บุรุษผู้นั้นที่บ้านมีเงินสดสำรองเล็กน้อย แต่เป็คนเสเพลที่เข้าออกซ่องนางโลมหลับนอนใช้จ่ายเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่น
ที่บ้านมีคนรับใช้หญิงคนหนึ่ง แล้วยังถูกเขากระทำจนท้องโตอีกด้วย ปีที่แล้วคลอดบุตรสาวออกมาให้เขาหนึ่งคน ขณะนี้ยังเลี้ยงเด็กอยู่ที่บ้านอยู่เลย
จ้าวหงซานสอบถามเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับพวกเขาทีละคน ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนเป็ไปในทำนองเดียวกัน
ในเวลานั้นเขาโมโหจนอยากพุ่งเข้าไปในบ้านผู้ชายแล้วฟาดสักที
ได้ฟังข่าวคราวเช่นนี้สามีภรรยาครอบครัวสกุลจ้าวโมโหและโกรธเคืองก่อนเป็อย่างแรก พอหลังจากนั้นก็ทอดถอนใจ บุตรสาวดีๆ ตอนนี้แม้แต่การแต่งงานกับครอบครัวที่เหมาะสมก็ล้วนหาได้ยากยิ่ง ลิขิตฟ้าช่างรังแกคนนัก
แม่สื่อหวังก็รู้ว่าตนเองจัดการเื่นี้ได้ไม่ค่อยเหมาะสม แต่ของขวัญขอบคุณแม่สื่อที่คนครอบครัวนั้นเสนอให้สูงมาก แม่สื่อหวังจึงยึดเอาความคิดนี้มาลองเสนอดู เอ่ยขึ้นมาอย่างไร้ความมั่นใจ
ผู้ใดจะรู้ว่าพอเื่ราวเปิดเผย จะทำให้คนทั้งครอบครัวสกุลจ้าวโมโหขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นไม่มีข่าวคราวจากแม่สื่อหวังนานอยู่ระยะหนึ่ง
สองสามวันก่อน แม่สื่อหวังได้ปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน และยังนำพาข่าวคราวของคนหนึ่งครอบครัวมาด้วย
เมื่อพานซื่อฟังจบรู้สึกว่าสามารถลองพบกันได้
ผู้ชายเป็ชาวบ้านของหมู่บ้านกว่างอี อายุสามสิบแปด เปิดร้านเนื้อสัตว์อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน เขาเป็พ่อม่าย มีนาดอนสิบแปดหมู่ เป็ครอบครัวที่นับได้ว่าร่ำรวยของหมู่บ้านกว่างอี
ใต้หัวเข่ามีบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่ง บุตรสาวแต่งออกไปแล้ว ส่วนบุตรชายเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนส่วนตัว ภรรยาของเขาป่วยจนสิ้นใจไปเมื่อสามปีก่อน ชายผู้นี้รออยู่สามปีจึงได้เริ่มเอ่ยเื่การแต่งงานใหม่ขึ้นมา เขาเป็คนที่มีนิสัยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อย่างมาก
เขาเคยได้ยินเื่ของเหลียงหู่ แต่ไม่ได้ถอยเพราะเหตุผลเช่นนี้ กล่าวเพียงว่า้าตามหาสตรีที่อ่อนโยนและเฝ้าบ้านคนหนึ่ง หากดูตัวกันสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เขาก็ไม่สนเื่เมื่อก่อนของนาง
หลังสามีภรรยาชราหารือกันแล้ว คิดว่าคนผู้นี้พอนับว่าไว้ใจได้ จึงให้จ้าวหงซานไปหมู่บ้านกว่างอีสืบข่าวอีกสักรอบ
ผลของการสืบข่าวทำให้สามีภรรยาชราวางใจลงได้ หมู่บ้านกว่างอีเป็หมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ร้านเนื้อสัตว์ที่ชายผู้นั้นเปิดอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน จำนวนที่ขายของทุกวันไม่น้อย ปลูกบ้านหลังคามุงกระเบื้องใหญ่สี่ห้อง บุตรชายอายุสิบสองปีเรียนอยู่โรงเรียนส่วนตัวห้าปี ปีหน้าเตรียมไปสอบบัณฑิตเด็ก การวางตัวของชายผู้นั้นสุขุมนิสัยละมุนละม่อม ได้รับการชื่นชมจากชาวบ้านอย่างมาก
