องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ?
ดูเหมือนว่ายามที่จ้าวเยี่ยนได้ยินคำนี้ ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายระยิบระยับ อารมณ์ความรู้สึกเสียใจที่ทำเื่เมื่อครู่พาดผ่านในดวงตา
เหนียนยวี่สบสายตาฉู่ชิง พาดผุดรอยยิ้มที่มุมปาก "ลำบากท่านแม่ทัพเสียแล้ว"
มาเพราะรับสั่งขององค์หญิงใหญ่ชิงเหออะไรกัน
ฉู่ชิงเพียงแค่อยากเตือนจ้าวเยี่ยน ว่านางยังมีองค์หญิงใหญ่ชิงเหอคอยหนุนหลังอยู่ แม้เขาคิดอยากจะเอาเื่นางที่ตบเขาไปเมื่อครู่นี้ อย่างไรเสียควรจะคิดให้รอบคอบ เนื้อแท้เป็เช่นไร เหนียนยวี่ตบไปเพราะอะไร ในใจของจ้าวเยี่ยนเองก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว
ไม่ว่าเขาจะไปโต้เถียงแย้งเหตุผลกับผู้ใด เขา ‘จ้าวเยี่ยน’ อย่างไรเสียก็เป็ฝ่ายผิด
ไม่เพียงเท่านั้น เื่ที่ชายหนุ่ม หลีอ๋องผู้สง่าผ่าเผย ไม่สนใจปรารถนาสิ่งใด และนุ่มนวลไร้โลภะแก่งแย่ง่ชิง ลงมือพยายามทำบางสิ่งกับนางเมื่อครู่นี้ หากมันเผยแพร่ออกไป ภาพลักษณ์ไม่แก่งแย่ง่ชิงที่เขาพยายามสะสมมาตลอด เกรงว่าคงกลายเป็เื่ที่ดูน่าสงสัย
จ้าวเยี่ยนเป็คนฉลาด ดังนั้น ครั้นถึงเวลาที่ต้องสำรวมเก็บอาการ เขาไม่มีทางไม่รู้ว่าสิ่งใดสำคัญกว่า
เป็อย่างที่คิด สายตาของเหนียนยวี่กวาดมองจ้าวเยี่ยน ความไม่พอใจเลือนหายไปจากใบหน้าอย่างไร้ร่องรอย ไม่นานพลันคืนกลับมาอ่อนโยนตามความเคยชินเดิม ราวกับว่าชายผู้สูญเสียท่าทีต่อหน้านางเมื่อครู่นี้นั้นมิเคยปรากฏขึ้นมาก่อน
เหนียนยวี่เห็นทุกสิ่งในสายตา รู้ทันทีว่าเขาจะไม่ทำตัวเข้ามาพันเกี่ยวเช่นนั้นอีก นางย่อตัวคำนับอย่างสุภาพให้เขา “ท่านอ๋องหลียังมีเื่อะไรอีกหรือไม่เพคะ? หากไม่มีอะไรแล้ว เหนียนยวี่ขอตัวไปกับท่านแม่ทัพหลวงก่อนนะเพคะ”
มีเื่...เขาย่อมมีเื่แน่นอน!
ทว่าเมื่อเหลือบมองบุรุษชุดดำผู้สวมหน้าสีเงิน จ้าวเยี่ยนพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายก็ฝืนอดกลั้นคำที่อยากจะเอ่ย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉู่ชิงและเหนียนยวี่จึงเดินออกไป มองดูแผ่นหลังนั้นลับหายไปจากประตูลานเซียนหลาน ในใจพูดอะไรไม่ออกว่าเป็อย่างไร
เขารู้สึกถึงความแสบร้อนที่แล่นเข้ามาจากลำคอด้านข้าง ในแววตาของจ้าวเยี่ยนพลันมืดมน เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าวันนั้นที่ออกมาจากสวนร้อยสัตว์ ฉู่ชิงได้รับาเ็ที่หลัง คนที่พันแผลให้คือเหนียนยวี่งั้นหรือ?
าแเช่นนั้น หากต้องพันแผล จำต้องถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างแน่นอน
“เหนียนยวี่...”
‘ฉู่ชิง’ จ้าวเยี่ยนขบเขี้ยวเคี้ยวนามนี้ ครั้นคิดเื่นี้ คิดแล้วคิดเล่า หัวใจของเขาก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปทุกที
ในสายตาของเหนียนยวี่ เกรงว่าคงมีเพียงเขา ‘จ้าวเยี่ยน’ ที่นางปฏิบัติอย่างเ็าห่างเหินเยี่ยงนี้!
เขาเค้นความคิดแล้วก็ยังคิดไม่ออกถึงสาเหตุที่นางทำตัวเ็าเหินห่าง ยิ่งคิดมากเท่าใด ก็ยิ่งถูกดึงดูดด้วยดวงตาอันแสนเ็าคู่นั้น จนถอนตัวไม่ขึ้น...
