บทที่ 4
คิ้วของหลินห่าวซวนเลิกขึ้นทันทีพร้อมกับใบหน้าของเขาที่แสดงความสงสัยออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของถานติง สายตาที่งุนงงและข้องใจจ้องมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้ารอให้อีกฝ่ายเอ่ยตอบข้อสงสัยที่ค้างคาอยู่
เมื่อเห็นความข้องใจที่อยู่บนใบหน้าของหลินห่าวซวน ถานติงก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้ถึงเื้ัการโยกย้ายฝ่ายในการทำงานในครั้งนี้ หรือไม่อีกฝ่ายก็ไม่รู้ตัวว่า่ที่ผ่านมานั้นตัวเองได้ทำอะไรไปบ้าง
“ห่าวซวน นายทำงานที่นี้มากี่เดือนแล้ว ?ถ้าฉันจำไม่ผิดประมาณ 6 เดือนใช่ไหม ?”
หลินห่าวซวนที่เป็ฝ่ายตั้งคำถามก่อนในตอนแรกงุนงงเล็กน้อยเมื่อถูกถามกลับ ก่อนที่จะค้นดูในความทรงจำของหลินห่าวซวนคนเก่าแล้วพยักหน้าตอบคำถามของถานติง
“นายรู้ไหมว่า ทุกเดือนที่นายทำงานที่นี้ นายล่วงเกินคนไปทุกฝ่ายแล้ว พอถึงเวลาให้นายย้ายหัวหน้าฝ่ายบ.ก.แต่ละฝ่ายก็แทบจะแย่งปฏิเสธ แม้พวกเขาจะไม่พูดออกมา แต่ในใจพวกเขาอยากให้นายถูกไล่ออกนะ ส่วนสาเหตุที่นายไม่ถูกไล่ออก ฉันว่าฉันไม่ต้องบอกนายก็น่าจะรู้นะ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของถานติง ใบหน้าของหลินห่าวซวนก็แข็งค้างและแสดงความไม่พอใจออกมาแทบจะในทันที เพราะความทรงจำที่อยู่ในหัวของเขาได้บ่งบอกหลินห่าวซวนมาหมดแล้ว ซึ่งเขาไม่คาดคิดเลยว่าตัวตนในอดีตจะเลวร้ายได้ขนาดนี้
ทั้งโยนงานที่ได้รับมอบหมายให้คนอื่น พูดจาไม่ดีกับแหล่งข่าวหรือคนให้สัมภาษณ์ แม้กระทั่งนำเครื่องดื่มมึนเมาขึ้นมาดื่มในเวลางานและกล่าวด่าเ้าของสำนักพิมพ์ เ้าของร่างคนเก่าก็ทำมาหมดแล้ว
สมแล้วที่คอมเมนต์นิยายในชาติก่อน ทุกคนที่ได้อ่านจะรุมสาปตัวประกอบคนนี้อย่างสาดเสียเทเสีย เมื่อรับรู้ถึงการกระทำในอดีตที่ผ่านมา เรียกได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานที่ดีและเป็คนนิสัยดีอย่างแน่นอน
ส่วนสาเหตุที่ไม่ถูกไล่ออกนั้นก็คงหนีไม่พ้นชื่อของหลินตงหยาง ลุงของเขาที่ทำงานเป็เลขาธิการพรรคคนปัจจุบันและถานติงที่เป็บ.ก.ใหญ่ฝ่ายวรรณกรรมของสำนักพิมพ์เป่ยจิงแห่งนี้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการย้ายไปฝ่ายวรรณกรรมเหรอครับ ?ผมจำได้ว่าผมกับคนในฝ่ายนั้นไม่เคยขัดแย้งกันมาก่อน ”
หลินห่าวซวนกล่าวถามกลับมาทันที เพราะเมื่อนึกย้อนดูดี ๆ แล้ว ตัวเขากับคนในฝ่ายวรรณกรรมนั้นไม่เคยมีเื่กันมาก่อน
