สวี่ฮุ่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอกินเกี๊ยวจีกวนไปพลางเดินลงบันไดไปพลาง
เกี๊ยวจีกวนในมืออร่อยมาก อร่อยกว่าปาท่องโก๋เยอะเลย!
ในห้องพักผู้ป่วยที่ลู่ฉี่เสียนเพิ่งเดินออกมา มีหญิงชราบุคลิกสง่างามท่านหนึ่งนอนอยู่
หญิงชราคนนี้ก็คือคนเดียวกันกับคุณยายที่เส้นเืแดงที่ต้นขาขาดที่เธอช่วยชีวิตไว้เมื่อวานนี้
เธอได้รับการผ่าตัดและถ่ายเื พันขีดอันตรายสักพักแล้ว
ตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่า พูดกับลู่ฉี่โหย่ว หลานชายคนที่สามที่ปอกแอปเปิ้ลอยู่ข้างเตียงว่า “ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่พี่ชายแกเอาของกินไปให้ผู้หญิงด้วย”
เธออยากใช้เอามือตีหลานชายคนที่สาม แต่เอื้อมไม่ถึง
จึงหยิบไม้เท้าหัวับนหัวเตียงมาเคาะหัวลู่ฉี่โหย่ว “ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็ยังไง? สวยไหม?”
ลู่ฉี่โหย่วลูบหัวที่ถูกเคาะป้อย ๆ พยักหน้า “สวย สวยกว่าเวินซินที่คุณอาแนะนำเยอะ!”
หญิงชราไม่พอใจ “อย่าพูดถึงหล่อนเลย ร้ายกาจมากมารยา ทำชื่อดี ๆ เสียหมด!”
หญิงชรานอนคิดอยู่บนเตียงอย่างปลื้มอกปลื้มใจครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันจะถามพี่ชายของแก ถ้าสนใจผู้หญิงคนนั้นก็รีบแต่งงานเลย เอาแบบแต่ง่วันชาติได้ยิ่งดี”
ลู่ฉี่โหย่วเบิกตากว้างด้วยความใ “เร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
หญิงชราเอาไม้เท้าเคาะหัวเขาสามทีติด “เร็วอะไร? พี่ชายแกอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ เป็ชายแก่แล้ว! ในบ้านพักของเรา มีใครที่อายุเท่าพี่ชายแกยังไม่แต่งงานบ้าง? ลูก ๆ พวกเขาโตจนรู้ความหมดแล้ว!”
…
สวี่ฮุ่ยออกมาจากโรงพยาบาลก็ไปที่สถานีตำรวจอำเภอต่อ
ตำรวจหญิงคนที่รับเื่เธอคราวก่อน พอเห็นเธอก็ถามด้วยการขยับปากว่ามารับเงินรางวัลใช่ไหม
แม้ผู้ร้ายหลบหนีสองคนจะถูกจับแล้ว แต่ภายในสำนักงานตำรวจมีกฎว่าไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ห้ามเปิดเผยตัวตนของผู้แจ้งเบาะแสเด็ดขาด
ดังนั้นตำรวจหญิงคนนั้นจึงใช้การขยับปาก ป้องกันคนแอบฟัง
สวี่ฮุ่ยพยักหน้าพลางอมยิ้ม
ตำรวจหญิงกวักมือเรียกเธอ
สวี่ฮุ่ยเข้าใจ ตามเธอไปที่ห้องทำงาน ตำรวจหญิงมอบเงินรางวัลให้เธอ แล้วกำชับว่าอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเงินแบบนี้อีก
สวี่ฮุ่ยพยักหน้าด้วยความซาบซึ้งใจ เก็บธนบัตรใบละร้อยหยวนห้าใบไว้กับตัว แล้วถามถึงสาเหตุที่สวี่เยว่ถูกปล่อยตัว
เื่ที่สวี่เยว่ใส่ร้ายสวี่ฮุ่ยจนถูกชายมีปานจับเป็ตัวประกัน ตำรวจหญิงรู้รูปคดีดี
เด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงสิบเก้าปี ใจคอโเี้ขนาดนี้ เป็ที่พูดถึงกันในสำนักงานตำรวจมาหลายวันแล้ว