เหนียนยวี่เดินตามฉู่ชิงออกจากลานเซียนหลาน และออกจากจวนเหนียนไป
ด้านนอกประตูจวนเหนียน เฉิงเชิงผู้คอยเฝ้าดูแลยืนรออยู่ ครั้นเห็นฉู่ชิงเดินออกมา เขารีบเร่งเข้ามาต้อนรับทันที ทว่ายังมิทันได้เอ่ยปากอะไร ฉู่ชิงพลันชิงเอ่ยสั่งให้เขากลับไปและทิ้งม้าสองตัวไว้ให้เขา ฉู่ชิงะโขึ้นบนหลังม้าด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วว่องไว สายลมที่พัดผ่านมาตามชุดดำที่สะบัดไหว ยิ่งเผยให้เห็นถึงความองอาจสง่าผ่าเผย
เหนียนยวี่อดคิดเื่ในคืนนั้นไม่ได้ นางเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากของเขา ตอนที่เขาคิดอยากจะสังหารนางเพื่อปิดปาก ตอนนั้นก็เป็ดั่งเช่นยามนี้ เขานั่งอยู่บนหลังม้าและนางยืนอยู่บนพื้น เวลานั้น นางคอยระวังระแวงเตรียมรับมือเขาตลอดเวลา ทว่ายามนี้เหนียนยวี่กลับทำตามใจตัวเอง นางยังคงคอยเตรียมรับมืออยู่หรือไม่?
“ขึ้นม้า” ฉับพลันนั้น เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากข้างบน เสียงทุ้มต่ำเรียบๆ แต่แฝงพลังประหนึ่งแม่เหล็กแรงสูงที่เหมือนจะดูดผู้คนให้เข้าไป
ขึ้นม้า? ไปตำหนักองค์หญิงใหญ่หรือ?
เหนียนยวี่เงยหน้าสบตาดวงตาสีดำขลับคู่นั้น พลางเหลือบมองม้าอีกตัวด้านข้าง ไม่ต้องลังเลสงสัย เหนียนยวี่ะโขึ้นและนั่งบนหลังม้าอย่างมั่นคง นางหันหน้าไปมองฉู่ชิงอีกครั้ง เห็นแววตาแปลกประหลาดพาดผ่านดวงตาคู่นั้น ทว่าเพียงพริบตา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เหนียนยวี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย นางเข้าใจความคิดในใจของเขาได้ในทันที เขาไม่คิดว่านางจะขึ้นหลังม้าได้อย่างง่ายดายปานนั้นหรือ?
ชาติก่อน ม้าศึกคือสหายร่วมรบที่นางสนิทมากที่สุด พวกมันเกิดมาเพื่อความตาย มันสามารถพานางพุ่งทะยานตรงไปยังหัวใจของศัตรู!
เหนียนยวี่รัดสายบังเหียน ลูบแผงคอม้าอย่างเบา นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ครั้นที่มองไปทางฉู่ชิงอีกครั้ง รอยยิ้มของนางก็ได้ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า
“ท่านแม่ทัพหลวงจะพาเหนียนยวี่ไปที่ใดหรือ?” เหนียนยวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสเบ่งบานบนใบหน้า ยิ่งดึงดูดสั่นคลอนหัวใจผู้คนมากขึ้น
คิ้วภายใต้หน้ากากของฉู่ชิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาโดนมองออกหมดเลยหรือ
เื่ที่เขาปั้นแต่งช่างฟังดูไม่ได้เื่ หรือเหนียนยวี่ผู้นี้ฉลาดเกินไป?
ฉู่ชิงจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างสงสัย “เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามิได้จะไปส่งเ้าที่ตำหนักองค์หญิงใหญ่”
“แม้เสด็จแม่บุญธรรมจะเป็ห่วงเหนียนยวี่ ทว่าก็ไม่ห่วงเื่ความปลอดภัยของเหนียนยวี่ เมื่อครู่นี้ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพหลวงแล้วที่เข้ามากู้หน้าให้” เหนียนยวี่สบตาฉู่ชิงตรงๆ หากมิใช่เพราะการมาของฉู่ชิง แม้จ้าวเยี่ยนจะเอาเปรียบนางไม่ได้ ทว่าเขาก็ยังเข้ามาช่วยเหลือ
ครั้นนึกถึงเงาร่างในชุดขาวผู้นั้น ดวงตาของเหนียนยวี่พลันส่องประกายเ็า
ฉู่ชิงเห็นทุกสิ่งในสายตา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสวนร้อยสัตว์วันนั้น อารมณ์ของนางที่เขาได้เห็นไม่ต่างไปจากยามนี้เลย
จ้าวเยี่ยน...