แต่น้ำเสียงที่จ้าวหงซานตอบคำถามของพวกเขา กลับดูไม่มีความสุขอยู่บ้าง น้องสาวของเขาอายุเหมือนช่อดอกไม้ [1] กลับต้องแต่งให้กับชายแก่อายุมากกว่านางสิบสามปี เขาจะเบิกบานได้อย่างไร
แต่ไม่เบิกบานก็ทำอะไรไม่ได้ น้องสาวยังเยาว์วัย มีคนรู้หนาวรู้ร้อน [2] อยู่เป็เพื่อนก็ต้องดีกว่าใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยวกระมัง
เมื่อสืบถามข่าวคราวที่ไว้ใจได้ออกมา พานซื่อเลยมาเอ่ยกับบุตรสาว
จ้างหงยู่เชื่อฟังคำพูดของบิดามารดามาโดยตลอด สามีภรรยาสูงวัยกลุ้มใจจนผมขาวเพื่อเื่ของนาง เป็การคิดเพื่อนางอย่างจริงใจ แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยคิดอกตัญญูต่อพวกเขาเลย
แต่ครั้งนี้... นางกลับลังเล
นางก้มศีรษะลง บิดแขนเสื้อ ไม่ยอมเอ่ยปากออกมา
“หงยู่ เ้าคิดอย่างไร? บอกกับแม่ได้หรือไม่?” พานซื่อถามเสียงเบา
“…” ศีรษะของจ้าวหงยู่ยิ่งก้มต่ำลงไปอีก
“โธ่เอ๋ย เ้าลูกคนนี้ ทำเป็ห่างเหินกับแม่ไปได้ มีคำพูดอะไรที่บอกไม่ได้กัน?” พานซื่อกระวนกระวายใจ
“ท่านแม่” จ้าวหงยู่เงยหน้าขึ้น ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ปลุกความกล้าขึ้น “ข้า… ข้าไม่ไปดูตัวเ้าค่ะ”
พานซื่อชะงักทันที คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวจะปฏิเสธ จึงรีบถามขึ้น “ทำไมล่ะ คนผู้นั้นข้าให้พี่ชายเ้าไปสืบถามมาแล้ว ไม่ได้นอกเหนือไปจากข่าวที่แม่สื่อหวังให้มาเลย แม้อายุมากไปหน่อย แต่เป็คนมีศีลธรรมดี พลาดครอบครัวนี้ไป ครอบครัวต่อไปไม่แน่ว่าจะดีกว่าเขาได้นะ”
จ้าวหงยู่ส่ายหน้า แล้วกัดริมฝีปากแน่น “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องถามแล้ว ถือว่าลูกเอาแต่ใจสักครั้งเถอะเ้าค่ะ”
กล่าวจบ นางก็หยัดกายลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ข้าขอกลับบ้านสกุลหูก่อน พวกท่านไม่ต้องเป็ทุกข์เพื่อข้าแล้วนะเ้าคะ”
“เฮ้อ”
พานซื่อมองจ้าวหงยู่ที่วิ่งออกจากลานบ้านหายวับไปกับตา แล้วถอนหายใจหนึ่งที
บางทีพวกเขาก็ไม่ควรบังคับลูกจริงๆ แต่คนที่เป็บิดามารดา มีอย่างที่ไหนจะไม่คิดเพื่อลูกบ้าง ไม่ถือโอกาสหาคนเคียงข้างเสียตอนยังสาวยังสวย เช่นนั้นต่อไปอายุมากแล้วผู้ใดจะมาดูแลนาง
...จ้าวขุยแทะลูกท้อ ทานจนมีความสุขอย่างมาก
“เสี่ยวขุย ลูกท้อมีอะไรอร่อยกัน พี่ซื้อลูกอมกับเกาเตี่ยนมาให้เ้ามากมาย เ้ามาดูสักหน่อยสิ” จ้าวไฉ่สยาชำเลืองมองผลไม้ครึ่งตะกร้าแวบหนึ่ง สกุลหูขี้เหนียวจริงๆ แบ่งผลไม้ให้เสี่ยวขุยเล็กน้อยแค่นี้เอง
