ภิกษุร่างกำยำในมือถือไม้เท้าเหล็ก ไม้เท้าสีดำสนิทนั้นดูท่าแล้วคงจะหนักไม่เบา
รอบๆ พื้นผิวของไม้เท่านั้นยังมีอักขระสลักไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะโดนตะไบจนเรียบไปหมด มองเผินๆ จึงเหมือนว่ามันได้กลายเป็เนื้อเดียวกันกับไม้เท้าเสียแล้ว
ทว่าหากเป็คนที่มีความรู้สักหน่อยย่อมจะรู้ว่า ในมือของภิกษุหนุ่มนั้นแท้จริงแล้วคืออาวุธของแคว้นจิง
ทั้งยังเป็อาวุธจากแคว้นจิงแท้ๆ มิใช่แบบด้อยคุณภาพที่เหล่าพ่อค้าขนส่งเข้ามา หรืออาวุธแบบที่เอามาดัดแปลงเอง
เมื่อเหล่าภิกษุเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งหลับอยู่บนขั้นบันได ก็ส่งเสียง “เอ๊ะ” ขึ้นมาเบา ๆ
ภิกษุหนุ่มเห็นว่าภิกษุชรากำลังมองมาทางตน สองมือจึงยกขึ้นประนมแล้วกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ขอรับ บุคคลนี้นับว่าเป็ต้นกล้างาม หากว่ามีโอกาสได้เข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาศาสนา ย่อมต้องได้กลายมาเป็พระโพธิสัตว์ที่ใต้หล้านับถืออย่างแน่นอน”
ภิกษุชราเหลือบมองเด็กหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “อย่าได้สร้างปัญหาเลย”
เมื่อกล่าวจบร่างผอมบางนั้นก็ก้าวเข้าร้านตำราไป
เณรน้อยที่เดินตามหลังอยู่ก็รู้สึกสงสัยจึงหันไปมองเด็กหนุ่มนี่นั่งหลับอยู่ด้านข้างคราหนึ่ง รู้สึกว่ามีสิ่งใดต่างออกไปจึงทำให้ศิษย์พี่ถึงขั้นกล่าวว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็ต้นกล้างาม
ภิกษุหนุ่มด้วยเพราะกำลังครุ่นคิดเื่อื่น จึงไม่ได้ตามภิกษุรูปอื่นเข้าไปในร้าน
ร้านตำราในแคว้นเชินนั้นปลอดภัยนัก ทว่าราษฎรในแคว้นเชินกลับเน่าเฟะ
ในแคว้นของพวกเขามีกฎว่าในร้านตำราและสำนักการศึกษาห้ามลงมือต่อสู้กันอย่างเด็ดขาด
ภิกษุหนุ่มตัดสินใจนั่งลงบนบันไดหิน ข้างๆ เสี่ยวอู่ที่ยังคงหลับใหล
เสี่ยวอู่ที่กำลังหลับสบายใต้แสงตะวันที่แสนอบอุ่น จมูกพลันได้กลิ่นหอมฉุนที่โชยมา
แสงแดดที่เคยสาดส่องพาให้ร่างกายเขาอบอุ่น เพียงอึดใจก็ถูกบดบังเสียแล้ว ทั้งข้างกายยังมีกลิ่นฉุนกึกเพิ่มขึ้นมา
เขาพลันลืมตาขึ้นอย่างระแวดระวัง อีกทั้งมือก็รีบควานหาห่อผ้าของตนมาจับไว้
จากนั้นจึงเห็นว่าข้างกายตนนั้นมีภิกษุที่ไม่รู้ว่ามานั่งอยู่ั้แ่เมื่อใด
ในใจพลันรู้สึกขุ่นเคืองตนเองนัก ไฉนเขาจึงประมาทถึงเพียงนี้ พระหนุ่มถึงขั้นมานั่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจึงเพิ่งจะรู้สึกตัว หากเปลี่ยนเป็คนร้าย ป่านนี้เขาคงตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ภิกษุหนุ่มมองใบหน้าขัดเคืองของเด็กหนุ่มแล้วก็รู้สึกว่าเขานั้นช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลย
