สายฝนที่โหมกระหน่ำได้สิ้นสุดลง เหลือเพียงหยาดฝนโปรยปราย
บนถนนไร้ซึ่งผู้คน สาวน้อยสองคนเดินถือร่มกลับไปด้วยกัน
ระหว่างทางในมือของสวีเหวินเหวินถือกล่องข้าว สายตามองซูอินหลายครั้งด้วยท่าทีลังเลที่จะเอ่ยปาก จนเมื่อเดินไปถึงซอยเล็กๆ เพื่อเข้าไปในตระกูลสวี เธอก็อดถามไม่ได้
“อินอิน…คือว่า…หากคุณย่าของฉันพูดไม่น่าฟัง เธอก็อย่าใส่ใจเลย ย่าเป็คนแบบนั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ”
ไม่ใช่คนใจร้ายงั้นหรือ
ซูอินไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้ เธอล้วงกระเป๋าแตะกระดาษที่อยู่ในนั้น เดิมทีเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่บ้านตระกูลสวีต่อ จึงตอบรับอย่างอารมณ์ดี
“อืม ตกลง”
สวีเหวินเหวินถอนหายใจโล่งอก
ปรากฏว่าเธอนั้นโล่งใจเร็วเกินไป เพราะแม่เฒ่าสวีไม่ยอมให้เธอสองคนเข้าบ้าน แม้สวีเหวินเหวินจะพูดดีโดยบอกว่าเอาข้าวมาให้ ประตูก็แค่ถูกเปิดแง้ม มือเหี่ยวย่นเหมือนเปลือกไม้แห้งยื่นออกมา คว้ากล่องข้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตูดัง “ปัง”
“ทิ้งพ่อที่ป่วย เด็กอกตัญญู ตอนนี้กลับบ้านได้แล้วหรือ”
“ย่าคะ เมื่อครู่อินอินเป็ไข้จนสลบไปนะคะ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เื่ของครอบครัวตัวเองยังจัดการไม่ได้ ทำไมต้องไปสนใจเื่ของคนอื่น อีกอย่างไม่ใช่เพราะฉันอายุมากแล้วจึงดูถูกคนอื่นหรอกนะ แต่เด็กนั่นมีพ่อมีแม่ ทำไมไม่นอนบ้านตัวเอง ต้องมาอยู่บ้านคนอื่น คงเป็เพราะทำเื่ไม่ดีจนต้องปกปิดที่บ้าน ไม่กล้ากลับไปน่ะสิ ต่อไปห้ามสุงสิงกับคนแบบนี้อีกนะ…”
เสียงแม่เฒ่าสวียิ่งพูดก็ยิ่งแสดงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เป็น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ
เด็กสาวไร้เดียงสาทั้งสองคงทำอะไรแม่เฒ่าคนนี้ไม่ได้แล้ว
ซูอินคิดว่าตนเองเป็แขก จำเป็ต้องรักษามารยาท ไม่ควรปะทะกับเ้าของบ้าน
อย่างไรก็ตาม ปากของแม่เฒ่าสวีไม่ต่างอะไรกับยาพิษ
พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ในเมื่ออีกฝ่ายทำตัวไร้เหตุผล ทำไมเธอต้องทน
เธอพยายามควบคุมสติก่อนจะก้าวเท้าไปเบื้องหน้า และกระแอมในลำคอ “ฟังหนูพูดสักประโยคก่อนได้ไหมคะ”
“ผู้ใหญ่กำลังพูด เธอพูดขัดได้ยังไง เด็กสมัยนี้นับวันยิ่งไร้มารยาท โดยเฉพาะเด็กอย่างเธอ ยังจะมาอยู่บ้านของฉันอีกหรือ!”
แม้จะมีประตูเหล็กกั้น แต่ซูอินก็เห็นสีหน้าแสดงความรังเกียจของแม่เฒ่าสวีอย่างชัดเจน
ดูเหมือนคงเป็ไปได้ยากที่จะโน้มน้าวคนผู้นี้
เมื่อคิดได้แล้ว ขาที่อยู่ภายใต้กระโปรงของเธอจึงยกขึ้น และถีบประตูเหล็กอย่างแรง
ตึง!
