แสงอาทิตย์สุดท้ายลับไปทางทิศตะวันตก ม่านราตรีสีหมึกปกคลุมลงมา ดวงดาราค่อยๆ เปล่งประกาย
ข้าหลวงยกชามาวาง ก่อนจะเก็บถ้วยชาม
คนทั้งสี่นั่งอยู่ในตำแหน่งเ้าภาพกับแขกในตำหนักใหญ่ ไม่มีใครเอ่ยวาจาใด
มู่หรงฉางยกถ้วยชาขึ้นมองไปยังบุรุษข้างๆ อย่างมู่หรงอวี้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
เสิ่นจือเหยียนนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา แอบมองพิจารณาองค์หญิงจาวฮวาไปด้วย
เพื่อมาเจอคนที่ชอบ นางตั้งใจแต่งตัวจนแทบไม่ต่างไปจากการแต่งตัวไปงานเลี้ยงวันนั้นเลย
เสื้อตัวบนเป็เสื้อคอปกสีแดงแขนเสื้อกว้าง ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกัน เนื้อผ้าพลิ้วไหว นุ่มนวลงดงาม อวดรูปร่างผอมเพรียวขับความงดงามของนางให้เปล่งประกาย ผิวขาวราวหิมะ ปิ่นปักผมสีทองเข้ากับชุด งดงามอ่อนหวาน ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่
ั์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาปรายตามองไปทางมู่หรงอวี้ ขนตางอนกระพริบน้อยๆ ยิ่งทวีความงดงามขึ้นไปอีก
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ อาหารค่ำก็ทานหมดแล้วยังคิดจะทำอะไรอีก? อยู่ที่นี่ไม่ยอมไปไหนหรือ?
ทำเช่นนี้จะนั่งอยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ มู่หรงฉางยิ้มหน้าบาน “ท่านอ๋อง เสด็จพี่ พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันสักตาสองตาเถิดเพคะ”
เมื่อเป็เช่นนี้ นางก็จะได้อยู่ข้างกายของมู่หรงอวี้ มีสตรีคอยอยู่เคียงข้าง ก็เป็เื่ดีมากไม่ใช่หรือ?
“เปิ่นกงยังมีเื่ต้องทำแล้วยังต้องปรึกษากับจือเหยียน น้องสาว วันหลังเปิ่นกงค่อยเล่นหมากล้อมเป็เพื่อนเ้า” มู่หรงฉือยืนขึ้นพูดอย่างเกรงใจ “่นี้ในวังไม่ค่อยจะปลอดภัย ท่านอ๋องไปส่งน้องสาวของข้ากลับตำหนักได้หรือไม่?”
“ก็ได้”
ได้ยินคำนี้ บนใบหน้าของมู่หรงฉางก็ฉาบไว้ด้วยความยินดี ในใจมีความสุขยิ่งนัก คิดภาพที่ต่อไปพวกเขาจะเดินกลับตำหนักจิ่งหงด้วยกัน จากนั้นนางก็จะเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาดื่มชา พวกเขาดื่มชาไปพูดคุยกันไป หรืออาจจะเล่นหมากล้อมไปแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันไป...
นางเชื่อว่า คืนนี้นางจะสามารถทำให้เขาหลงใหลนางได้อย่างแน่นอน จะต้องทำให้เขาชอบตน ให้เขามองตนเองใหม่ให้ได้
ั้แ่วันนี้ไป พวกเขาคงจะได้พบเจอกันบ่อยขึ้น ความรู้สึกก็จะยิ่งลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ไม่นานก็คงจะได้พูดคุยกันเื่แต่งงาน
มู่หรงอวี้สีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเรียกองครักษ์มาแล้วออกคำสั่ง “พวกเ้าคุ้มกันองค์หญิงกลับไป หากเกิดความผิดพลาดก็ให้ถือศีรษะกลับมา”
มู่หรงฉางที่กำลังฝันหวาน ครั้นได้ยินประโยคนี้พลันเปลี่ยนสีหน้า แทบจะเต้นเร่าๆ ขึ้นมาทันที
เขาไม่คุ้มกันส่งนางกลับไป?
