ทุกคนต่างจับจ้องไปที่น่าหลันซยง ขณะที่เขากำลังจะฆ่าตัวตาย
ผู้เป็ถึงเ้าเมืองหยางโจวยังต้องฆ่าตัวตายต่อหน้าหลินเฟิง เพื่อรับโทษที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้
เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เขาและว่าที่ลูกเขยตู๋กูเสี่ยวได้เรียกหลินเฟิงมารับผิด
“ท่านพ่อ!” น่าหลันเฟิงะโ เมื่อเห็นเืของน่าหลันซยงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของนางเริ่มซีดขาวมากยิ่งขึ้น ในแววตามีแต่ความสิ้นหวัง
“หลินเฟิง ข้าได้ทำในสิ่งที่เ้า้าแล้ว อย่างไรก็ตามครอบครัวของข้าเป็ผู้บริสุทธิ์ และบุตรสาวของข้า… หวังว่าเ้าจะปล่อยนางไป”
หลังจากกล่าวจบ น่าหลันซยงก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเ็ปออกมาคราหนึ่ง ทันใดนั้นกลับมีเสียงะเิลั่นออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้เครื่องในถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ประกายแห่งชีวิตในดวงตาได้มอดดับไป ท้ายที่สุดแล้วร่างกายของเขาก็ล้มไปลงอย่างช้าๆ
สิงห์ร้ายอย่างน่าหลันซยงแห่งเมืองหยางโจว เพียงเพราะคำพูดของหลินเฟิงก็ตัดสินความเป็ตายได้แล้ว นี่แหละ... คือความแข็งแกร่งและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ หลินเฟิง้าให้เขาตาย แม้เขาจะไม่อยากตายก็ตาม หากเขาไม่ยอมตายล่ะก็ เกรงว่าหลินเฟิงจะไล่สังหารผู้ที่อยู่ในตำหนักเ้าเมืองทั้งหมดอย่างแน่นอน
การกระทำของหลินเฟิงในวันนี้ช่างเด็ดขาดเป็ที่สุด เหมือนกับดาบที่แหลมคม ซึ่งไม่มีใครปัดป้องได้ หากใครขัดขวางเขา ผู้นั้นต้องถูกสังหาร
น่าหลันซยง มีเพียงทางเลือกเดียวคือ... ตาย
หากไม่ยินยอม... คือตาย หากยินยอม... ก็ต้องตายเช่นเดิม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อหวังปกป้องคนอื่น
“ผู้ที่อยู่ตำหนักนี้ที่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับข้า ข้าก็จะปล่อยไป แต่น่าหลันเฟิงนั้น ข้าจะให้อภัยนางได้อย่างไรกัน?”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยขณะมองซากศพของน่าหลันซยง แค่เพราะความขัดแย้งเมื่อครั้งที่เจอกันในภัตตาคาร น่าหลันเฟิงจึงส่งคนไปสังหารหลินเฟิง ซึ่งเกือบจะสังหารเขาได้แล้ว ถึงแม้ครั้งก่อนเขาจะใช้น่าหลันเฟิงเป็ตัวประกัน แต่หลินเฟิงก็ไม่ทำร้ายนางแต่อย่างใด ตอนนี้หญิงสาวก็ไม่รู้จักสำนึกผิดแล้วยังมีหน้าไปดูถูกคนอื่นอีก คิดว่าเป็ผู้หญิงของตู๋กูเสี่ยวแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งทำให้หลินเฟิงไม่พอใจเป็อย่างมาก
หลินเฟิงมาอยู่ที่โลกนี้ได้ปีกว่าแล้ว เขาตระหนักว่าหากอ่อนแอและลังเลแม้เพียงเศษเสี้ยว ก็อาจถูกรังแกได้โดยง่าย ซึ่งเขาในตอนนี้ทั้งเืร้อน บ้าระห่ำ ทำตามสิ่งที่หัวใจ้า แม้กระทั่งสังหารคนก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างขอเพียงมีจิตใจที่มุ่งมั่นก็สามารถทำสำเร็จได้
ฝูงชนตกตะลึงเมื่อได้ยินว่า หลินเฟิง... ไม่คิดจะปล่อยน่าหลันเฟิงไป
น่าหลันเฟิงกำลังกอดซากศพบิดาของตน ขณะจ้องเขม็งหลินเฟิงด้วยดวงตาแดงก่ำ เป็เพราะหลินเฟิง ตู๋กูเสี่ยวจึงต้องถูกตัดแขนและท่านพ่อต้องมาฆ่าตัวตาย ตอนนี้นางรู้สึกเกลียดชังหลินเฟิงเป็ร้อยเท่าพันทวี
“ไม่ต้องจ้องข้าขนาดนั้นหรอก เป็เพราะความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตที่เ้า้าสังหารข้า… ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก งั้นวันนี้ข้าจะให้โอกาสเ้า เ้าจงทำลายการบ่มเพาะของตัวเองซะ แล้วข้าจะไม่แตะต้องเ้า”
ั์ตาของหลินเฟิงไม่มีแม้แต่คลื่นอารมณ์ใดๆ แม้ดวงตาของน่าหลันเฟิงจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่หลินเฟิงก็เฝ้าถามตัวเองว่า หากเขามีจิตสำนึกที่ดีงามกว่านี้จะเป็อย่างไร ทว่าเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว น่าหลันเฟิงและน่าหลันซยงอาจจะกระทำต่อเขาด้วยความโเี้ยิ่งกว่าเดิมก็เป็ได้
ในเมื่อหญิงสาวผู้นี้มักจะคิดว่าตัวเองสูงส่ง ฉะนั้นก็ให้นางทำลายการบ่มเพาะ หลังจากนั้นนางก็จะกลายเป็คนธรรมดาทั่วไป
“เร็วเข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าของเ้านานนักหรอกนะ” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็าขณะมองน่าหลันเฟิง ในอดีตเมื่อนางพยายามฆ่าหลินเฟิง นางคงไม่คิดว่าจะมีวันที่กรรมตามสนอง
แม่น้ำและูเานั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ทว่าอย่าได้กลั่นแกล้งคนรุ่นเยาว์ที่ไร้หนทาง!
