไรจางจื่ออี้ก็คงแสดงหญิงปลอมเป็ชายไม่ได้กระมัง?
“อา... พี่สะใภ้ล้อเล่นแล้ว...” สวี่ชิวเยวี่ยอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่แทบจะะเิเอาไว้ แล้วระบายเป็รอยจิกสองรอยบนฝ่ามือ สุดท้ายจึงเอ่ยออกไป “พี่สะใภ้คิดว่าดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว ชิวเยวี่ยยังพูดว่าไม่ชอบได้หรือเ้าคะ?”
เยวี่ยเจาหรานเลิกคิ้วโค้ง แย้มยิ้มเจิดจรัส ยังคิดจะเอ่ยอะไรอีกเล็กน้อย ทว่ากลับถูกรถม้าที่หยุดลงอย่างกะทันหันยุติศึกคารมที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลครั้งนี้ลง
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น...” เยวี่ยเจาหรานเอ่ยถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว สวี่ชิวเยวี่ยกลับไม่มีความคิดที่จะตอบเขาแม้แต่น้อย แต่กลับเอนตัวไปทางประตูรถม้าแทน พลางคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองคนขับรถม้าก็เปิดม่านประตูรถออก พร้อมเอ่ยอธิบาย “มาถึงเชิงเขาที่ตั้งของวัดจินติ่งแล้วขอรับ น่าเสียดายที่่นี้มีฝนตก ทางูเาเปียกลื่น เกรงว่ารถม้าคงขึ้นไปไม่ได้แล้วขอรับ” เมื่อเห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของคนขับรถ เยวี่ยเจาหรานและสวี่ชิวเยวี่ยก็รู้แก่ใจ น่ากลัวว่าวันนี้คงต้องออกแรงขาเดินขึ้นไปด้วยตัวเองแล้ว
เยวี่ยเจาหรานอย่างไรก็เป็บุรุษผู้หนึ่ง เขาไม่ได้แสดงความไม่เต็มใจกับเื่นี้มากมายนัก ขณะกำลังตบกระโปรงจะรีบลงจากรถแล้วเร่งเดินทาง เมื่อหันกลับมาก็พบว่าสวี่ชิวเยวี่ยยังอ้อยอิ่งอยู่ที่ประตูรถ ไม่ยอมลงเสียที
“หา? แล้วต้องเดินขึ้นไปไกลแค่ไหนล่ะ...” สวี่ชิวเยวี่ยเลิกม่านออกครึ่งหนึ่ง ดวงตามองหาเงาร่างของ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ โดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่สำเร็จ แต่นางกลับยังไม่ยอมแพ้
คนขับรถได้ยินเช่นนั้นก็เกาหัวอย่างรู้สึกผิดอย่างยิ่ง แล้วเอ่ยอีกครั้ง “เื่นั้นข้าเองก็บอกไม่ได้ คงไม่ใช่หนทางสั้นๆ เป็แน่ แต่ถึงอย่างไรก็ปลอดภัยกว่า คุณชายเองก็คำนึงถึงคุณหนูและฮูหยินน้อยขอรับ”
สวี่ชิวเยวี่ยท่าทางเหมือนยังคิดจะแย้งอีกครั้ง แต่เยวี่ยเจาหรานกลับไม่อาจนั่งนิ่งอยู่ได้อีก เขาเรวบกระโปรงตัวใหญ่ของตนอย่างลวกๆ แล้วก้มเดินไปยังประตู เอ่ยกับสวี่ชิวเยวี่ยที่ขวางประตูอยู่ “เปี่ยวเม่ย ขอทางหน่อย”
นี่มันสตรีจากตระกูลชั้นสูง์วิมานอะไรกัน? สวี่ชิวเยวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างพูดไม่ออก แล้วสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเยวี่ยเจาหรานเข้าพอดี เห็นเพียงสองมือของเยวี่ยเจาหรานยกชายกระโปรงของตนไว้สองข้าง แม้แต่รองเท้าปักลายก็โผล่พ้นออกมา สวี่ชิวเยวี่ยรู้สึกคลางแคลงใจยิ่ง นี่เป็การเลี้ยงดูลูกสาวของตระกูลขุนนางชั้นสูงหรือ?
นอกจากนี้ สวี่ชิวเยวี่ยผู้มีความคิดละเอียดอ่อนยังพบว่า... เท้าของ ‘เยวี่ยเยียนหราน’ ผู้นี้ ใหญ่ชะมัด!
ไม่มีเวลาถามไถ่อะไรมาก เยวี่ยเจาหรานพลันเห็นแววตาสวี่ชิวเยวี่ยที่จ้องมองตน หลังจากเลื่อนสายตาตามลงมา จึงพบว่าสิ่งที่สวี่ชิวเยวี่ยกำลังสำรวจอยู่ยามนี้… คาดไม่ถึงว่าจะเป็เท้าทั้งสองข้างของตน!
