พอเห็นว่าแม่เล้าเดินออกไปตามคำสั่ง หลงเซี่ยงจวินจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ
เขาลากเก้าอี้ไม้ข้างๆ ออกมา และนั่งลงบนนั้นในที่สุด
“แม่ทัพเป่ย ข้าเห็นว่าท่านเป็เหมือนเพื่อนสนิทั้แ่ครั้งแรกที่เจอกันนะวันนี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องดื่มกับท่านให้ได้”หลงเซี่ยงจวินประกายรอยยิ้มเ้าเล่ห์ออกมาด้วยท่าทางช่ำชอง
“พวกเ้า! ยกสุราที่ดีที่สุดของหอหมู่ตันออกมาวันนี้ข้ากับแม่ทัพเป่ยจะดื่มด้วยกัน ไม่เมาไม่เลิก!”เขาหันไปสั่งกับคนรับใช้ที่ยืนอยู่ห่างๆ
แม่เล้าย่างก้าวเล็กๆ ไปที่ห้องของหรูเยี่ยนด้วยฝีเท้าเบาหวิว
นางเดินช้ามาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนก็ว่าได้
นางใช้เวลาเกือบสิบห้านาทีทีเดียวกว่าจะเดินไปจนถึงจุดหมายที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้สำเร็จ ทั้งที่ในยามปกติ นางใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
แม้แต่นางเองก็ไม่อาจทราบ ว่าเหตุใดตนถึงเดินช้าเพียงนี้
บางที นางอาจหวังให้หลงเซี่ยงจวินเปลี่ยนใจ หรืออาจ้าปล่อยให้หรูเยี่ยนมีเวลาเตรียมใจมากพอเพื่อเลือกในสิ่งที่นางเห็นว่าดีที่สุดก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายนางก็เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบานนั้นจนได้
นางยกมือขึ้น อยากเคาะลงที่ประตูตรงหน้าแต่สุดท้ายฝ่ามือนั้นก็ชะงักอยู่กลางอากาศจนได้
นางรู้ดีกว่าใคร ว่าการเคาะประตูในครั้งนี้หมายถึงสิ่งใด แทนที่จะบอกว่าเป็การเคาะประตูสู้เรียกว่าเคาะระฆังส่งนางไปตายเสียดีกว่า
ใครๆ ต่างก็บอกว่าโสเภณีไร้หัวใจ หญิงบริการเืเย็นกว่าผู้ใด...
แต่นางเลี้ยงหรูเยี่ยนมาั้แ่เด็ก และเพราะไม่มีลูกเป็ของตัวเอง แม่เล้าจึงมองว่าหรูเยี่ยนเป็ลูกสาวของตนมาโดยตลอดในโลกใบนี้ มีพ่อแม่คนไหนยอมปล่อยให้ลูกของตัวเองไปตายกัน?
แต่ในระหว่างที่แม่เล้ากำลังนึกลังเลว่าจะเข้าหรือไม่เข้าดี จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในห้อง
“หลิวมามาหรือเ้าคะ? ” เสียงนั้นฟังดูกระฉับกระเฉงมากฟังจากเสียง ดูท่าเ้าของเสียงจะอารมณ์ดีไม่เบาเลย
“อืม” หลิวมามารู้สึกสงสัยขึ้นในใจ แต่ก็ยังพยักหน้าและขานรับออกไปทันที
“ช่วยบอกกับแม่ทัพเป่ยว่าให้รอสักครู่ ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”คนในห้องบอกแบบนั้น
หญิงในห้องกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก
นางเงยหน้าขึ้นไปมองตัวเองในกระจก
ริ้วรอยปรากฏจากหางตาที่แดงและบวมเล็กน้อยของนาง เส้นผมที่เคยดำสลวยบัดนี้กลับแลดูยุ่งเหยิง และเริ่มเปลี่ยนเป็สีขาวบ้างแล้ว
ใบหน้าของนางในตอนนี้ไม่ได้สะสวยอะไรมากมายแต่ก็ดูออกว่าเมื่อครั้งยังสาว หญิงผู้นี้ต้องงดงามมากเป็แน่
อย่างไรเสียนางก็เคยเป็ยอดบุปผาของหอหมู่ตันมาก่อน... นางคิดเช่นนั้น
หลังแต่งหน้าเสร็จ นางเดินไปเปิดลิ้นชักที่ไม่ได้ใหญ่มากนักออก ในนั้นมีของวางมากมายวางรวมกันอยู่เต็มไปหมดหญิงผู้นั้นแหวกของที่ทับอยู่้าออกจนหมด จนพบกับกล่องใบหนึ่งซ่อนอยู่เบื้องล่างนางหยิบกล่องใบนั้นออกมา แล้วเปิดมันออกเบาๆ
นางทำทั้งหมดด้วยความระมัดระวัง ราวกลัวว่าอาจเผลอทำให้ของที่อยู่ภายในพังเสียหายอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดกล่องใบนั้นก็เปิดออก ในนั้นมีชุดคลุมสีแดงสดวางอยู่มันเป็ชุดที่ถูกปักขอบด้วยด้ายสีทอง มีรูปนกยูงปักอยู่ตลอดทั้งตัว
นางจ้างให้คนตัดชุดนี้มาให้ด้วยราคาแพงหลังเป่ยทงเสวียนไปจากเมืองฉางอัน