ตำรวจหญิงอธิบายกับเธอว่าสวี่เยว่แค่ใช้ประโยชน์จากความแค้นของชายมีปาน ไม่ถือเป็ความผิดทางอาญา (อาจารย์หลัว[1] มีกรณีศึกษาที่คล้ายกัน) อย่างมากก็แค่ติดคุกไม่กี่วัน
แต่เธอมีโรคหัวใจ ไม่เหมาะกับการถูกคุมขัง จึงโดนปรับแค่สองร้อยหยวน แล้วถูกปล่อยตัว
สวี่ฮุ่ยเดินออกจากสถานีตำรวจอำเภอด้วยความผิดหวัง ไปเดินเล่นที่ห้องสมุดอำเภอแล้วซื้อหนังสือทางการแพทย์สองเล่มกลับไปอ่าน
เธอสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์โหย่วเหอที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคกลาง ก็ต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ให้เยอะ ๆ
หลังจากซื้อหนังสือเสร็จ สวี่ฮุ่ยก็ไปซื้อน้ำมันหงฮวา[2] ที่ร้านขายยา ค่อยขึ้นรถกลับบ้าน
พอถึงตำบลเถาฮวา เธอก็ซื้อแตงโมลูกใหญ่อีกหนึ่งลูก
ทันทีที่เข้ามาในบ้านพักพนักงาน สวี่ฮุ่ยก็ตรงไปบ้านของคุณป้าสวี่ เพื่อนบ้านที่ช่วยรับฝ่ามือแทนเธอเมื่อวานนี้
คุณป้าสวี่โดนกู่ซิ่วตบค่อนข้างแรง บริเวณที่ถูกตบเมื่อวานเขียวช้ำแล้ว
ผ่านไปหนึ่งคืน รอยฝ่ามือสีเขียวอ่อนก็กลายเป็สีม่วงคว้ำ ดูแล้วน่าใ
คุณป้าสวี่กำลังให้พี่สาวข้างบ้านนวดคลายเส้นด้วยเหล้า เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเื
และพูดคุยกันว่ากู่ซิ่วใจร้ายกับสวี่ฮุ่ยขนาดไหน ลงมือหนักขนาดนี้ ถ้าเธอไม่ช่วยสวี่ฮุ่ยรับฝ่ามือนั้นไว้ ไม่รู้สวี่ฮุ่ยจะโดนตีจนเป็ยังไงแล้ว
พอได้ยินเสียงสวี่ฮุ่ยเรียกตัวเองอยู่ข้างนอก คุณป้าสวี่จึงให้พี่สาวข้างบ้านหยุดนวด ดึงเสื้อผ้าที่ม้วนขึ้นเพื่อความสะดวกในการนวดลง แล้วเดินออกมาถามว่า “มีอะไรรึ?”
สวี่ฮุ่ยส่งแตงโมกับน้ำมันหงฮวาให้คุณป้าสวี่ พลางพูดด้วยความรู้สึกผิด “คุณป้าสวี่ เมื่อวานนี้หนูทำให้ป้าเดือดร้อน ขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ”
คุณป้าสวี่เห็นว่าสวี่ฮุ่ยซื้อน้ำมันหงฮวามาให้ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
น้ำมันหงฮวาขวดหนึ่งราคาตั้งหลายหยวน ใครเขาจะซื้อลง? ส่วนใหญ่จะซื้อแค่พลาสเตอร์ยารักษารอยฟกช้ำมาใช้เท่านั้น
คุณป้าสวี่ปฏิเสธ “หนูเอ๋ย แค่หนูมีน้ำใจก็พอแล้ว ป้าไม่รับของหรอก เอาคืนไปเถอะ”
แต่สวี่ฮุ่ยกลับยัดใส่มือคุณป้าสวี่ แล้ววิ่งหนีไป
พี่สาวข้างบ้านที่นวดให้คุณป้าสวี่พูดว่า “เด็กคนนี้ นิสัยดีกว่าพ่อแม่ของหล่อนซะอีก”
“ใช่ไหมล่ะ!” คุณป้าสวี่พยักหน้าเห็นด้วย
พอสวี่ฮุ่ยกลับถึงบ้าน เธอก็ยกพัดลมออกมาจากห้องของสวี่เยว่ เธออ่านหนังสือไปพลางเป่าพัดลมไปพลาง
ที่บ้านมีพัดลมแค่ตัวเดียว ปกติสวี่เยว่จะใช้คนเดียว เว้นแต่สวี่รั่วเฉินพี่ชายคนโตกลับมา ถึงจะได้ใช้พัดลมกันทั้งบ้าน
ไหน ๆ ก็ไม่มีใครอยู่บ้าน เธอก็ขอใช้บ้าง
สวี่ฮุ่ยกำลังอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน วังจิ้งก็โผล่หน้ามาที่ประตู
สวี่ฮุ่ยเห็นดังนั้น เลยถามอย่างสุภาพ “มีอะไรเหรอ?”