ดูท่าไม่ดีแล้ว! ในแววตาของเยวี่ยเจาหรานวาบประกายความตื่นตระหนกขึ้นมาชั่วขณะ เขาปล่อยกระโปรงลงในทันที ถึงอย่างไรก็นับว่าเยวี่ยเจาหรานที่มั่นอกมั่นใจในการปลอมตัวของตนก็มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือเท้าอันใหญ่โตคู่นี้ ต่อให้เบื้องหน้าตนจะอำพรางได้เหมือนกับเยวี่ยเยียนหรานน้องสาวของตนอย่างไร แต่เท้าใหญ่ที่อย่างน้อยก็เบอร์สี่สิบสามคู่นี้ก็ค่อนข้างทำให้ตนเสียความมั่นใจอยู่เหมือนกัน
“แค่กๆ ...” เยวี่ยเจาหรานรีบจัดกระโปรงของตนอย่างลนลาน พลางใช้เสียงไอกลบเกลื่อนความประหม่า สวี่ชิวเยวี่ยเองก็ละสายตากลับมา แล้วขยับตัวไปข้างหลังด้วยความไม่เต็มใจ เว้นที่ว่างให้เยวี่ยเจาหรานสามารถผ่านไปได้อย่างพอดิบพอดี
เยวี่ยเจาหรานไม่พูดมากความรีบลงจากรถ เดินทางโคลงเคลงมาตลอดทาง เเขาเองก็อุดอู้จะแย่แล้วเหมือนกัน ในชั่วขณะที่สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก เขาก็รีบเอาความอึดอัดใจที่เกือบจะถูกสวี่ชิวเยวี่ยพบความลับอันยิ่งใหญ่เมื่อครู่นี้โยนไปไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว...
“ฮูหยินกับเปี่ยวเสียวเจี่ยลงมาแล้วหรือยัง?”
ในขณะที่เยวี่ยเจาหรานกำลังสูดอากาศปลอดโปร่งอย่างสำราญใจอยู่นั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็จัดการกับม้าของตนเรียบร้อยแล้ว และเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พลางถามกับเด็กรับใช้ที่เดินตามอยู่ข้างกายเช่นนั้น เด็กรับใช้ขานรับแล้วมองไปรอบๆ เล็กน้อย ก่อนตอบว่าฮูหยินน้อยลงมาแล้ว แต่เปี่ยวเสียวเจี่ยยังไม่ได้ลง
“จะก่อเื่อะไรขึ้นมาอีกล่ะนั่น” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะเสียงเบา จากนั้นจึงขมวดคิ้วเดินไปทางรถม้านั้น “เปี่ยวเม่ย... เปี่ยวเม่ย...”
เพราะ ‘ชายหญิงแตกต่าง’ ถึงแม้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะมีฐานะเป็พี่ชายก็ต้องสงวนตัวบ้างเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงเพียงแค่ยืนอยู่นอกรถม้า ะโเรียกชื่อสวี่ชิวเยวี่ยเบาๆ คิดอยากจะถามสวิ่ชิวเยวี่ยว่าก่อเื่อะไร... ไม่สิ ว่ามีเื่ไม่สบายใจอะไร
เยวี่ยเจาหรานมองสวี่ชิวเยวี่ยที่โผล่หน้าเพียงครึ่งเดียวออกมาจากม่านประตูรถ นางพูดร่ำไรกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่พักใหญ่ คิดว่าสวี่ชิวเยวี่ยคงกำลังฟ้องตนอยู่ แต่ในใจเยวี่ยเจาหรานไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ถึงกับอยากจะกอดเผือกครึ่งชิ้นแล้วเริ่มการเป็ผู้ชมกินเผือกของตนขึ้นมาเลยทีเดียว...
มีเพียงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เกาหัวเงียบๆ อยู่พักใหญ่ แล้วจึงหันกลับมาโบกมือให้กับเยวี่ยเจาหรานที่กำลังกินเผือกอยู่ดีๆ “เยียนหราน... เ้ามานี่หน่อย!”
เชิงอรรถ
[1] เกล็ดย้อน (逆鳞) เป็เกล็ดใต้คอั ซึ่งหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ ัจะโกรธจัดและสังหารคนผู้นั้น
[2] ตักน้ำรถหัวตอ (屡教不改) หมายถึงอบรมสั่งสอนหลายครั้ง ก็ยังไม่ปรับปรุงแก้ไข
[3] หงายฝ่ามือเป็เมฆา คว่ำฝ่ามือเป็พิรุณ (翻手为云,覆手为雨) หมายถึงช่ำชองในการเล่นเล่ห์เพทุบาย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้