“มันก็ใช่ที่นายไม่เคยมีเื่กับฝ่ายวรรณกรรมที่ฉันดูแล และมันเป็จังหวะบังเอิญพอดีที่เสี่ยวตงเกิดเจ็บข้อมือต้องพักการเขียน 2 สัปดาห์ ทำให้เหล่าสงที่รับผิดชอบคอลัมน์ประจำสัปดาห์ บอกว่าจะช่วยดูแลนาย แถมยังออกปากจะให้นายเขียนนิยายขึ้นมาและนำมันมาตีพิมพ์แก้ขัดไปก่อนในระหว่างที่เสี่ยวตงรักษาตัว ”
ถานติงกล่าวออกมารวดเดียวพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูแคลน ทำให้หลินห่าวซวนรู้ว่าการกระทำแบบนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน ซึ่งคำตอบนั้นก็ได้รับทันทีเมื่อถานติงเอ่ยต่อว่า
“เหอะ !คนที่ไม่ชอบหน้านายที่สุดกลับยกงานให้นายแบบนี้ เจตนาของหมอนั่นคิดที่จะให้ทุกคนเห็นว่านายไม่มีความสามารถมากพอและพิจารณาการไล่ออกอีกครั้ง คราวนี้นายเข้าใจหรือยังว่าการที่นายย้ายไปที่นั่น หมายถึงนายไปหาที่ตาย และฉันก็ช่วยนายไม่ได้แล้ว เพราะนี่เป็คำสั่งจากเบื้องบน ”
เมื่อกล่าวจบถานติงก็หันไปมองดูหน้าหลินห่าวซวน เดิมทีเขาคิดว่าจะเป็สีหน้าที่ไม่สู้ดีของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้คือใบหน้าของผู้ชนะและมีความสุขเป็อย่างยิ่ง
เฮ้ ๆ!ไม่ใช่ว่าช็อกจนเสียสติไปแล้วหรอกนะ ขืนเป็แบบนั้นจริง ลุงของนายเอาฉันตายแน่ !
“ห่าวซวน แกไม่เป็ไรนะ ?ถึงลุงจะช่วยให้แกไม่ต้องย้ายแผนกไม่ได้ แต่ลุงก็ช่วยในการตรวจงานแกก่อนตีพิมพ์ได้นะ แกไม่ต้องกังวลไปหรอก ”
เมื่อได้ยินคำถามของถานติง หลินห่าวซวนก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายคิดว่าตนกังวลมากจนเกินไป ก่อนที่จะส่ายศีรษะช้า ๆ แล้วตอบกลับไปว่า
“ผมไม่ได้กังวลหรอกครับ แค่คิดว่าการให้ผมทำงานนี้แทนมันไม่ใช่การหาที่ตาย แต่ว่าเป็การที่ผมจะได้เริ่มใหม่ต่างหาก ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ถานติงคิดจะเอ่ยปากเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดีและไม่ให้ประมาทในงานสายนี้ อย่างไรเสียในสายตาของเขา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจบมาจากคณะอักษรศาสตร์ แต่พฤติกรรมและความสามารถของหลานคนนี้มีแค่ไหน ตัวเขารับรู้เป็อย่างดี
แต่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นของหลินห่าวซวน ถานติงก็ตัดสินใจที่จะเงียบเอาไว้ อย่างไรเสียการที่มีใจสู้ก็ดีกว่าหดหู่ ดังนั้นตัวเขาก็เลยคิดที่จะปล่อยละค่อยให้ความช่วยเหลือในยามที่จำเป็
แน่นอนว่าหลินห่าวซวนไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของถานติงในตอนนี้ ในหัวของเขาตอนนี้กำลังดีใจกับโอกาสที่ได้รับมา เพราะนี่จะเป็เส้นทางใหม่ที่ตัวเขาเลือกเดินและเปลี่ยนชะตาชีวิตที่ถูกวางไว้ให้เจิดจรัสขึ้นมา
หลังจากนี้ชีวิตของตัวประกอบคนนี้ ตัวของเขาจะเป็คนลิขิตมันเอง !