เขาเข้าใจว่าเหนียนยวี่เกลียดจวนเหนียน เพราะใน่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ นางถูกข่มเหงรังแกทุกหนทุกแห่งภายในจวนเหนียน แม้กระทั่งเกือบจะได้เข้าพิธีบรรลุความเป็ผู้ใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเหนียนยวี่กลับมาแต่งกายเช่นเด็กสาว มิเช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่ชีวิตของนางในยามนี้คงหาไม่ไปเสียแล้ว
ทว่าเขานึกไม่ถึงเลยว่า ในใจของเหนียนยวี่ที่รู้สึกกับจ้าวเยี่ยนคือความเกลียดชัง
การค้นพบครั้งนี้ทำให้ฉู่ชิงใ ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองเหนียนยวี่ราวกับพยายามจะมองนางอย่างทะลุปรุโปร่ง ยังมีความลึกลับมากมายเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ที่เขาไร้หนทางจะค้นหา
“ต่อไปนี้ เ้าควรต้องอยู่ห่างจากเขาเสียหน่อย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่ชิงเอ่ยปาก ชัดเจนว่าเอ่ยถึงใคร
จ้าวเยี่ยน!
คำที่เขาเอ่ย แม้แต่ฉู่ชิงเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเตือนออกไปเช่นนั้น
ครั้งก่อน เขาบอกให้เหนียนยวี่คืนของกำนัลที่จ้าวเยี่ยนมอบให้เอาไปคืนเสีย เพราะไม่อยากให้นางไปยุ่งกับจ้าวเยี่ยน ทว่าครั้งนี้...
อารมณ์ของเหนียนยวี่ที่มีต่อจ้าวเยี่ยนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาบอกตัวเองมาตลอดว่า แม้จ้าวเยี่ยนจะไม่ไปยั่วยุเหนียนยวี่ ทว่าเหนียนยวี่ก็สามารถปะทะกับเขาได้
ความเกลียดชังนี้ สายลมและจันทราไร้ข้องเกี่ยว บางทียิ่งไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งอันตราย!
เหนียนยวี่เงยหน้ามอง สบสายตากับฉู่ชิง ความเป็ห่วงฉายชัดออกมาจากความเคร่งขรึมจริงจังนั้น ทำให้เหนียนยวี่ตะลึงไปเล็กน้อย นางจงใจเลี่ยงความคิดคาดเดาในด้านที่งดงาม พลางหัวเราะยั่วเย้า "ได้ยินมาตลอดว่าแม่ทัพหลวงเป็คนเ็า ยากที่จะได้ใกล้ชิด กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะห่วงใยผู้คนเยี่ยงนี้"
ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ด้วยแววตาที่ซับซ้อน พลางสะบัดบังเหียน "ตามมา"
เอ่ยจบ ม้าพลันพุ่งตัวออกไปข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากดูอ่อนโยนลงมากโดยไม่รู้ตัว
เหนียนยวี่มองภาพด้านหลังของม้าที่พุ่งออกไปก่อน นางยักไหล่ และขี่ม้าตามไป
หนึ่งนำหนึ่งตาม ความเร็วของม้าที่พุ่งไปไม่เร็วมากนัก ม้าวิ่งผ่านหลีกเลี่ยงผู้คนที่เดินไปมาบนถนน มุ่งตรงไปนอกเมือง
ริมหน้าต่างในห้องส่วนตัว ภายในภัตตาคารแห่งหนึ่ง สตรีมากเสน่ห์ล่อลวงในชุดแดง การแต่งกายของชนเผ่าแปลกตาดูแพรวพราวเปล่งประกาย หว่างคิ้วนางขมวดเข้าหากัน สายตาเมียงมองรอบข้าง
ริมหน้าต่างอีกบานตรงข้ามนาง ชายหนุ่มยืนมือไพล่หลัง ใบหน้าแข็งแกร่ง คิ้วโค้งเรียวเสมือนดาบ ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาว ท่วงท่าเช่นนั้น แม้แต่อูเสียนอ๋องที่นั่งอยู่ข้างในห้องยังเทียบไม่ติด
ทว่าบุรุษผู้นี้กลับแต่งตัวเป็บ่าวรับใช้
ในห้องอาหารส่วนตัวมีเพียงความเงียบงัน แต่ละคนต่างกำลังนั่งคิดเื่ของตนเอง ต่างฝ่ายต่างรับรู้ซึ่งกันและกันโดยมิจำเป็ต้องเอ่ยสิ่งใด
“ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง วันนี้เปิ่นหวางส่งคำทักทายให้ฮ่องเต้เป่ยฉี ทว่ากลับตีกลับมาอีกแล้ว ตาเฒ่าฮ่องเต้แคว้นเป่ยฉีคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ไม่เห็นพวกเราแคว้นหนานเยวี่ยอยู่ในสายตาหรืออย่างไร?” ในที่สุดดูเหมือนอูเสียนอ๋องจะทนไม่ไหว ฝ่ามือใหญ่ทุบลงบนโต๊ะ ด้วยแรงโมโหนั้น ทำให้ถ้วยชาบนโต๊ะสั่นะเื สายตาเขาเหลือบมองบุรุษที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ความเคารพยำเกรงพลันฉายแววออกมาจากดวงตาคู่นั้น