กระบี่แดงไม่ปรากฏ คนยืนขวางทรงอำนาจ ท่ามกลางความเงียบสงัด กลับได้ยินเสียงตูมตามอึกทึกจนว้าวุ่น
โบ๋เวินผู้สงบนิ่งเฉื่อยชามิอาจนิ่งสงบจิตใจอีกต่อไป หากผู้มาเป็ประมุขสำนักพันปี เขายังรู้สึกยินดีเป็สุขมากกว่าคนผู้นี้ปรากฏขึ้น
ในเมืองหลวง ในอาณาจักรชางไห่ เหล่ายอดฝีมือมีผู้ใดไม่รู้จักกระบี่สีแดงและเ้าของกระบี่ผู้นี้ นอกจากชาวบ้านทำงานกสิกรรมไม่สนใจเื่อื่นนอกจากปากท้อง คนทั้งหมดส่วนใหญ่ล้วนเคยได้ยินมาไม่มากก็น้อย
ส่วนใหญ่ล้วนเป็วีรกรรมอันผ่าเผยน่าครั่นคร้าม อดีตของหลินกงกงผู้นี้ เคยใช้กระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่งฆ่าล้างหนึ่งโจวจนสิ้นซาก กระบี่ธรรมเล่มนั้นภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเป็กระบี่แดง หลังจากชุ่มด้วยเืก็ไม่เคยกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมอีกต่อไป
กระบี่แดงมิใช่สร้างจากแร่เหล็กหัวใจั ทว่าสีแดงเป็เืของผู้คนที่ตายใต้คมกระบี่ ขันทีชราที่ดูปลอดโปร่งธรรมดาผู้นี้ ภายในรูปร่างที่ผ่ายผอม แผ่นหลังที่งองุ้มมิทราบมีิญญาอาฆาตตามติดเป็เงามากน้อยเท่าใด
โบ๋เวินต่อให้มิจิตใจหนักแน่นดั่งขุนเขา ยามอยู่ต่อหน้าขันทีชราและกระบี่แดงน่าสะพรึงยังไม่กล้าวางท่าใจเย็นได้อีก ยิ่งไม่กล้าอยู่สูงให้อีกฝ่ายแหงนหน้ามองตน การทำเช่นนั้นคงมิต่างจากรำคาญการมีชีวิตอยู่สืบไป
เมฆอสรพิษร่อนลงผืนดิน โบ๋เวินก้าวเท้าสาวก้าวหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าขันทีชรา หลินกงกงผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตามีรอยย่นสองแก้มมีเืฝาด ยังมีกำลังวังชามหาศาล โบ๋เวินค้อมกายแทบจรดพื้น คารวะอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความแค้นสังหารศิษย์พี่เขาไม่นำพา มิใช่ความแค้นสังหารบิดาที่มิลบล้างมิจางหาย....
“หลินกงกง ผู้น้อยได้ยินชื่อนามกระเดื่องลือลั่นมานาน วันนี้ได้พบ นายท่านยิ่งใหญ่ทรงพลังกว่าที่ผู้คนเล่าขานยิ่งนัก”
ขันทีผมขาวสลายรอยยิ้ม ใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์นี้กลับทำให้โบ๋เวินหัวใจหล่นวูบ ขันทีผมขาวกล่าวอย่างไม่สนใจว่า
“เ้าไม่เคียดแค้นหรือ ศิษย์พี่ถูกสังหาร”
โบ๋เวินขมวดคิ้วรู้สึกแปลกใจ น้ำเสียงปกติมิทราบเป็ถามไถ่ ชักจูงหรือไต่สวน โบ๋เวินส่ายหน้าพลางตอบกลับไปว่า
“เป็ศิษย์พี่ที่โง่เขลาคนหนึ่ง แม้นจะรู้สึกอาลัยแต่ไม่เคียดแค้น ทั้งไม่มีความจำเป็ต้องเคียดแค้น”
ขันทีชราไม่แสดงออกทางสีหน้าทว่าถามต่อว่า
“เพราะเหตุใด?”