เกิดเสียงดัง ประตูทั้งบานและผนังสั่น แม่เฒ่าสวีใ อ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันที่มีขนาดไม่เท่ากัน
“คุณควรดีใจนะที่ปากซึ่งเต็มไปด้วยตัวทำลายสิ่งแวดล้อมและขัดต่อกฎหมายไม่ได้ถูกตรวจสอบ อีกอย่างฉันก็ไม่คิดจะอยู่ที่บ้านของคุณต่อแล้วด้วย”
“อินอิน”
เสียงใของสวีเหวินเหวินดึงสติของแม่เฒ่าสวีกลับมา ก่อนที่หล่อนจะรีบสวนกลับ “แล้วตอนนี้เธอมายืนอยู่หน้าบ้านฉันทำไม”
ซูอินตบไหล่สวีเหวินเหวินเป็การปลอบ ก่อนจะยิ้มเย้ยผ่านตาแมว “แค่กลับมาเอาของ แบบนี้เท่ากับคุณจะเก็บของของฉันไว้ ไม่ยอมให้เข้าไปเอาหรือคะ”
สถานการณ์เริ่มตกอยู่ในความประหม่า ครู่หนึ่งแม่เฒ่าสวีคิดจะยึดกระเป๋าและชุดนักเรียนของเธอโดยไม่คืนให้จริงๆ
“ไม่พูดแบบนี้ แสดงว่าจะไม่ยอมคืนของให้ฉัน ถ้างั้นฉันโทรแจ้งตำรวจนะคะ”
“อิน”
“ชู่”
บริเวณโถงทางเดินมีแสงไฟสลัว ซูอินขยิบตาให้สวีเหวินเหวินที่แสดงท่าทีกังวล ก่อนจะะโผ่านประตูเข้าไป “เหวินเหวิน เธอก็รู้ว่าของพวกนั้นสำคัญกับฉันมาก ย่าเธอทำตัวไร้เหตุผล วันนี้คงทำได้เพียงให้ตำรวจมาจัดการ ฉันไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่เพื่อนบ้านน่าจะมี”
พูดจบเธอหันไป ทำท่าเหมือนกับจะเดินไปข้างบ้าน
แม่เฒ่าสวีมองผ่านตาแมวก็เริ่มร้อนใจ
สวีลี่ฉวินกำลังนั่งกินปลา ปลากะพงนึ่งที่สวีเหวินเหวินนำกลับมาเนื้อนุ่มมาก แป๊บเดียวก็กินหมดไปครึ่งตัว เหลือแค่หัวกับหาง
ในตอนนั้นเขาตบตะเกียบลงกับโต๊ะ “ปึง” ก่อนจะพูด “แม่ มันไม่ใช่ของมีราคา คืนเธอไปเถอะ!”
เมื่อเป็คำพูดของบุตรชายเธอจึงยอมฟัง ในที่สุดแม่เฒ่าสวียอมเปิดประตู เมื่อเผชิญหน้ากัน พวกเขาสองคนยังคงทำหน้าตึงใส่เช่นเดิม
ซูอินเหนื่อยที่จะต้องมาสนใจพวกเขาแล้ว
เธอเข้าไปในห้องนอนของสวีเหวินเหวินและเก็บข้าวของ รวมถึงเสื้อผ้าในถุงพลาสติกที่ยังไม่ได้ตาก ข้าวของส่วนใหญ่ของเธอเก็บไว้ในห้วงมิติ ของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันก็เก็บไว้ในกระเป๋าหนังสือ ทำให้ใช้เวลาครู่เดียวก็เก็บของเสร็จ
“อินอิน เธอ…”
ซูอินรู้ดีว่าอีกฝ่าย้าพูดอะไร “วางใจเถอะ ฉันทำงานมีเงิน เงินที่หามาได้สามารถนอนพักที่โรงแรม เหวินเหวิน หรือเธอจะไปอยู่กับฉันไหม อย่างน้อยก็รอให้คุณป้าหยางกลับมาก่อนวันพรุ่งนี้”
เธอมองออกว่าหากสวีเหวินเหวินอยู่ที่นี่คงไม่สบายใจแน่
แต่ก็รู้ดีเช่นกันว่า สวีเหวินเหวินไม่มีทางยอมรับข้อเสนอ
สวีเหวินเหวินใเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “อินอิน ขอบคุณมาก แต่ที่นี่เป็บ้านของฉัน พวกเขาคือย่าและพ่อ ก่อนหน้านี้เป็ความผิดของฉันเอง การที่พวกเขาจะโมโหก็เป็เื่สมควรแล้ว ฉันไม่เป็ไรหรอก”
เธอรู้แล้วว่าต้องเป็เช่นนี้
ซูอินเข้าใจในหัวอกเดียวกัน แต่อย่างไรสวีเหวินเหวินก็ไม่ได้ร้องขอให้ช่วยเหลือ
“ระวังตัวด้วย ฉันไปก่อนนะ”
สะพายกระเป๋าพร้อมกับถือถุงพลาสติก ซูอินเดินออกมาจากห้องนอน เธอหันไปมองใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าสวี ไม่แม้แต่จะสบตาก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปจากบ้านตระกูลสวี
นั่นทำให้แม่เฒ่าสวีโกรธมาก ประตูยังไม่ทันปิด หล่อนก็ะโอย่างเกรี้ยวกราด
“เธอทำท่าแบบนี้หมายความว่ายังไง!”