นี่เขาหมายความว่าอย่างไร?
เสิ่นจือเหยียนครุ่นคิดเงียบๆ มีคนที่ชอบอยู่ตรงหน้า นิสัยเอาแต่ใจขององค์หญิงจาวฮวาจะแผลงฤทธิ์หรือไม่?
มู่หรงฉือเองก็อยากรู้ว่าน้องสาวคนนี้จะรับมืออย่างไร จึงนั่งมองอยู่ด้านข้าง
ระหว่างนั้น มู่หรงฉางรู้สึกได้ว่าตนไม่อาจทำตัวไร้มารยาทต่อหน้ามู่หรงอวี้ จะต้องรักษาท่าทีขององค์หญิงที่เพียบพร้อม นางจึงแสร้งทำท่าทางหวาดกลัวไร้ที่พึ่งออกมาพลางกล่าวว่า “เสด็จพี่ถูกลอบสังหาร เปิ่นกงหวาดกลัวยิ่งนัก”
นางมองไปทางมู่หรงฉือด้วยท่าทางอ่อนแอ พูดอย่างน่าสงสาร “เสด็จพี่...”
ด้านนอก ฉินรั่วยื่นหน้ามองเข้ามาในตำหนัก ก่อนจะถอยกลับไปยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง
มู่หรงฉือเห็นนางแล้ว แต่ยังต้องจัดการกับเื่ตรงหน้าก่อน ความคิดของจาวฮวา มู่หรงฉือย่อมเข้าใจอยู่แล้ว อยากจะให้พี่ชายช่วย ทว่า มู่หรงอวี้คนเผด็จการผู้นี้จะยอมฟังคนอื่นได้อย่างไร?
“ท่านอ๋อง เปิ่นกงมีงานที่ต้องสะสาง ขออภัยที่ไม่สามารถอยู่เป็เพื่อนได้”
“เตี้ยนเซี่ย ฉินรั่ว ไปห้องตำรา” มู่หรงอวี้หมุนตัวออกไป ทำตัวราวกับเป็เ้าของตำหนักบูรพา เป็บุคคลทรงอำนาจสูงสุด
มู่หรงฉางมองเขาเดินไปที่ยังห้องตำรา ดวงหน้างามพลันเต็มไปด้วยความใ
เหตุใดเขาหมางเมินนางถึงเพียงนี้?
“เสด็จพี่...” นางโกรธจนกระทืบเท้า เบ้ปากออกมา ทำท่าทางงอแงไม่กล้าโวยวายเสียงดัง
“น้องสาว เ้ากลับไปก่อนเถิด” มู่หรงฉือทำท่าทางหมดปัญญา
มู่หรงอวี้ทำประหนึ่งตำหนักบูรพาเป็จวนหวางของเขา นางเองก็โกรธจนเจ็บฟันไปหมดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
มู่หรงฉางเห็นเสิ่นจือเหยียนที่เหลืออยู่คนสุดท้ายก็ยังจากไปแล้ว ใบหน้าเล็กสวยก็โกรธจนขึ้นสีแดง อยากจะทำลายตำหนักบูรพาทิ้งเสีย
ทว่า นางไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!
บุรุษทั้งโลกต่างยอมลงให้นาง คอยเอาอกเอาใจนาง ทะนุถนอมนางอยู่ในฝ่ามือ คอยดูแลนางอย่างระมัดระวัง แต่ว่านางรู้ว่าบุรุษประเภทนี้ไม่มีความน่าสนใจถึงเพียงนั้น ราวกับสุนัขที่หมอบอยู่แทบเท้านาง นางบอกให้ทำอะไรพวกเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่เพียงน่าเบื่อจนเหลือทน แต่ยังสูญเสียศักดิ์ศรีกับความภาคภูมิใจของบุรุษไปจนสิ้น
ลำพังบุรุษที่นางชอบก็ไม่เหมือนกันแล้ว ทั้งแข็งแกร่ง เกิดมาก็มีแต่ความภาคภูมิใจ
สามีของนางควรจะเป็เช่นนี้!