เพราะเห็นว่าเป่ยทงเสวียนมีฐานะทางบ้านยากจน ลำพังแค่จะไถ่ตัวให้นางก็คงจะลำบากมากแล้วจึงไม่อยากสร้างภาระให้เขาเพิ่มอีก หรูเยี่ยนจึงซื้อชุดนี้เอาไว้เพื่อรอวันที่จะได้แต่งกับเป่ยทงเสวียนในสักวัน เมื่อวันนั้นมาถึง นางจะสวมมันเอาไว้แล้วนั่งรอเกี้ยวกับขบวนแต่งงานของเป่ยทงเสวียน และแต่งงานกับเขาอย่างยิ่งใหญ่และถูกต้อง
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าชุดนี้จะถูกซ่อนอยู่ในกล่องมานานถึงสิบปี
เพียงแต่ อย่างไรก็ต้องลองสวมดูสักครั้งสินะ นางคิดแบบนั้น
คิดได้ดังนั้น นางถอดชุดเก่าบนร่างออกไป แล้วหยิบชุดสีแดงจากในกล่องขึ้นมาสวมแทนจากนั้นจัดระเบียบเสื้อผ้าอย่างประณีตอีกครั้ง
ในกล่องยังมีบางอย่างเหลืออยู่ นั่นก็คือเงิน มันเป็เงินแท้ที่นางเก็บสะสมเอาไว้ตลอดหลายปีมีทั้งเงินที่เป็ก้อนขนาดใหญ่ และเงินเก็บเล็กเก็บน้อยอีกมากมาย
เพราะเป็หญิงโคมเขียว เมื่อแต่งเข้าบ้านฝ่ายชายย่อมถูกพ่อแม่สามีดูถูกเป็ธรรมดา ยิ่งมีทรัพย์สมบัติมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในบ้านมากขึ้นเท่านั้นด้วยความคิดเช่นนี้ ทำให้นางเก็บออมเงินมาโดยตลอด นอกจากชุดแต่งงานนี้แล้ว นางก็แทบไม่ได้ใช้จ่ายอะไรอีกเงินที่ได้ก็ถูกเก็บออมเอาไว้เกือบทุกอีแปะ แต่ดูเหมือนตอนนี้เงินเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
สู้ยกให้หลิวมามายังจะดีกว่า ให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเสียบ้างก็ดีนางครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจได้ในเวลาต่อมา
“หรูเยี่ยน เร็วเข้า”
เสียงเร่งของใครบางคนดังขึ้นที่หน้าประตู ดูเหมือนใครบางคนใกล้หมดความอดทนเต็มที
แต่เสียงนั้นไม่ได้ทำให้นางรีบร้อนขึ้นแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็เื่ใหญ่ในชีวิตของนาง จึงควรให้เวลากับนาง ให้นางได้แต่งตัวเสียหน่อย
นางกลับไปนั่งที่หน้ากระจก แล้วหยิบเครื่องสำอางออกมาจากลิ้นชัก บรรจงแต้มพวกมันลงบนใบหน้าอย่างประณีตเมื่อเสร็จก็หยิบหวีไม้ออกมา ใช้มันจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เป็ระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง
นางทำทั้งหมดอย่างตั้งใจ แม้จะเป็ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ นางก็ไม่ยอมปล่อยผ่านพยายามทำให้ตัวเองสวยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ราวกับสตรีที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์อย่างไรอย่างนั้น
หลังทำทุกอย่างจนเสร็จสมบูรณ์หรูเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง
แม้จะไม่สวยเท่าตอนที่ยังเป็ยอดบุปผา แต่ก็ถือว่านางในตอนนี้สวยมากแล้ว
นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นลุกยืนขึ้นก่อนจะหยุดคิดอย่างตั้งใจอีกสักพัก กำลังตรวจสอบว่าตนละเลยสิ่งใดไปหรือไม่
นางคิดอยู่นาน จนมั่นใจว่าไม่ละเลยสิ่งใดไปแล้ว
นางล้วงเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากในนั้นมันเป็หนังสือที่เริ่มเปลี่ยนเป็สีเหลืองเล่มหนึ่งกับผ้าเช็ดหน้าที่ผ่านการซักมามากจนขาวซีดอีกผืน
ในหนังสือมีเื่เล่าเขียนอยู่ ส่วนผ้าเช็ดหน้าก็มีกลอนเขียนอยู่
ของสองอย่างนี้ เป็ของขวัญจากชายหนุ่มสองคน อย่างน้อยตอนให้ทั้งสองสิ่งกับนางพวกเขาก็ยังเป็เด็กหนุ่มอยู่ทั้งสองคน
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าไปในกล่องจากนั้นก็หยิบกระดาษจดหมายออกมา หลังเขียนบางอย่างลงบนนั้นจนเสร็จจึงวางซองจดหมายเข้าไปในกล่องเดียวกัน
นางเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าไปใต้อกเสื้อแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างสง่างามราวกับหงส์ฟ้า ดันประตู และเดินออกไปจากห้อง
ท่ามกลางการจับจ้องของลูกค้าภายในร้าน แม่เล้าและพนักงานภายในหอหมู่ตัน...