จ้าวขุยหันไปมองบนใส่นางหนึ่งที ั้แ่เขาเข้าบ้านมาพี่สาวคนโตผู้นี้ของเขาก็กล่าวฉอดๆ ไม่จบสิ้น สกุลหูขี้เหนียวอะไรบ้างล่ะ วันหยุดทำความสะอาดโรงเรียนให้พวกเขาไปทำงานบ้างล่ะ ยิ่งมีเงินยิ่งตระหนี่บ้างล่ะ…
กล่าวต่างๆ นานามากมาย ด้วยท่าทางของหญิงขี้นินทาว่าร้าย จ้าวขุยอายุสิบสองปี เผชิญกับการไปโรงเรียนอย่างโชกโชนอยู่สามปี มีความคิดและการตัดสินใจเป็ของตัวเองนานแล้ว สำหรับพฤติกรรมโง่เขลาที่มีความเป็ผู้หญิงและเด็กเช่นนี้ของจ้าวไฉ่สยา ไม่อยากให้ความสนใจเป็อย่างมาก
“ท่านพี่ ทำไมท่านยังไม่กลับไปอีก หรือจะอยู่ค้างคืนที่บ้านหรือ?” จ้าวขุยมองสีท้องฟ้าอยู่แวบหนึ่ง
จ้าวไฉ่สยาลมหายใจสะดุดทันที นี่ยังห่างจากเวลาฟ้ามืดอีกตั้งนานนะ เ้าเด็กน่าตายนี่รังเกียจและรำคาญนางหรืออย่างไร
เถียนกุ้ยจือหยิบเสื้อผ้าชิ้นเล็กหนึ่งชุดออกมาจากบ้าน มองจ้าวขุยด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง “เสี่ยวขุย พี่สาวของเ้ากว่าจะกลับมาบ้านสักรอบได้ไม่ง่ายเลย ทำไมเ้าพูดจาเช่นนี้”
แต่จ้าวขุยกลับไม่เข้าใจ พร้อมกับส่งเสียงดังขึ้น “หาได้ยากอะไรล่ะ เดือนนี้เพิ่งกี่วันเอง นางกลับมาตั้งสองสามครั้งแล้วกระมัง ท่านลองไปถามในหมู่บ้านดูว่ามีอย่างที่ไหนที่บุตรสาวแต่งออกไปแล้วยังชอบกลับมาบ้านบิดามารดาบ่อยๆ เหมือนนางบ้าง”
เถียนกุ้ยจือชะงักงัน มองจ้าวไฉ่สยาที่กรุ่นโกรธจากความเสียใจ จึงรีบตวาดออกมา “กล่าวมั่วซั่วอะไรกัน พี่สาวเ้ามีใจคิดถึงคนในครอบครัว เ้าเด็กไม่มีสายตานี่ ไฉ่สยา อย่าไปเถียงกับน้องชายเ้าเลย เขายังเป็แค่เด็ก”
“ชิ” จ้าวขุยมองบนยกใหญ่ แทะลูกท้อและออกจากบ้านไปหาเพื่อนเล่น
“ไฉ่สยา นี่เป็เสื้อผ้าตอนเด็กของน้องชายเ้า ตอนดึกเ้าเข้านอนก็เก็บไว้ใต้หมอน ปีหน้าจะต้องคลอดเด็กชายตัวจ้ำม่ำได้แน่” เถียนกุ้ยจือยื่นเสื้อผ้าชิ้นเล็กในมือให้นางด้วยความเบิกบานใจ
จ้าวไฉ่สยารับมา วางอยู่บนท้องของตนเองอย่างหวงแหน สีหน้าปรากฏความลำพองใจขึ้น “ท่านแม่ ตู้ต้าฝูกล่าวแล้วว่าหากท้องนี้คลอดเด็กผู้ชายจะซื้อกำไลทองชิ้นใหญ่ให้ข้าเ้าค่ะ”
“ทำไมยังเรียกชื่อคนเขาโต้งๆ ระวังพ่อแม่สามีเ้าได้ยินเข้า จะไม่พอใจ” เถียนกุ้ยจือได้ยินคำว่ากำไลทองชิ้นใหญ่เข้าดวงตาก็เป็ประกายขึ้น
“เชอะ กลัวอะไร ตอนนี้ข้าตั้งท้องหลานที่เป็ดั่งทองคำของครอบครัวเขาอยู่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอกเ้าค่ะ” จ้าวไฉ่สยาเบะปาก
“เ้าก็อย่าให้เกินไปนักเลย ตอนแรกที่ข้าเลือกคนให้เ้า เ้ายังไม่เต็มใจอยู่เลย ดูสิ ชีวิตตอนนี้ผ่านไปด้วยดีแล้วใช่ไหมล่ะ รอให้เ้าคลอดลูกชายออกมา ทั้งสกุลตู้นั่นจะไม่ใช่เ้าที่เป็ผู้ชี้ขาดได้อย่างไร” เถียนกุ้ยจือใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
จ้าวไฉ่สยาที่แต่เดิมบนใบหน้าลำพองใจก็เปลี่ยนเป็หม่นหมอง ถามไปเรื่อยเปื่อย “ท่านพ่อล่ะ? ทำไมครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่กลับมาอีกเ้าคะ?”