โบ๋เวินยามอยู่ต่อหน้าขันทีที่ท่าทางปลอดโปร่ง รู้สึกหวาดหวั่นไม่ต่างอยู่ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ป้องชายแดน รู้สึกถึงแรงกดดันไร้ลักษณ์คล้ายมีคล้ายไม่มีจู่โจมใส่จิตใจอย่างหนักหน่วง
“แค้นของศิษย์พี่จบแล้วก็ให้จบไป ชีวิตของข้ามีค่ากว่าการชำระแค้นให้เขา”
ขันทีผมขาวยิ้มออกมากล่าวว่า
“เ้าต่างจากเขาอย่างยิ่ง”
ดวงตาพลันทอประกายแหลมคม ใบหน้าคล้ายคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่งจากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า
“แต่ข้าจะมั่นใจได้อย่างไร”
โบ๋เวินตอบว่า
“ข้าน้อยยินยอมรับใช้ท่านไปตลอดชีวิต”
ขันทีชราส่ายหน้ากล่าวว่า
“เรารับใช้ฮ่องเต้ ไม่้าให้ผู้อื่นมารับใช้”
โบ๋เวินแผ่นหลังเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ อาภรณ์แนบติดแผ่นหลังที่บึกบึนมีกล้ามเนื้อก้มศีรษะลงกล่าวว่า
“กงกงโปรดชี้แนะ”
ความหมายเรียบง่ายในคำพูด ให้ท่านตัดสินใจว่าเราต้องทำเช่นไรต่อไป
เมื่อชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กระทำสิ่งใดล้วนยอมรับได้ ขอเพียงสามารถมีชีวิตรอด โบ๋เวินมิใช่ผู้รักในอุดมการณ์ คำว่า “ความแค้นมิอาจไม่ชำระ แม้ตายก็ยินยอม” นั้นสำหรับเขาเป็คำพูดของคนปัญญาอ่อน คนประเภทนี้มีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือ เป็สารอาหารให้ดินและต้นไม้
เทือกเขาหยกสงบสุขกลับคืนสู่ชีวิตชีวา ที่เพิ่มมาคือความวุ่นวาย ไท้หยูและศิษย์ทั้งสี่ยามนี้มักใช้ชีวิตอยู่ในห้องโถงใหญ่ของสำนัก ต่างคนต่างฝึกปรือ ทำธุระของตนเอง
ท่ามกลางความขยันขันแข็งของทุกคน
ไท้หยูรู้สึกถึงสายตาแหลมคมเสียดแทงตลอดเวลา โชคดีที่จื่อหยวนยังไม่รู้หนังสือมาก มิเช่นนั้นเด็กน้อยผู้นี้คงร่ายพู่กัน แต่งบทกวีด่าเขาทุกหนึ่งชั่วยามเป็แน่
“หรือว่าเหล่าผู้ชื่นชอบอักษรมักอยากดื่มเหล้าตามสัญชาตญาณ?” ในอดีตมีมากชอบดื่มสุราเมามายประพันธ์บทกวี ยังมีหลายคนที่ไม่อาศัยสุราสมองจะตีบตันคิดสิ่งใดก็คิดไม่ออก พอเมามายไม่ว่าสิ่งใดล้วนกระทำได้
สองตาเฒ่าในร่างของไท้หยูหลับใหลไปแล้ว เพราะดูดขวัญิญญามาจึงหลับใหลดูดซับพลัง ไท้หยูที่ฟื้นพลังในระดับรวมกายไม่สามารถฟื้นพลังทั้งหมดในอดีตกลับมา แม้นว่าพยุหะคำสาปและมลทินในร่างจะถูกลบล้างไปแล้ว ทว่า่เวลาหลายปีที่คำสาปเกาะกินก็ได้ทำลายพลังของเขาไปเช่นกัน
อันที่จริงเขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเื่ระดับพลังของตนเอง คิดเื่ออกไปท่องยุทธภพสักครา โลกเก่าของเขาแตกต่างจากโลกนี้อยู่มาก เขาคิดว่ายุทธภพคงมีสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย ดังนั้นคิดจะออกไปร่อนเร่เที่ยวเล่นสักหลายวัน มัวแต่อุดอู้อยู่ในเทือกเขาหยกคงน่าเบื่อแย่