นางเดินเข้าไปหาเ้าของใบหน้าที่รอคอยมานานนับสิบปีด้วยฝีเท้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ทันใดนั้น ชายคนดังกล่าวลุกจากที่นั่งของตัวเอง ใบหน้าที่เยือกเย็นชุดไว้ทุกข์สีขาว... เขามาส่งนางเป็ครั้งสุดท้าย
หญิงในชุดแดงยกมุมปากขึ้นจนกลายเป็รอยยิ้ม ใบหน้านางงดงามราวกับดอกเหมยชุดบนร่างแดงฉานสะดุดตา... นางมาเพื่อแต่งงานกับเขา
สายตาของคนทั้งสองกัน วินาทีนั้น รอบข้างก็คล้ายเป็เพียงความฝันเท่านั้น
จู่ๆ นางก็รู้สึกราวได้ย้อนกลับไปในคืนนั้นเมื่อสิบปีก่อน
ลูกค้าภายในร้านแย่งกันชูป้ายหยกของตัวเองขึ้นสูง และมองมาที่นางด้วยสายตาหิวกระหายไม่ต่างไปจากหมาป่าผู้แสนเหี้ยมเกรียม
เขาเดินออกมาจากฝูงคนที่ส่งเสียงจ๊อกแจกจอแจ แล้วส่งยิ้มมาให้นางวินาทีนั้น นางรู้สึกราวกับมรสุมที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ถูกกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าชื่อเป่ยทงเสวียน มาจากสำนักเทียนหลานอาจารย์ของข้าคือท่านอวี้เหิง”
“สักวันข้าจะกลายเป็เทพนักรบของแผ่นดินต้าเว่ย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะยกขบวนที่มีคนเป็ร้อยๆ คนมาสู่ขอเ้าที่นี่เอง”
“ข้าแต่งกลอนให้เ้าด้วย ข้าจะอ่านให้ฟังนะ”
นางไม่รู้ว่าสำนักเทียนหลานคือที่ไหน ไม่รู้ว่าอวี้เหิงเป็ใคร นางจำได้เพียงชื่อของเป่ยทงเสวียนชื่อของชายผู้นั้นเท่านั้น
นางไม่รู้ว่าตำแหน่งเทพนักรบยิ่งใหญ่เพียงไหนและไม่รู้ว่าเทพนักรบที่ว่า มีผู้ใต้บังคับบัญชามากขนาดไหน นางจำได้เพียงเขาเคยบอกว่าสักวันจะมาขอนางแต่งงานเท่านั้น
นางไม่รู้เช่นกันว่ากลอนบทนั้นมีความหมายเช่นไร แต่นางก็ยังท่องจำทุกตัวอักษรอย่างขึ้นใจ
มันเป็บทกลอนที่งดงามมาก
คิดไปพลาง นางก็ท่องกลอนบทนั้นออกมาอย่างอดไม่ได้ไปด้วย
โฉมสะคราญงามหยาดดุจดอกฟ้า
เสียงนงยาชวนให้ฝันรำพึงหวน
ผิวนวลเนียนขาวกระจ่างดุจธารา
ช่างงามตาดุจฝันวันสดใส
กลอนบทนั้น ชื่อว่า ‘โฉมนาง’
นางคิดแบบนั้น
น้ำตาหยดใสไหลผ่านแก้มนาง และกระทบลงบนพื้นหินแสนสูงค่าของหอหมู่ตันในที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้