เถียนกุ้ยจือชะงักไปทันที ความสุขบนหน้าพังครืนลง “เขาไปบ้านท่านป้าของเ้ากับไฉ่เฟิง”
จ้าวป่านเติ้งไม่พึงพอใจต่อการแต่งงานของจ้าวไฉ่สยาอย่างมากมาโดยตลอด ทำให้สองปีมานี้มองเถียนกุ้ยจืออย่างดวงตาไม่เป็ดวงตาและจมูกไม่เป็จมูก [3] อะไรก็ไม่เจริญตาและพูดจารุนแรงกับนางยิ่งขึ้นด้วย บอกว่าเื่การแต่งงานของไฉ่เฟิงบุตรสาวคนเล็กห้ามนางเข้ามายุ่งเกี่ยว บุตรสาวดีๆ ให้ผู้อื่นเอาไปทำเป็แม่เลี้ยง หน้าตาของสกุลจ้าวถูกนางทำให้ขายขี้หน้าจนถึงที่สุดแล้ว
“การแต่งงานของไฉ่เฟิงยังไม่กำหนดหรือเ้าคะ?” จ้าวไฉ่สยารู้ว่าบิดาของนางไม่ชื่นชอบตู้ต้าฝู ด้วยเหตุนี้นางจึงพาตู้ต้าฝูกลับมาด้วยน้อยครั้งมาก
“ยังเลย ท่านป้าคนโตของเ้าบอกว่าทางนั้นก็ไม่มีครอบครัวดีอะไรเช่นกัน ที่ชนบทห่างไกลความเจริญ แต่งเข้าไปยังต้องลงที่นาทำงาน ทำให้ไฉ่เฟิงโดนดูถูกโดยไม่ใช่เหตุเปล่าๆ เป็แบบเ้ามีอะไรไม่ดีกัน เข้าในเมืองไม่ต้องทำงานมีของดีๆ ทานมีเสื้อผ้าดีๆ สวม เซียงกงรู้หนาวรู้ร้อนแล้วยังรักเ้าอย่างสุดหัวใจอีก แค่อายุมากไปนิดหน่อยเองจะอะไรกันนักหนา” จ้าวป่านเติ้งที่เป็ท่อนไม้ขวากหนามนั่น ทำไมไม่เปิดใจสักหน่อยบ้าง
จ้าวไฉ่สยาใบหน้าเรียบนิ่ง นางก็ไม่ยินดีจะแต่งให้คนเขาเอาไปทำเป็แม่เลี้ยงเสียหน่อย แต่มีวิธีอะไรบ้างล่ะ คนที่นางชอบก็แต่งให้ไม่ได้ ในเมื่อแต่งให้ใครก็ล้วนเหมือนกัน เช่นนั้นแน่นอนว่าต้องเลือกคนมีเงินสักคนสิ
...พานซื่อปาดน้ำตากล่าวไม่หยุดปากอยู่ในบ้านของหวังซื่อ
บ้านเก่าสกุลหูอยู่ติดกับบ้านสกุลจ้าว ทั้งสองคนอายุใกล้เคียงกัน ไม่กี่ปีมานี้สองครอบครัวมักไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง คบหากันได้อย่างสนิทสนมอย่างมาก
“เ้าก็อย่าเอาแต่เร่งหงยู่เกินไปนักเลย ตอนแรกที่นางแต่งให้คนเช่นนั้น เกรงว่าในใจคงมีเงามืดประทับอยู่ ทำให้หวาดกลัวการแต่งงานก็ไม่แน่” หวังซื่อปลอบนาง
“ตรงนี้ข้ารู้ ลูกทนทุกข์ทรมานได้รับความทุกข์ยาก ในใจข้าก็ไม่สบายเช่นกัน แต่จิตใจของคนเป็แม่ พี่สะใภ้หู ท่านก็เข้าใจนี่” พานซื่อเช็ดน้ำตาและถอนหายใจ
“หงยู่เป็เด็กดี นางต้องเข้าใจเจตนาของเ้าแน่” จ้าวหงยู่ทำงานเป็แม่ครัวอยู่บ้านบุตรชายคนเล็กของนางมาสามปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีจิตใจคอยระมัดระวังและมีความรับผิดชอบสูง สงบเสงี่ยมจริงจัง หวังซื่อมีความประทับใจที่ดีต่อนาง “เ้าว่า ในใจบุตรสาวของเ้ามีความตั้งใจอย่างอื่นอยู่หรือไม่ เ้าต้องถามความคิดของนางให้มากหน่อย อย่าเอาแต่จะหาคู่ให้นางไปดูตัว”