ทว่าเ้าเด็กหนุ่มนั้นก็ยังนับว่าว่องไวอยู่พอตัว เพียงแค่ลืมตาสิ่งแรกที่ทำคือรีบควานหาห่อผ้าของตนทันที คาดว่าในห่อนั้นย่อมมีอาวุธเป็แน่
เ้าเด็กหนุ่มคนนั้นขายาวนัก ทั้งยังมีแรงมาก มือก็เต็มไปด้วยตุ่มด้าน ทั้งข้อนิ้วมือก็ใหญ่ ทว่าแววตานั้นกลับกระจ่างใส
ภิกษุหนุ่มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประทับใจเ้าเด็กหนุ่มคนนี้นัก
“ประสกไม่ต้องใไป อาตมามีฉายาว่าอาปา อาตมาเห็นว่าประสกมีรากแห่งปัญญา หากยินดีบวชเป็ภิกษุ ย่อมต้องได้บรรลุมรรคผลเป็แน่”
ภิกษุหนุ่มกล่าวไปพร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยดวงตาเป็ประกาย
เสี่ยวอู่พลันนิ่งค้าง รอจนตกผลึกอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจว่าภิกษุรูปนี้เพิ่งจะเชื้อเชิญเขาให้ไปบวชเป็พระเหมือนกับตนหรือนี่
เพียงพริบตาเสี่ยวอู่ก็โกรธจัด
“หากว่าบวชแล้วจะยังกินเนื้อได้หรือไม่ ยังจะแต่งภรรยาได้หรือไม่ แล้วข้ายังจะเลี้ยงครอบครัวให้มีชีวิตรอดได้หรือ” ทว่าเสี่ยวอู่นั้นก็ยังนับว่าเป็คนที่คุยกับผู้อื่นด้วยเหตุผล ที่สำคัญคือชายตรงหน้าย่อมไม่มีทางสู้ลูกเหล็กของเขาได้อย่างแน่นอน เช่นนี้จึงสามารถคุยกันด้วยเหตุผลได้
ภิกษุหนุ่มอาปาพลันอึ้งค้าง กินเนื้อหรือ แต่งภรรยาหรือ เลี้ยงครอบครัวหรือ มันจะเป็ไปได้อย่างไรกัน เขาพลันส่ายหน้าตอบ “หากเข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ย่อมได้กลายมาเป็ศิษย์ของพระพุทธแล้ว ย่อมมิอาจฉันเนื้อ มิอาจแต่งภรรยา และย่อมไม่มีครอบครัวอีกต่อไป”
เสี่ยวอู่ยิ้มแฉ่งขึ้นทันที “ข้าไม่ขอเอาด้วยหรอก ข้าชอบกินเนื้อ ทั้งยังอยากแต่งภรรยา ทั้งยังต้องดูแลครอบครัว ย่อมมิมีเวลาว่างถึงเพียงนั้น”
เสี่ยวอู่เมื่อกล่าวจบก็กอดห่อผ้าตนแล้วหลับตาลง ไม่สนใจภิกษุข้างกายตนอีกต่อไป
ภิกษุหนุ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา ทว่าท่านอาจารย์บอกเขาว่าอย่าสร้างเื่ มิเช่นนั้นเขาคงจะทำให้เ้าเด็กหนุ่มตรงหน้าสลบไสลแล้วแบกไปเก็บไว้บนรถม้าแล้ว
ส่วนในร้านขายตำรานั้นภิกษุชรากำลังพาเณรน้อยข้างกายตนมายืนอยู่หน้าชั้นวาง
ชั้นวางตำราตรงหน้าเขาล้วนเป็ตำราแนะนำเื่ต่างๆ ในแคว้นเชิน มีทั้งภูมิประเทศ ธรรมเนียม เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย การเดินทาง ไม่ว่าเื่ใดก็ล้วนแนะนำอย่างละเอียด
ภิกษุชราเห็นดังนั้นก็ลิงโลด เขาหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา กลิ่นหมึกคละคลุ้ง แผ่นกระดาษเรียบลื่น ตัวอักษรชัดเจนเป็ระเบียบ
ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก
เหล่าเทพเซียนช่างลำเอียงรักแต่แคว้นเชินโดยแท้