ซูอินรออย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านหลัง เธอได้แต่ส่ายหน้า รู้ดีว่ามีหลายเื่ที่เธอยังไม่เข้าใจ แล้วคนนอกจะเข้าใจได้อย่างไร
เธอใช้แสงไฟจากหน้าอาคารดูที่อยู่บนกระดาษที่ฉินหล่างมอบให้
เธอรู้จักสถานที่นี้ มันอยู่ระหว่างทางเดินจากร้านชานมไปโรงเรียน ห่างจากร้านชานมไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ซึ่งสะดวกมาก
อีกทั้งอยู่ในบริเวณย่านการค้า วันธรรมดามีคนพลุกพล่าน ไม่มีทางเกิดการลักพาตัวหรือเื่ไม่ดีอย่างแน่นอน
ถึงแม้ฉินหล่างจะหล่อเหลาทำให้ใครต่อใครรู้สึกไว้ใจ แต่ตราบใดที่ยังไม่มั่นใจว่าปลอดภัยก็อย่าประมาท
เมื่อมั่นใจเื่ที่อยู่แล้วซูอินจึงรู้สึกวางใจ แต่ก็ไม่ได้รีบไปที่นั่นทันที เธอแวะธนาคารแถวนั้นก่อน
่ต้นทศวรรษ 2000 ตู้เอทีเอ็มยังไม่ได้รับความนิยมเท่ากับยุคหลัง แต่ก็มีการติดตั้งไว้ที่ธนาคารแล้ว สอดบัตรเข้าไป กดรหัสแล้วเธอก็ตรวจสอบเงินในบัญชี
เวลาที่รอดูจำนวนเงินช่างยาวนานเป็พิเศษ
ในที่สุด เมื่อเครื่องเอทีเอ็มตอบกลับอย่างช้าๆ เธอก็เห็นจำนวนเงินในบัตร
เลขสี่หลัก
ไม่ใช่จำนวนตอนที่เธอเปิดบัญชี และไม่ใช่เงินสองพันหยวนตามที่เธอคิด แต่เป็ห้าพันหยวน
ห้าพันเชียวนะ…มากกว่าที่เธอคิดไว้เท่าตัวของเงินสองพันหยวน
ซูอินกระสับกระส่ายเล็กน้อย เมื่อสลัดความใได้แล้วก็ถูกแทนที่ด้วยความดีใจ
หลังจากดึงสติกลับมา เธอก็ตรวจสอบบันทึกการทำธุรกรรม
เวลาที่เงินโอนเข้ามาคือตอนที่เธออยู่ที่เคาน์เตอร์ชำระเงินของโรงพยาบาลพอดี
ดูจากเวลาตัดระบบของธนาคารเท่ากับว่า หลังจากที่อีกฝ่ายตอบรับเงื่อนไขของเธอ เขาก็รีบโอนเงินก้อนนี้ให้ทันที
เครื่องเอทีเอ็มคายธนบัตรออกมา ในมือเธอมีธนบัตรปึกหนา ภาพลักษณ์ของฉินหล่างสูงขึ้นในใจเธอทันที