......................................
หลังจากที่ถานติงที่หมดเื่ที่จะคุยแล้ว พนักงานในกะเช้าต่างก็เดินทางเข้ามาในที่ทำงานตามเวลางาน และนั้นก็เป็สัญญาณของความวุ่นวายของชีวิตคนทำข่าว เพราะต้องข้อมูลที่เกิดขึ้นใน่คืนที่ผ่านมาสรุปและเขียนเพื่อตีพิมพ์ให้ทัน หรือไม่ก็ต้องคอยประสานกับนักข่าวภาคสนามที่เกาะติดตามที่ต่าง ๆ เพื่อนำข่าวมาตีพิมพ์ ดังนั้นแล้วเสียงะโข้ามโต๊ะย่อมเป็เื่ปกติ และหากว่า้าชีวิตพนักงานเงินเดือนที่ทำงานเงียบ ๆ ไม่มีทางหาได้จากบริษัทที่ทำงานข่าวอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าฝ่ายวรรณกรรมเองก็กำลังเผชิญในสถานการณ์เดียวกันกับฝ่ายอื่น ๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้ดุเดือดมากนัก และเป็หนึ่งในไม่กี่ฝ่ายเท่านั้นทำงานโดยไม่ต้องะโโวยวาย
เวลาล่วงเลยไปถึงยามบ่ายที่เป็สัญญาณโค้งสุดท้ายของพนักงานในกะเช้า ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้นนั้นค่อย ๆ เบาลง เพราะงานที่ต้องทำนั้นเสร็จไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เก็บรายละเอียดและส่งมอบคนในกะกลางคืนที่กำลังจะเริ่มงานไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
ตรงฝ่ายวรรณกรรมที่ตั้งอยู่ในสุดของชั้น หลินห่าวซวนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็กำลังหัวหมุนในการทำงานครั้งแรกในชีวิตอยู่เช่นกัน บนโต๊ะทำงานก็เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่าๆ วางกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งเ้าของโต๊ะอย่างหลินห่าวซวนเองก็ยุ่งอยู่กับการจดบางสิ่งบางอย่างลงไปในกระดาษโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย
“สรุปแล้ว นิยายที่ผู้คนในยุคนี้ชอบก็ยังคงเป็นิยายกำลังภายในเหมือนชีวิตที่ผ่านมาอยู่ดีสินะ แถมยังมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ อีกต่างหาก ”
หลินห่าวซวนพึมพำออกมาพร้อมกล่าวสรุปความคิดของตัวเอง หลังจากที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวงการวรรณกรรมและนิยายที่วางขายในท้องตลาดในตอนนี้
ด้วยกระแสสังคมยังมีทางเลือกในการนำเสนอผลงานของนักเขียนที่ไม่มากมายนัก ทำให้คอลัมน์ที่เปิดให้นักเขียนอิสระนำผลงานมาตีพิมพ์จึงเป็คล้ายกับเวทีที่เอาไว้ปล่อยของ เสมือนประตูบานแรกที่วัดใจว่าจะรุ่งหรือร่วงในเส้นทางของอาชีพนี้
โดยเฉพาะหมวดนวนิยายที่ถือว่าเป็ของคู่กันของคอลัมน์ของฝ่ายวรรณกรรมของทุกสำนักพิมพ์ในประเทศ เพราะมันคือหนึ่งในคอลัมน์ที่สามารถสร้างรายได้และยอดขายต่อฉบับให้กับสำนักพิมพ์ไม่แพ้ข่าวหลักที่ออกมารายวัน และยังสามารถทำรายได้เพิ่มเติมได้จากการนำนวนิยายยอดนิยมพวกนั้นมาตีพิมพ์เป็เล่มขายได้อีกด้วย
“แล้วเราจะเลือกนิยายเื่ไหนมาตีพิมพ์ดีละเนี่ย?”