สามีของนางเป็ได้แค่มู่หรงอวี้เท่านั้น
โคมไฟในห้องตำราให้แสงสลัวประหนึ่ง่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นจากขอบฟ้า มู่หรงฉือมองมู่หรงอวี้ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
นี่เป็จวนอวี้หวางของเขาไปแล้วหรือ? นั่งได้เป็ตัวของตนเองมากหรือ?
บรรยากาศหนักอึ้ง เงียบงันผิดปกติ
หรูอี้นำน้ำชาเข้ามา โค้งตัวก่อนจะออกไป
เสิ่นจือเหยียนเอ่ยถามทำลายสถานการณ์อันนิ่งงันนี้ “ท่านอ๋องเองก็อยากจะรู้เื่นักฆ่าที่ลอบสังหารเตี้ยนเซี่ยเมื่อตอนกลางวันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เปิ่นหวางเข้ามาฟังด้วยก็ไม่เสียหาย” มู่หรงอวี้ใบหน้าสบายๆ “นักฆ่าผู้นั้นอยู่ที่ใด?”
“คนร้ายกลืนพิษฆ่าตัวตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นจือเหยียนมองไปทางฉินรั่วที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ฉินรั่วหาบันทึกเจอหรือไม่?”
“หาเจอแล้วเ้าค่ะ” ฉินรั่วเอาสมุดกระดาษสีเริ่มจะเหลืองขึ้นมาพลางตบปัดฝุ่นเล็กน้อย ก่อนจะส่งให้เตี้ยนเซี่ย
มู่หรงฉือรับมาแล้วเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเสี่ยวยิน “ตอนที่เสี่ยวยินอายุห้าปี ก็ถูกฉางชิงของกรมข้าหลวงพาเข้ามา ในสมุดบันทึกเอาไว้ว่าฉางชิงซื้อเสี่ยวยินมาจากมือของพ่อค้าคนหนึ่ง จากนั้นก็พาเข้าวังหลวง”
เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว “พูดเช่นนี้ บ้านเกิดของเสี่ยวยินกับครอบครัวก็ไม่อาจสืบค้นได้”
ฉินรั่วพูดออกมาได้ถูกเวลา “ตอนที่หนูฉายกำลังหาข้อมูลในกรมก็เจอกับฉางชิงโดยบังเอิญ จึงพาเขามาด้วย ตอนนี้เขารออยู่ด้านนอกเพคะ”
แขนของมู่หรงอวี้วางอยู่บนที่วางแขน แหวนรูปหัวงูที่มือขวาส่องแสงระยิบระยับส่องแสงแยงตา “พาเขาเข้ามา”
ฉินรั่วมองเตี้ยนเซี่ย ก่อนจะได้รับสายตาอนุญาตจากเตี้ยนเซี่ยให้พาเขาเข้ามา
บนใบหน้าของมู่หรงฉือไม่ได้แสดงอารมณ์ใด แต่ในใจอัดอั้นจนเืลมพลุ่งพล่าน
มู่หรงอวี้สมควรตาย เห็นว่าตัวเองเป็เ้าของตำหนักบูรพาไปแล้วจริงๆ หรือ?