ขณะที่ครุ่นคิดเช่นนั้นพลันรู้สึกถึงบางอย่าง สายตามองทะลุออกไปด้านนอก ลี่ซวนพลันปรากฏตัวถลันกายมาด้านข้าง
“ความสงบดำรงได้ไม่นาน” ไท้หยูพึมพำพลางหันมองลี่ซวน
ลี่ซวนสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย คล้ายรับรู้ถึงสายตาถามไถ่ของไท้หยูจึงกล่าวว่า
“คาดว่าเป็ศิษย์น้องของเ้าสำนักเมฆัที่ตายไป โบ๋เวิน”
ไท้หยูเพิ่งนึกขึ้นได้ คู่แข่งที่ยึดถือเขาเป็ศัตรูมิอาจร่วมฟ้าดินมีศิษย์น้องอยู่ผู้หนึ่ง ในอดีตอายุสิบห้ายี่สิบ พบเห็นเขาอยู่บ่อยครั้ง คนผู้นี้ไม่มีสิ่งใดให้จดจำ เรียบง่ายธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งไม่ชอบกล่าววาจาไม่ชอบสุงสิงเข้าพวกกับผู้ใด แต่ยามนั้นเขาทราบคนผู้นี้หากอบรมบ่มเพาะอย่างดี ในอนาคตจะเป็ผู้แข็งแกร่งในโลกฝึกตนคนหนึ่งในเจ็ดดินแดน เขามีศักยภาพเช่นนี้
ไท้หยูพลันกล่าวว่า
“ไฉนจึงมีแต่คนโง่งมรนหาที่ตายไปเรื่อย” ปากแม้กล่าวเช่นนี้ ทว่าใจตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ตื่นเต้นมิใช่ตึงเครียด นับั้แ่ต่อสู้รอบก่อนเขายังมิได้ต่อสู้ด้วยตนเองเลยสักครั้ง ดังนั้นจึงสงสัยในขีดความสามารถการต่อสู้ของตนเอง หากอีกฝ่ายคิดมาแก้แค้น คงได้ทดสอบฝีมือที่จริงแท้ของตนเองแล้ว
ยามนั้นโล่สีดำพลันลอยออกมา ไท้หยูะโขึ้น โล่สีดำพุ่งมารองใต้เท้าจากนั้นพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าทะมึน
หยุดอยู่เบื้องหน้าประตูแดง คนทั้งสองกางกั้นด้วยมหาพยุหะที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไท้หยูสังเกต บุรุษที่ดูธรรมดาผู้นี้เก็บงำประกายได้ดียิ่ง มองปราดเดียวก็พอทราบว่าเป็ผู้ที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง
“เมฆที่คล้ายอสรพิษใต้เท้าคงเป็วิชาที่สืบทอดกันของสำนักเมฆั ผู้ก่อตั้งเมฆัพบเจอเคล็ดวิชาของยอดคนในอดีตทิ้งไว้ คาดว่าคงเป็วิชานี้” ขณะครุ่นคิดยังไม่ทันกล่าววาจา
โบ๋เวินพลันคารวะค้อมกายกล่าวว่า
“ท่านประมุข ไม่พบกันนาน”
ไท้หยูมองดูเขา มองสีหน้าที่สงบนิ่ง “ช่างแตกต่างจากศิษย์พี่ของเ้ายิ่งนัก หากเ้าเป็ใหญ่ในสำนัก ชื่อเสียงของเมฆัคงระบือลั่นไปทั่วราชแล้ว”
ไท้หยูยิ้มแย้มกล่าวว่า
“จะมาทวงแค้นหรือ ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก ข้ากำลังหาคนซ้อมฝีมืออยู่พอดี”
โบ๋เวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ประมุขพันปีในอดีตที่เคยพบมิใช่คนประเภทนี้ ทว่าไม่ครุ่นคิดมากความแต่กล่าวว่า
“ข้ามาเพื่อสงบศึก”
“หืม?”
คำพูดนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ไท้หยูอยู่ไม่น้อย “สงบศึกหรือ? มิใช่แก้แค้น? จะว่าไปมิใช่หลินกงกงไปจัดการกับพวกเขาแล้วหรือ ไฉนยังมีสภาพอยู่ดีเช่นนี้ คงมิใช่หลินกงกงฝีมือทื่อด้านแล้วกระมัง ขันทีชราผู้นั้นหลงในสมบัติเงินทองอย่างยิ่งกลับไม่กวาดล้างสำนักเมฆั?”