“มีความตั้งใจอะไร? พี่สะใภ้หู ท่านรู้ว่าหงยู่มีความคิดเห็นอะไรอยู่หรือ?” พานซื่อรีบถาม
หวังซื่อยิ้ม สองสามปีมานี้ผมดำสนิทเงางามของนางงอกขึ้นมาใหม่ รอยย่นบนหน้าพร้อมกับความอิ่มเอิบของแก้มเปลี่ยนไปจนเรียบมันวาว รวมกับผิวขาวผ่องดวงตาหนึ่งคู่มีชีวิตชีวา คนทั้งกายดูแล้วอ่อนวัยขึ้นอย่างมาก ทั้งที่คนก็อายุหกสิบปีแล้ว หากเพิ่งเจอกันเป็ครั้งแรกคงรู้สึกเหมือนเป็ฟู่เหรินอายุสี่สิบต้นๆ เท่านั้นเอง
“ข้าจะรู้ความคิดของหงยู่ได้ที่ไหน แค่กล่าวเช่นนี้ ว่าให้เ้าถามมากหน่อย”
พานซื่อกลับเหมือนจับดวงดาวแห่งความช่วยเหลือไว้ได้ “พี่สะใภ้หู ท่านไปถามแทนข้าหน่อยเถอะ หงยู่เคารพท่านมาโดยตลอด ท่านถามแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจบอกความในใจกับท่านก็ได้”
“ฮ่าๆ” หวังซื่อหัวเราะ พานซื่อใจร้อนพอคว้าอะไรไว้ได้ก็ล้วนถือเป็ที่พึ่งสุดท้าย แต่หวังซื่อเข้าใจหัวอกนางดี ความเป็แม่มักหวังให้บรรดาลูกๆ สามารถมีที่พักพิงดีๆ ได้จึงจะหมดห่วง
“ได้ ข้ามีเวลาว่างจะถามแทนเ้า เ้าอย่าใจร้อนโมโหไป ส่วนหมู่บ้านกว่างอีนั่น อายุแตกต่างกันเกินไปแล้ว อาจไม่ใช่คู่เหมาะสมที่ดี ค่อยๆ หาเถอะ”
เป็ธรรมดาที่พานซื่อจะกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เจตนาดีของหวังซื่อนางจะจดจำไว้ในใจอย่างแน่นอน
เมื่อออกมาจากบ้านเก่าของสกุลหู พานซื่อหันกลับไปมองลานบ้านที่สร้างขยายขึ้นใหม่ ผนังสีขาวกระเื้ัคาสีดำเหลือบน้ำเงินทั้งหมด ปูทางด้วยอิฐสีฟ้า บนกำแพงลานบ้านสูงมีต้นหวายม่วงและกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยเต็มไปหมด ่ที่เข้าฤดูใบไม้ร่วง กุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยสีชมพูยังคงแกว่งไกวไปตามลมโชย เพิ่มสีสันสวยสดงดงามให้บรรยากาศของบ้านดูใหญ่โตหรูหราไปโดยปริยาย
การเปลี่ยนแปลงของสกุลหูมากมายเกินไปแล้วจริงๆ
เวลาไม่กี่ปีสั้นๆ ไม่เพียงอุดมไปด้วยทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่งขึ้นอย่างเดียว ความมีชีวิตชีวาภายนอกก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากด้วยเช่นกัน