“เอาล่ะ... เอาล่ะ...” ใบหน้าของน่าหลันเฟิงพลันไร้สีเื หลังจากตัดสินใจได้แล้วนางก็ปลดปล่อยหยวนชี่โจมตีตัวเองทันที และแล้วใบหน้างดงามของน่าหลันเฟิงก็ยิ่งซีดลงมากกว่าเดิม ตามมาด้วยกลิ่นอายของพลังปราณที่เจือจางลง
หญิงสาวผู้หยิ่งยโสที่สุดในเมืองหยางโจวตอนนี้กลายเป็แค่เศษขยะ เหตุผลเดียวก็คือ เพราะในอดีตนางทั้งเกลียดชังและพยายามสังหารหลินเฟิง
เมื่อหลินเฟิงเห็นน่าหลันเฟิงทำลายการบ่มเพาะของตัวเองแล้ว เขาก็สวมหน้ากากเหมือนเดิมก่อนจะค่อยๆ บังคับม้าัให้หันหลังกลับ ก่อนจากไปเขาก็เริ่มพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พั่วจวิน เ้าจงอยู่ที่นี่และปรับปรุงทุกอย่างในตำหนักเ้าเมืองเสียใหม่ จากนั้นพวกเราจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็ฐานทัพทหาร ส่วนคนที่เหลือตามข้ามา”
เมื่อหลินเฟิงพูดจบ เขาก็ควบม้าจากไป
เสียงกีบเท้าม้าดังสนั่นอีกครั้ง ขณะที่กองทหารม้าโลหิตเริ่มออกจากตำหนักเ้าเมือง เพียงพริบตากลุ่มเงาดำก็หายไปจากสายตาของผู้คน
แต่ฝูงคนยังคงมองไปในทิศทางที่ทหารม้าวิ่งจากไป ในหัวของพวกเขาตอนนี้คงไม่อาจลืมร่างเงาที่เพิ่งจากไปได้
หลินเฟิงไปแล้ว? พวกเขาไปที่ไหนกัน?
“ตระกูลหลิน ต้องเป็ตระกูลหลินแน่ๆ!”
หลายคนมีความคิดนั้นเช่นเดียวกัน หลินเฟิงเคยเป็คนของตระกูลหลินเมื่อครั้งอดีต แต่ตอนนี้เขากลับมาอย่างองอาจ หลังจากได้รับตำแหน่งเป็ผู้บัญชาการทหารม้าโลหิตและมีศักดินาเป็เมืองหยางโจว สถานที่แห่งแรกที่เขาไปคือตำหนักเ้าเมือง เขาได้ตัดแขนของตู๋กูเสี่ยวและยังบังคับให้น่าหลันเฟิงทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง ซึ่งั้แ่ต้นจนจบหลินเฟิงไม่ได้ขยับมือเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็การตัดสินของเขา
หลินเฟิงในตอนนี้สามารถกำหนดชะตากรรมของผู้คนที่อยู่ในตำหนักเ้าเมือง รวมไปถึงควบคุมชะตากรรมของคนในเมืองหยางโจวได้ แล้วเขาจะไม่ไปที่ตระกูลหลินได้อย่างไร ตระกูลหลินซึ่งเคยขับไล่เขาออกจากตระกูล!
คฤหาสน์ตระกูลหลินในตอนนี้ แม้จะดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนตระกูลน่าหลันที่จัดงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ แต่ตระกูลหลินในวันนี้กลับดูคึกคักเป็พิเศษ
ใน่ปลายปีจะเป็งานชุมนุมของตระกูลหลิน
รอบเวทีประลองของตระกูลหลินคือผู้าุโของตระกูล พวกเขากำลังมองพวกรุ่นเยาว์ที่กำลังต่อสู้กันอยู่ บนใบหน้าของทุกคนล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
คนรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินล้วนมีพร์ที่น่าประทับใจ ดูเหมือนว่าคนรุ่นนี้จะมีความสามารถอันโดดเด่นและเป็ที่พึ่งพาของตระกูลที่ดีได้ในอนาคต
“ท่านผู้นำ สมแล้วที่เชียนเชียนเป็อัจฉริยะที่มากไปด้วยพร์และความแข็งแกร่ง ไม่เพียงมีจิติญญาเพลิงน้ำแข็งเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็ผู้เยาว์ก็สามารถอยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 ซึ่งแม้แต่ผู้าุโก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้ ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย!”