หลินห่าวซวนก็รู้สึกหนักใจอยู่เล็กน้อย เมื่อมองดูหมวดหมู่ยอดนิยมของตลาดนิยายที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด และทางสำนักพิมพ์เป่ยจิงเองก็เป็หนึ่งในสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์นิยายประเภทนี้ เพียงแต่ว่ายอดขายของสำนักพิมพ์เป่ยจิงเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว ยอดของพวกเขากลับต่ำกว่าค่ามาตรฐานจนน่าใ
ด้วยสำนักพิมพ์เป่ยจิงเป็สำนักพิมพ์ขนาดเล็กและถือว่าเป็สำนักข่าวท้องถิ่น ทำให้งบประมาณที่จะจ้างนักเขียนมืออาชีพมาเขียนนิยายลงคอลัมน์นั้นไม่สามารถทำได้ ทำได้แค่ใช้คนในบริษัทต้องลงมาเขียนเอง ทำให้ผลงานมันอาจจะสู้คู่แข่งเ้าอื่นที่จ้างนักเขียนจากข้างนอกไม่ได้
ไม่ต้องเทียบกับสำนักพิมพ์ระดับประเทศที่อยู่ในเมืองเดียวกัน เพียงสำนักพิมพ์ท้องถิ่นระดับเดียวกันที่จ้างนักเขียนจากงานประกวดนวนิยายครั้งที่ผ่านมาก็มียอดขายที่มากกว่าแล้ว และสิ่งเหล่านี้มันก็เป็ภาพจำของผู้บริโภคที่จำได้ว่าคอลัมน์นวนิยายของสำนักพิพ์เป่ยจิงนั้น ด้อยคุณภาพของสำนักพิมพ์เ้าอื่น
แม้ว่าหลินห่าวซวนจะจำผลงานชั้นเลิศได้มากมายเพียงใด แต่เงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยแบบนี้ ต่อให้คำโบราณที่กล่าวไว้ว่าสุราดีไม่กลัวตรอกลึก (1) แต่ตัวเขาไม่มีเวลาที่จะรอให้ผลงานพวกนี้มาแสดงคุณค่าของตัวมันหรอกนะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือผลงานที่สร้างผลลัพธ์ในด้านยอดขายได้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ชีวิตในการทำงานของเขานั้นต้องจบลง
‘ตอนนี้การลงไปแข่งในหมวดกำลังภายในไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะหมวดนี้จะได้รับความนิยมเป็อย่างมาก เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคู่แข่งที่มากมาย ดังนั้นเราต้องเขียนในหมวดอื่น เพียงแต่ว่าหมวดรอง ๆ แบบนี้ต้องอาศัยกระแสภายนอกมาช่วยหน่อย ’
“เดี๋ยวนะ !กระแสจากภายนอกงั้นเหรอ?”
หลินห่าวซวนจมอยู่ในความคิดของตัวเองพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนที่จะรื้อหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะแล้วหยิบมันออกมา ตรงมุมกระดาษ้าเขียนระบุวันที่ของเมื่อวานนี้พร้อมกับพาดหัวข่าวที่เกี่ยวข้องกับวันครบรอบที่ากลางเมืองเมื่อ 40 ปีก่อนได้จบลง
นิยายที่เขียนเกี่ยวกับความขัดแย้งของสามฝ่ายในทางการเมือง และเป็หนึ่งในนิยายที่ชิงไหวชิงพริบที่หลินห่าวซวนรู้สึกสนุกที่สุด
ใบหน้าของหลินห่าวซวนเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับวงชื่อ ๆ หนึ่งในกระดาษที่จดชื่อของนิยายแล้วกล่าวว่า
“ใน่ที่กำลังจะถึงวันรำลึกระดับชาติ ฉันก็ขอเกาะกระแสสักหน่อยแล้วกัน ส่วนผลลัพธ์จะเป็ยังไงค่อยมาวัดกันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าละกัน ”
.................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
1.สำนวน แปลว่า ของดีไม่ว่าอยู่ที่ไหนย่อมมีคนพยายามตามไปเสาะหาจนพบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้