ภิกษุชราเพิ่งจะออกจากูเาลึกลับที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ สถานที่แรกที่ตรงดิ่งมาทันทีก็คือร้านขายตำรา
สองมือของชายชราตระกองหนังสือไว้ ท่าทางนั้นดูจริงจังราวกับกำลังเข้าฌาน ดูแล้วช่างเคร่งขรึมและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน
เณรน้อยมองท่านอาจารย์ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ั้แ่เขาเริ่มรู้ความ นี่เป็ครั้งที่เขาได้ติดตามอาจารย์ออกมา
เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ยังคงถือตำราอยู่ เขาจึงแอบย่องไปด้านข้างอย่างเงียบๆ ค่อยๆ ย่องทีละนิดจนไปถึงหน้าชั้นหนังสืออีกชั้นหนึ่ง
เมื่อหันกลับไปก็มองไม่เห็นท่านอาจารย์ของตนแล้ว
ในวันปกตินั้น ท่านอาจารย์จะเอาแต่จับตามองเขาอยู่ตลอด
ทว่ายามที่เขาหันกลับมากลับมีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าตน
เด็กหญิงสวมกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ ตรงเอวมีแถบผ้ารัดไว้หลวมๆ แถบผ้ายังมีผีเสื้อตัวน้อยห้อยไว้อีกตัว
อืม เด็กหญิงคนนี้ดูอ้วนไปสักหน่อย
ใบหน้ากลมนั้นเต็มไปด้วยเนื้อ ทว่าศีรษะกลับมีผม ทั้งยังชี้โด่เด่ไปมา จุกผมชี้ๆ ของนางมีเชือกสีแดงมัดไว้
ดวงตาของนางกลมโตราวกับลูกแมว ขนตาก็ยาวเหมือนกับเขา
นางเองก็คงกำลังสงสัยว่าตนเป็ใคร ดวงตาคู่กลมนั้นจึงได้กะพริบถี่ๆ มองตน
“ท่านก็ชอบเล่นไฟเหมือนกันหรือ ผมจึงได้หายไปหมดเช่นนี้ ดูสิบนหัวยังมีรอยแผลเป็อีก” เฉินโย่วถามขึ้นด้วยความฉงน
เณรน้อยงุนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจความหมายของนาง
มองผมสั้นที่ชี้ไปคนละทิศละทางของนาง หรือนางจะถูกไฟไหม้ผมมา
“อาตมาไม่ได้เล่นไฟ เพียงแต่อาตมาเป็เณร เณรย่อมไม่อาจไว้ผมยาวได้” เณรน้อยตอบเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เช่นนั้นพระก็ล้วนมีตาข้างเดียวหรือ” เฉินโย่วถามเณรน้อยพร้อมชี้ไปที่หน้าของเขา
เณรน้อยส่ายหน้า
“มิใช่ ตาข้างนี้ของอาตมาไม่ค่อยดีนัก ท่านอาจารย์จึงให้สวมสิ่งนี้ปิดไว้”
“โอ้!” เฉินโย่วพลันรู้สึกเห็นใจเณรน้อยขึ้นมา รู้สึกว่าเด็กชายตรงหน้าตนช่างเหมือนกับเ้าม้าตัวนั้นของพี่ชายที่ก็มีดวงตาเพียงข้างเดียวเหมือนกัน
ส่วนดวงตาอีกข้างนั้นมีเพียงรูกลวงโบ๋
เมื่อครูนางเพิ่งผ่านถนนเส้นที่ขายขนมมาจึงได้ซื้อขนมมามากมาย บัดนี้เมื่อเห็นเณรน้อยท่าทางน่าสงสารตรงหน้าตน นางจึงล้วงไปในกระเป๋าหยิบเนื้อแห้งออกมาแบ่งให้เขาชิ้นหนึ่ง
เณรน้อยรีบสะบัดหน้าเป็พัลวัน
“อาตมาไม่อาจฉันเนื้อได้”
เมื่อได้ยินว่าเขาไม่สามารถกินเนื้อได้ นางก็รู้สึกสงสารเขาเสียยิ่งกว่าเดิม จึงหยิบผลไม้แห้งอีกชิ้นออกมาแทน แล้วยื่นให้เณรน้อย