วังจิ้งถึงเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา ถูมือพลางถามว่า “พี่ฮุ่ยฮุ่ย พี่ให้ฉันยืมสมุดโน้ตตอนเรียนมัธยมปลายได้ไหม?”
สวี่ฮุ่ยยิ้มแล้วพูด “ไม่ต้องยืมหรอก ฉันยกให้เธอก็ได้”
วังจิ้งยิ้มกว้างทันที
แต่ก็ได้ยินสวี่ฮุ่ยพูดต่อว่า “แต่สมุดโน้ตและตำราเรียนมัธยมปลายทั้งหมดของฉันถูกแม่เอาไปขายแล้ว”
สวี่ฮุ่ยเห็นวังจิ้งทำหน้าสงสัย จึงพาเธอไปที่ห้องของตัวเองเพื่อให้ดูเธอกับตา
วังจิ้งเห็นว่าไม่มีตำราเรียนหรือสมุดโน้ตใด ๆ ่มัธยมปลายจริง ๆ เหมือนที่สวี่ฮุ่ยบอก เธอก็รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
สวี่ฮุ่ยเห็นเข้าก็พูดว่า “ตอนนี้ฉันอยู่บ้านว่าง ๆ ถ้าเธอมีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามฉันที่บ้านได้”
วังจิ้งถามด้วยความดีใจ “จริงเหรอคะ?”
“จริงยิ่งกว่าจริงอีก!”
วังจิ้งวิ่งกลับบ้านคุณยายอย่างมีความสุข
คุณยายวังเห็นหลานสาววิ่งกลับมามือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีนัก “ทำไม? เด็กสวี่ฮุ่ยนั่นไม่ยอมให้แกยืมสมุดโน้ตเหรอ?”
ถึงแม้ว่าคนในบ้านพักพนักงานจะเป็คนในหน่วยงานเดียวกัน
แต่เพราะอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน จึงมักจะแอบเปรียบเทียบและแข่งขันกันลับ ๆ อยากให้บ้านตัวเองดีกว่าคนอื่น ไม่ชอบเห็นบ้านอื่นดีกว่า
คุณยายวังสงสัยว่าสวี่ฮุ่ยไม่อยากให้หลานสาวตัวเองประสบความสำเร็จ ถึงไม่ยอมให้ยืมสมุดโน้ต
หวังจิ้งส่ายหัว “ไม่ใช่ค่ะ สมุดโน้ตตอนเรียนมัธยมปลายทั้งหมดของพี่ฮุ่ยฮุ่ยถูกแม่ของเธอเอาไปขายหมดแล้ว แต่พี่ฮุ่ยฮุ่ยรับปากว่าจะติวหนังสือให้ฉัน ฉันกลับมาเพื่อเอาการบ้านไปให้พี่ฮุ่ยฮุ่ยติวให้”
เรียนพิเศษข้างนอก ค่าเรียนครั้งละหนึ่งหยวน เรียนวันละสองครั้ง เดือนหนึ่งต้องเสียเกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือน แต่สวี่ฮุ่ยกลับติวหนังสือให้หลานสาวเธอฟรี ๆ
นึกถึงตอนที่ตัวเองแอบคิดร้ายกับสวี่ฮุ่ยเมื่อกี้ คุณยายวังก็หน้าร้อนผ่าว
เธอกำชับหลานสาวว่า “ไปแล้วก็ตั้งใจเรียนล่ะ”
วังจิ้งรับคำ แล้วหยิบการบ้านวิ่งออกไป
เธออยู่ที่บ้านสวี่ฮุ่ยจนถึงเที่ยงถึงจะกลับมา
คุณยายวังเห็นหลานสาวไปรบกวนสวี่ฮุ่ยหลายชั่วโมง ก็รู้สึกเกรงใจ จึงทอดไข่ดาวเยิ้ม ๆ สองฟองให้วังจิ้งเอาไปให้สวี่ฮุ่ย
ยุคนี้ ไข่ไก่ถือเป็ของดี
ข่าวที่สวี่ฮุ่ยติวหนังสือให้วังจิ้งฟรี ๆ แพร่สะพัดไปทั่วบ้านพักพนักงานตอนกลางวัน
ตอนบ่าย หลังจากสวี่ฮุ่ยตื่นนอน ก็มีนักเรียนมัธยมปลายในบ้านพักพนักงานมาให้เธอติวหนังสือเจ็ดแปดคน