ผู้าุโของตระกูลกำลังมองไปยังเวทีประลองและพูดคุยกับหลินป้าต้าว เหล่าผู้าุโต่างพูดจาประจบเอาใจหลินป้าต้าวจนเขายิ้มไม่หุบ
หลินป้าต้าวรู้สึกภาคภูมิใจเป็อย่างยิ่งเมื่อมีคนมายกยอลูกสาวของตน แน่นอนว่ามันทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็ที่สุด
“ใช่แล้ว หลินเชียนเป็ถึงอัจฉริยะ ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงนางได้ นี่แหละ... อัจฉริยะที่ร้อยปีจะหาได้สักคน”
“ในวันวานหลินไห่ถูกยกย่องว่าเป็อัจฉริยะของตระกูลหลิน แต่เมื่อเทียบกับเชียนเชียนแล้ว ก็นับว่ายังห่างชั้นกันนัก ไม่ต้องพูดถึงเ้าขยะหลินเฟิงที่ถูกขับไล่จากตระกูลเลย จนตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็ตายร้ายดียังไง”
หลายคนต่างกล่าวสรรเสริญหลินเชียนเป็การใหญ่ แม้จะเป็การโกหกก็ตาม เมื่อครั้งที่มีงานประลองของเมืองหยางโจวนั้น ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าหลินเชียนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเฟิง และหลินเฟิงก็มีพร์มากกว่าหลินเชียนเสียอีก
แต่เื่ที่หลินเชียนมีจิติญญาเพลิงน้ำแข็ง แล้วยังเป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่างหลินเฟิงจะไปเทียบกับหลินเชียนได้อย่างไร แม้ว่าหลินเฟิงจะชนะหลินเชียนได้โดยบังเอิญก็ตาม
มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลินป้าต้าว จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินต่างก็ฝึกฝนมาอย่างหนัก พวกเขาทุกคนล้วนเป็คนที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น”
“นั่นเป็สิ่งที่ผู้นำตระกูลควรกระทำ ผู้นำในอดีตอย่างหลินไห่ทำให้ตระกูลไม่ก้าวหน้า นอกจากนี้บุตรชายของเขายังเป็เด็กเหลือขอที่ดื้อรั้นและไม่ซื่อสัตย์ต่อตระกูล”
“ฮ่าๆๆ!”
หลินป้าต้าวหัวเราะเสียงดังลั่นก่อนกล่าวว่า “หลินเฟิงและหลินไห่ ไม่มีวันเทียบกับเชียนเชียนและข้าได้แน่นอน”
“แน่นอน… พวกเขาไม่มีวันเทียบพวกท่านได้” ใครบางคนรีบตอบกลับในทันที
ในขณะนั้นพวกเขาไม่รู้ว่าด้านนอกตระกูลหลินมีใครบางคนกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าอย่างสุขุมและเงียบสงบ
“ตระกูลหลิน”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตู เพราะรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็อย่างดี ทำให้ใจของหลินเฟิงพลันเกิดคลื่นอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้
เขาเคยเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลนี้
“วันนี้เป็งานชุมนุมประจำปีของตระกูลหลิน”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเองขณะหายใจเข้าลึกๆ และเดินไปข้างหน้าทันที ซึ่งเขาไม่ได้กลับมาเหยียบคฤหาสน์ตระกูลหลินมานานมากแล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นยามเฝ้าประตูของตระกูลหลินก็เข้ามาขวางทางหลินเฟิง และถามอย่างเ็าว่า “เ้าเป็ใคร?”
หลินเฟิงมองยามเฝ้าประตูทั้งสองคน พลางยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “ข้ามีนามว่าหลินเฟิง!”
“หลินเฟิง?”
ยามทั้งสองคนต่างประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขารับใช้ตระกูลหลินมาเพียงครึ่งปี พวกเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อของหลินเฟิงมาก่อน
ตระกูลหลิน... มีคนที่ชื่อว่าหลินเฟิงด้วยหรือ?
“ข้าไม่รู้จัก” ยามผู้หนึ่งกล่าวขณะมองหน้ากัน พวกเขายังคงขวางทางไม่ให้หลินเฟิงเข้าไป
“แล้วพวกเ้าจะรู้จักข้าเร็วๆ นี้”
เมื่อหลินเฟิงคลี่ยิ้มออกมาอย่างเบาบาง ตอนนี้เองที่ยามทั้งสองกลับรู้สึกว่ามีสายลมพัดผ่านมา จากนั้นพวกเขาก็ต้องเบิกตาโพลง... เขาหายไปแล้ว? เพียงชั่วพริบตาเดียว คนที่ชื่อว่าหลินเฟิงก็หายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา หายไปราวกับสายลม...