“ชิ้นนี้ไม่ใช่เนื้อ เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว”
เณรน้อยเห็นเช่นนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อมองดูผลไม้แห้งชิ้นสีน้ำตาลอมแดงในมือนางที่้ามีน้ำตาลเคลือบอยู่ สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของมันได้ จึงยื่นมือออกไปรับมาแล้วใส่เข้าปาก
เพียงพริบตาใบหน้าของเณรน้อยก็พลันยับย่น
ใบหน้ากลมๆ ทำหน้ายู่ยี่จนดูประหลาด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็ยิ้มกว้าง ดวงตาที่เปิดไว้เพียงข้างเดียว โค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดูน่ามองนัก
เฉินโย่วจึงลองชิมดูลูกหนึ่ง
เปรี้ยวนัก
เปรี้ยวเสียจนนางน้ำลายไหลย้อย
เณรน้อยจึงยื่นมือออกมา แล้วใช้ชายเสื้อเช็ดให้นาง เมื่อเช็ดไปก็ไม่แปลกใจว่าทำไมศิษย์พี่ของตนจึงไม่ชอบเด็ก
เด็กช่างวุ่นวายเสียจริง กินขนมแล้วยังน้ำลายไหลอีก ทั้งยังตัวอ้วนนัก
เณรน้อยนั้นไม่เคยคิดว่าตนเป็เด็กคนหนึ่ง
แววตาที่เขามองเด็กหญิงดูไม่ต่างจากยามที่อาจารย์มองตน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“ข้าแบ่งขนมให้ท่านแล้ว ท่านให้ข้าดูดวงตาของท่านหน่อยได้หรือไม่” เฉินโย่วน้อยที่ยังมีผลไม้แห้งเต็มปากถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้
แม้ว่าท่านอาจารย์จะเคยกำชับกับเขาว่ายามอยู่ด้านนอกห้ามปลดผ้าปิดตาออก ทว่าคนตรงหน้าเขาเป็เพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังแบ่งอาหารให้เขาด้วย
เณรน้อยเมื่อคิดเช่นนั้น ก็พยักหน้าเบาๆ
สองมือของเณรน้อยยกขึ้นปลดปมผ้าปิดตาด้านหลังศีรษะตน ผ้าปิดตาสีดำค่อยๆ ร่วงหล่น
เฉินโย่วจ้องไปยังดวงตาของเณรน้อยตรงหน้า
นางนั้นเตรียมพร้อมจะเห็นรูกลวงโบ๋เช่นเ้าม้าของพี่ชาย
ทว่ายามที่ผ้าปิดตาร่วงลงมา นางกลับไม่เห็นรูกลวงอันใด เห็นเพียงดวงตาปกติข้างหนึ่ง แต่จะว่าปกติก็คงจะไม่เชิงนัก นางเห็นว่าตาดำในดวงตาข้างนั้นของเด็กหนุ่มนั้นมีถึงสองดวง มันกำลังทับซ้อนกันอยู่
เมื่อปลดผ้าปิดตาลงแล้ว เณรน้อยก็ถอยหลังไปชิดกับชั้นวางตำรา
เพราะเขาเพิ่งจะเห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้าตนนั้นได้กลายร่างเป็นกตัวหนึ่ง เป็นกตัวใหญ่ที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีนิลที่กำลังลุกโหม
เณรน้อยจึงรีบหยิบผ้าปิดตาขึ้นมาปิดตาข้างนั้นของตนไว้ให้กลับมาเป็สภาพปกติ จึงค่อยเห็นว่าตรงหน้าตนนั้นยังคงเป็เด็กหญิงคนเดิมยืนอยู่
เด็กหนุ่มพลันขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถามนาง “เ้าปวดหรือไม่”
เฉินโย่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ปวด”