หวังซื่อสวมชุดกระโปรงสีเทาอ่อนออกชมพูของสีรากบัวอย่างงดงามดูสุภาพ น่าจะเป็การตัดเย็บจากผ้าหางโฉว [4] ที่แพงสูงลิ่ว มองจากที่ไกลๆ ยังนึกว่าเป็ฮูหยินเยาว์วัยของครอบครัวสูงศักดิ์ที่ไหนเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สกุลหูนอกจากเหลียงซื่อแล้ว คนทั้งหมดล้วนเรียนหนังสือคัดตัวอักษรกับผู้าุโหลิงและภรรยาของซิ่วฉายในโรงเรียนทั้งสิ้น
การกระทำนี้ของพวกเขาทำให้ชาวบ้านทั้งหมดในหมู่บ้านวั้งหลินต่างตะลึงงันอย่างมาก
หูเฉวียนฝูกับหวังซื่ออายุก็หกสิบแล้ว ยังเรียนกับอาจารย์อยู่อีกหรือ? หรือยังคิดจะไปสอบซิ่วฉายด้วยหรือ?
พานซื่อนำคำพูดของบรรดาชาวบ้านมาบอกแก่หวังซื่อ นางกลับหัวเราะเสียงดัง หลังจากนั้นกล่าวอธิบายว่า เจินจูหลานสาวของนางกล่าวว่าตอนนี้ที่บ้านจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่คนในครอบครัวตัวเองกลับไม่รู้จักตัวอักษร มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกหลายสิบปี สิ้นเปลืองเวลาแค่สองสามปีเพื่อเรียนหนังสือกับท่านอาจารย์ แม้ไม่แน่ว่าจะมีผลให้เห็นอย่างเป็รูปธรรมอะไร แต่อยู่จนแก่เรียนจนแก่ [5] จะต้องมีประโยชน์ต่อความคิดอ่านเื่ราวปัญหาหรือประสบการณ์ชีวิตคนเราอย่างแน่นอน
สำหรับคำพูดของหวังซื่อ พานซื่อไม่สามารถเข้าใจได้มากนัก แต่ก็ไม่ได้เป็อุปสรรคต่อความเคารพเลื่อมใสของนางที่มีต่อสกุลหูเลย
ผนวกกับจ้าวหงซานกับจ้าวหงยู่ก็อยู่ในกลุ่มที่เรียนด้วย ทั้งครอบครัวของพวกเขาล้วนมีแต่ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทุกครั้งที่หงซานหรือหงยู่เอาแบบฝึกหัดที่ฝึกตัวอักษรของพวกเขากลับมาบ้าน แม้นางไม่เข้าใจ แต่แค่มองอย่างเดียวนางก็ล้วนรู้สึกมีความสุขมากแล้ว
ทั้งครอบครัวของพวกเขาสามารถเป็เพื่อนบ้านกับสกุลหูได้ ช่างโชคดีแล้วจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] อายุเหมือนช่อดอกไม้ หมายถึง ยังอยู่ในวัยสาวอย่างมาก วัยกำลังผลิบานเหมือนดอกไม้
[2] รู้หนาวรู้ร้อน หมายถึง ดูแลได้ไม่ขาดตกบกพร่องและรอบคอบพิถีพิถัน
[3] ดวงตาไม่เป็ดวงตาและจมูกไม่เป็จมูก หมายถึง การมองด้วยสายตาไม่พึงพอใจ จะทำอะไรก็ถูกจับผิด ถูกตำหนิตลอด
[4] หางโฉว คือ ผ้าไหมที่ผลิตออกมาจากเมืองหางโจว
[5] อยู่จนแก่เรียนจนแก่ หมายถึง คนเราต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้