นางสบเข้ากับสายตาปลอบประโลมของเสิ่นจือเหยียน จึงพยายามข่มโทสะลง
มู่หรงอวี้เห็นสายตาของพวกเขาสื่อสารกันไปมา ั์ตาก็เข้มขึ้นหลายส่วน บรรยากาศในห้องตำราก็กดดันขึ้นไปอีก
ฉินรั่วพาฉางชิงเข้ามา ฉางชิงก้มหน้าคุกเข่า สองมือวางอยู่ที่พื้น ให้ความเคารพอย่างที่สุด “ถวายบังคมท่านอ๋อง องค์รัชทายาทและใต้เท้าเสิ่น”
“เ้าบอกเื่ที่เ้ารู้ออกมาให้หมด” ฉินรั่วกล่าว
“เสี่ยวยินเป็เ้าที่พาเข้าวังมา อีกทั้งเป็เ้าที่เลี้ยงเขามาจนโต?” มู่หรงอวี้ถามเสียงเข้ม
มู่หรงฉือมองไปทางเสิ่นจือเหยียนอย่างหมดคำพูด พวกเขาสองคนเป็เพียงชาวบ้านที่มาดูแล้ว
ฉางชิงตอบ “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง ตอนที่เสี่ยวยินอายุได้ห้าปี หนูฉายออกจากวังไปซื้อของ เห็นพ่อค้ากำลังขายเด็ก ตอนนั้นผู้ดูแลหลิวบอกว่าในวังกำลังขาดคน หนูฉายเห็นเสี่ยวยินเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ จึงซื้อเขามาแล้วพาเข้าวัง หนูฉายทำความสะอาดให้เขา ทั้งยังตั้งชื่อให้เขาว่าเสี่ยวยิน เขาอยู่ข้างกายหนูฉายได้ห้าปี ตอนเขาอายุสิบปีก็ไปอยู่กับผู้ดูแลหลิว”
มู่หรงฉือมักจะรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่กลับไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใด “เ้าจำได้แม่นยำขนาดนั้น?”
“หนูฉายพาเสี่ยวยินเข้ามาในวัง ทั้งยังเลี้ยงดูเขามาจนโต เป็ที่พึ่งให้เขามาห้าปี หนูฉายไม่มีบุตร ชาตินี้ไม่อาจมีทายาทได้ ดังนั้นจึงเลี้ยงเสี่ยวยินดั่งบุตรมาจนโต ความสัมพันธ์จึงไม่ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ” ฉางชิงพูดพลางสะอื้น น้ำตาไหลอาบหน้า “ต่อมาเขาก็ไปอยู่กับผู้ดูแลหลิว ทำงานยุ่งมาก โอกาสที่จะได้เจอกับหนูฉายจึงค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ย่อมจืดจางไป เมื่อสามปีก่อน เขามีเื่ทำให้ผู้ดูแลหลิวมีโทสะ จึงลงโทษให้เขาไปทบทวนตนเองที่ตำหนักเฟิ่งเทียน ่สามปีมานี้น้อยมากที่หนูฉายจะได้เจอกับเสี่ยวยิน ตอนปีใหม่ถึงจะได้เจอกันครั้งหนึ่ง”
“่นี้เ้าได้เจอเขาบ้างหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถาม คิดไม่ถึงว่าคดีเสี่ยวยินลอบสังหารองค์รัชทายาทจะเกี่ยวข้องกับผู้ดูแลหลิว
“ไม่ได้เจอเลยขอรับ เจอตอนปีใหม่เมื่อหลายเดือนก่อนเพียงครั้งเดียว” ฉางชิงตอบ
“เสี่ยวยินลอบสังหารเตี้ยนเซี่ย มีความผิดร้ายแรง มีเจตนาไม่ดี แม้ว่าเขาจะกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่ว่าเื่นี้เปิ่นหวางจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็คนหรือเื่ที่เกี่ยวข้องกับเขาก็จะตรวจสอบมาให้หมด” มู่หรงอวี้พูดเสียงเย็น แม้จะไม่ได้แฝงไว้ด้วยโทสะแต่ยังมีความน่าเกรงขาม
“หลายเดือนมานี้หนูฉายไม่ได้เจอเขาเลย หนูฉายจึงไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ท่านอ๋องโปรดเชื่อหนูฉาย เสี่ยวยินบังอาจลอบสังหารองค์รัชทายาท สมควรได้รับโทษตาย” ฉางชิงคำนับหัวโขกพื้นด้วยความหวาดกลัว
คำตอบของเขามีเหตุผลชัดเจน ปัดตัวเองออกจากเื่ที่เสี่ยวยินลอบสังหารองค์รัชทายาทได้อย่างหมดจด มองไม่เห็นช่องโหว่ใด
จะถามอีกก็ถามอะไรออกมาไม่ได้ มู่หรงอวี้จึงโบกมือให้เขาออกไป
เสิ่นจือเหยียนมองไปทางเตี้ยนเซี่ย สายตาเหมือนกำลังถาม : ต่อหน้าอวี้หวางจะต้องพูดออกมาหรือไม่?
มู่หรงฉือกระพริบตาเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
เขาเข้าใจความคิดของนาง จึงเอ่ยปากถาม “จากคำให้การของฉางชิง ท่านอ๋องคิดว่าเชื่อถือได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงอวี้ถามกลับ “พวกเ้าคิดอย่างไร?”
“กระหม่อมคิดว่า คำให้การของฉางชิงมีเหตุผลชัดเจน เริ่มพูดั้แ่เขาซื้อเสี่ยวยินแล้วพาเข้าวัง นานปีถึงเพียงนี้ก็ยังสามารถจดจำได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกที่มีต่อเสี่ยวยินน่าจะเป็ความจริง” เสิ่นจือเหยียนกล่าว “เหมือนเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเราจะต้องเรียกตัวเขามาสอบปากคำ จึงคิดคำให้การเอาไว้แล้ว”
“หากพูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว เสี่ยวยินทำเื่ร้ายแรงขนาดนี้ ส่วนตัวเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเสี่ยวยินมาก หากพวกเราสอบสวนเขา เขาก็ควรจะหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง เขาจึงอยากจะแสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้กลัวขนาดนั้น” มู่หรงฉือพูดต่อ “เขามีการจัดเตรียมคำให้การมาก่อนแล้ว จึงพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจนขนาดนี้ จุดนี้มีปัญหา”
“เปิ่นหวางเองก็คิดเช่นนี้” มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “เกิดเื่ผิดปกติจะต้องมีมูลอยู่ ฉางชิงมีปัญหา แต่ว่าคำให้การของเขาไร้ช่องโหว่ หากบีบบังคับเอาเขาไปคุมขังรังแต่จะเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“มิสู้ส่งคนไปจับตาดูเขา?” เสิ่นจือเหยียนเสนอความคิด
มู่หรงอวี้พยักหน้า “เื่นี้เปิ่นหวางจัดการเอง”
มู่หรงฉือพูดขึ้นมาทันที “เสี่ยวยินดูแลหลิวอันมาหลายปี จะเรียกหลิวอันมาสอบสวนด้วยหรือไม่?”
หลิวอันเป็จิ้งจอกเฒ่า ย่อมสามารถตัดตัวเองออกจากเื่นี้ได้อย่างหมดจดเหมือนกับฉางชิง
คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่ง “ไปเรียกหลิวอันมา”
ฉินรั่วรีบออกไปทันที
เสิ่นจือเหยียนกล่าว “หลิวอันจะต้องเดาว่าเราคงจะตรวจสอบเขา คิดว่าเขาเองก็คงคิดคำให้การเอาไว้แล้ว”
มู่หรงอวี้ยกยิ้มเย็น “แม้ว่าจะเป็เช่นนี้ ก็ยังต้องถามตามพิธี”
เป็อย่างที่คิด หลิวอันแสดงท่าทางเคารพนบนอบ คำให้การเองก็มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเื่ที่เสี่ยวยินลอบสังหารเลยแม้แต่นิด
แต่ว่า เขาที่เป็ผู้ดูแล หากไม่มีความยืดหยุ่นยอมรับการเปลี่ยนแปลงและเพิกเฉยเื่บางเื่ได้ เขาจะดูแลเื่ภายในมาได้หลายปีเช่นนี้ได้อย่างไร?
สุดท้าย เขายังรับรองกับอวี้หวางและองค์รัชทายาทว่า พรุ่งนี้จะเริ่มตรวจสอบข้าหลวงทุกคน หากพบบุคคลน่าสงสัยจะจับตัวมาสอบสวนทั้งหมด
หลังจากเขาออกไป เสิ่นจือเหยียนก็พูดออกมาอย่างครุ่นคิด “เมื่อสามปีก่อน เสี่ยวยินทำผิดเื่เล็กแค่นั้น ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขาเป็ใครกันแน่? หลิวอัน ฉางชิง หรือว่าจิ้นเซิง? หรือว่าจะเป็คนอื่น?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้