สวี่ฮุ่ยไม่ได้รำคาญ ใคร ๆ ก็อยากสอบติดมหาวิทยาลัย มีอนาคตที่ดีกันทั้งนั้น
ตลอดทั้งบ่าย ถ้ามีคนมาถามเื่เรียน เธอก็จะติวให้ ถ้าไม่มีใครมาถาม เธอก็จะอ่านตำราแพทย์เล่มใหม่ที่ซื้อมา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงบ่ายสี่โมง
สวี่ฮุ่ยบอกกับนักเรียนมัธยมปลายเ่าั้ว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ ฉันจะไปขุดไส้เดือนแล้ว”
นักเรียนชายมัธยมปลายคนหนึ่งพูดว่า “พี่ฮุ่ยฮุ่ย อากาศร้อนขนาดนี้ พี่อย่าออกไปเลย พวกเราจะช่วยพี่ขุดไส้เดือนเอง”
นักเรียนชายมัธยมปลายอีกสองคนก็รีบเสนอตัวว่าพวกเขาจะช่วยขุดไส้เดือนด้วย
สวี่ฮุ่ยไม่ได้เกรงใจ พยักหน้าตกลง
ตอนที่เธอกลับมาจากซื้อผักและไข่กับเต้าหู้ที่ไม่ต้องใช้คูปองของเกษตรกรในตำบล ก็เห็นไส้เดือนที่ห่อด้วยโคลนเปียกหลายถุงวางอยู่หน้าประตูบ้าน เธออดยิ้มไม่ได้
ไส้เดือนเยอะขนาดนี้ พอให้ใช้เธอหลายวันเลย
สวี่ฮุ่ยตั้งใจจะหุงข้าว ทำข้าวผัดไข่ แล้วต้มน้ำแกงเต้าหู้ผักกาดขาวกินสักมื้อ
คุณป้าเพื่อนบ้านหลายคนกลับถืออาหารมา บอกว่าเป็การขอบคุณที่เธอติวหนังสือให้ลูก ๆ ของพวกเขา
ถึงแม้สวี่ฮุ่ยจะพยายามปฏิเสธสุดความสามารถ แต่คุณป้าเ่าั้ก็ยังยืนกรานจะวางอาหารไว้
มีทั้งปลา กุ้ง เต้าหู้และมะเขือเทศผัดไข่ แต่ไม่มีเนื้อสัตว์
ยุคนี้ กกินเนื้อสัตว์ต้องใช้คูปอง
คนงานทั่วไป จะได้คูปองเนื้อสัตว์แค่เดือนละครึ่งชั่ง พวกเขามักจะเก็บไว้เลี้ยงแขกหรือกินในวันหยุด ไม่ค่อยกินกันในวันธรรมดา
ส่วนปลาและกุ้ง ใช้สวิงไปตักตามบ่อน้ำก็ได้ ในมณฑลฉู่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็มณฑลแห่งทะเลสาบนับพัน ถือว่าเป็สิ่งที่หาได้ไม่ยากเลยในพื้นที่นี้
ถึงแม้ว่าไข่กับเต้าหู้จะเป็ของดี แต่ที่นี่คือชนบท ถ้าอยากกินไข่กับเต้าหู้ ขอแค่มีเงิน ก็ไปซื้อที่ตลาดกับเกษตรกรได้
สวี่ฮุ่ยอิ่มหนำสำราญ ได้ััอย่างลึกซึ้งว่าการให้ดอกกุหลาบแก่ผู้อื่น ย่อมมีกลิ่นหอมติดมือเรา[3]
[1] อาจารย์หลัว หมายถึง หลัวเสียง อาจารย์กฎหมายชื่อดังของจีน
[2] หงฮวา หมายถึง ดอกอั่งฮวยหรือดอกคำฝอย มีผิวสีเหลืองอมแดง ดอกอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ รสขมเล็กน้อย มีรสเผ็ดและอุ่น เข้าสู่เส้นลมปราณหัวใจและตับจะมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเื ทะลวงเส้นลมปราณ ขจัดเืคั่งและระงับปวด
[3] ให้ดอกกุหลาบแก่ผู้อื่น ย่อมมีกลิ่นหอมติดมือเรา หมายถึง การให้ผู้อื่นก็ทำให้เรามีความสุขได้