โบ๋เวินกล่าวว่า
“หลินกงกงบอกให้เรามาหาท่าน ท่านบอกว่าชีวิตของเรามีเพียงท่านสามารถตัดสินผู้เดียว” กล่าวจบก็โบกมือวูบ เมฆอสรพิษที่ใต้เท้าเลือนรางขยับไหว จากนั้นก้อนกลมราวกับลูกหนังพลันตกลงมา เสียงตุบตุบตุบดังสามครา ไท้หยูก้มหน้ามองลูกหนังที่ตกพื้นถึงกับขมวดคิ้ว
“เหล่านี้คือผู้าุโที่เข้าร่วมกับศิษย์พี่ ล้วนตายหมดแล้ว เป็การยืนยันต่อท่านประมุขว่าต่อจากนี้สำนักเมฆัที่ไม่มีผู้ใดคิดต่อต้านท่านอีก”
ไท้หยูยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ไม่เข้าใจว่าขันทีผู้นั้นไปกล่าวสิ่งใดกับโบ๋เวิน เขาถึงกับฆ่าผู้าุโชำระล้างสำนักของตนเอง การทำเช่นนี้จริงอยู่ที่จะทำให้เขาลดความระแวงลงหนึ่งส่วน ทว่าไม่สามารถทำให้ไท้หยูเปลี่ยนใจเป็ปล่อยเขารอด
“เขาคิดว่าการสังหารคนเหล่านี้จะทำให้ข้าเชื่อเขา? หลินกงกงกระทำสิ่งใดจึงทำให้เขาเปลี่ยนเป็เช่นนี้” สำหรับด้านข่าวสาร สำนักพันปีในยามนี้มืดบอดอย่างยิ่ง ข่าวที่กระจายไปทั่วเมืองหลวงไม่มีวันมาถึงเทือกเขาหยกแห่งนี้ เพราะจารชนของสำนักพันปีล้วนสิ้นหมดแล้ว
ลูกหนังที่ตกพื้นมิใช่ลูกหนัง ทว่าเป็ศีรษะของคน ดวงตายังเบิกโพลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและคั่งแค้น มาตรว่าตายยังไม่ทันตั้งตัว โบ๋เวินล้างสำนักเป็การทำให้ไท้หยูเชื่อว่าเขาจะไม่คิดร้ายต่อสำนักพันปีและเขาที่เป็ประมุข ทว่าไท้หยูยอมเชื่อหรือ?
แม้นว่าแค้นสังหารศิษย์พี่ร่วมอาจารย์มิสู้แค้นสังหารร่วมอุทร ทว่าจิตใจคนยากลึกหยั่งถึง ผู้ใดสามารถมั่นใจได้ว่าคนเคียดแค้นจะไม่รอโอกาสสังหารท่านเมื่อประสบจังหวะเหมาะสม
สิ่งที่สร้างความแตกตื่นให้กับไท้หยูคือที่โบ๋เวินทำต่อจากนั้น เขาคุกเข่าลง เมฆอสรพิษที่อ่อนหยุ่นคล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นกับรับหัวเข่าเขาไว้ไม่ให้ร่วงลงมา โบ๋เวินคุกเข่าก้มศีรษะกล่าวเสียงกังวานว่า
“ต่อจากนี้ ข้าจะรับใช้ท่าน สำนักเมฆัจะเป็ส่วนหนึ่งของท่านประมุข”
ไท้หยูกะพริบตาหลายครา พยายามมองว่าใช่ภาพหลอนหรือไม่ โบ๋เวินในอดีตมาตรว่าไม่เข้าพวกกับผู้ใด ทว่ามิใช่คนที่ก้มศีรษะเลียเท้าผู้อื่นเช่นนี้ หรือนี่เป็สิ่งที่หลินกงกงสร้างเงื่อนไขให้เขา เพื่อให้เขามีชีวิตรอด?
ทว่ามีผู้ใดจะโง่เขลาปล่อยให้คนเช่นนี้มาอยู่ข้างกาย นี้ไม่ต่างจากการปล่อยให้อนุและภรรยาอยู่ร่วมกัน เปลือกนอกแม้นรักใคร่กลมเกลียว ทว่าเมื่อมีคนใดคนหนึ่งเผลอ อีกคนก็พร้อมจะจ้วงมีดแทงใส่
ไท้หยูคงไม่กล้าปล่อยให้สิ่งนี้อยู่ข้างกายของตนเอง มาตรว่าปากกล่าวยอมสยบ ทว่าสามารถควบคุมได้จริงหรือ ทั้งหมดล้วนอันตรายต่อชีวิต