เฉียวเยว่เป็แมวน้อยจะกละ ไม่มีแมวตะกละตัวไหนไม่ชอบอาหารทะเล เฉียวเยว่หลงใหลอาหารประเภทนี้เป็ที่สุด
เพราะกินเยอะ กลัวว่าจะเย็นเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ พวกเขาจึงปล่อยให้นางดื่มสุราเหลือง [1] สามถ้วย
สุราเหลืองนี้หรงจ้านเป็คนทำเอง ยังเพิ่มพุทราแดง ขิงแก่ และน้ำตาลกรวดเข้าไปเล็กน้อย กลิ่นสุราไม่เข้มมาก แต่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เหมาะที่จะกินกับปูพอดี ดื่มแล้วสบายท้องเป็อย่างยิ่ง
ฉีจือโจวอยากทัดทาน แต่อาจารย์ฉีคิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย บางครั้งการดื่มสุราโดยไม่เสียสุขภาพก็มิใช่ปัญหาใหญ่โต ยิ่งอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ การดื่มสุราเล็กน้อยช่วยให้ร่างกายอบอุ่น นอนหลับสบาย พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ฉีจือโจวเห็นดวงหน้าของแม่หนูน้อยบ้านตนแดงระเรื่อ แต่ดวงตากลับยิ่งสดใสเจิดจรัส ก็ไม่พูดมากอีก สุดแล้วแต่พวกเขา
หลังมื้ออาหารทุกคนออกมาจากห้อง ฉีจือโจวก็จ้องหรงจ้านแล้วเอ่ยว่า "เ้าช่วยสำรวมกิริยาให้ข้าหน่อย"
ฟ้าดินเป็พยาน หรงจ้านรู้สึกว่าตนเองถูกปรักปรำ เขาไม่สำรวมกิริยาตรงไหนหรือเมื่อไรกัน พูดเช่นนี้ไร้เหตุผลจริงๆ
แต่เขาคร้านจะโต้เถียงกับผู้อื่น หากเป็คนทั่วไป จับกดน้ำให้ตายก็สิ้นเื่ แต่นี่คือเสนาบดีฉี เขาต้องอดทนหน่อย ช่วยไม่ได้ ชีวิตคนเรามักมีคนไม่กี่คนที่จำเป็ต้องทน
หรงจ้านมองฉีจือโจวปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็จากไปเงียบๆ
ฉีจือโจวกลัดกลุ้มไม่รู้จะว่าอย่างไร แต่เขาก็ปรารถนาให้ตนเองเพียงคิดมากไป
ขณะหันหลังเตรียมจะกลับก็เห็นบิดายืนมองตนเองอยู่ใต้ชายคา แววตาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ฉีจือโจวเดินมาข้างกายอาจารย์ฉี แล้วเอ่ยถาม "ท่านพ่อไม่กลับไปพักผ่อนหรือขอรับ?"
"บางเื่ปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติดีที่สุด" อาจารย์ฉีกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง
หลังทิ้งถ้อยคำไว้ก็หมุนตัวจากไป
ฉีจือโจวขบคิดถ้อยคำดังกล่าว ไฉนจึงรู้สึกว่าบิดาไม่ต่อต้านหรงจ้านกับเฉียวเยว่เลยเล่า เขานึกตัดพ้อในใจ ที่แท้คนชราก็มักเลอะเลือนได้ง่าย
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองคออ่อน เพราะเหตุใดน่ะหรือ นางดื่มสุราเหลืองไปเพียงสามถ้วย ก็เห็นดาววิ้งๆ เต็มไปหมดแล้ว
ดาวดวงน้อยกะพริบวิบวับกลาดเกลื่อนทั่วท้องนภา
เฉียวเยว่นอนแผ่หลาบนเตียงเตาซึ่งให้ความอบอุ่น ยามนี้ด้านนอกฝนหยุดแล้ว แต่กลับมีลมขึ้นมาอีก ลมแรงเสียงดังหวิวๆ เฉียวเยว่รู้สึกวิงเวียนศีรษะ เอ่ยเสียงเบา "อวิ๋นเอ๋อร์ เ้าว่าความสามารถในการดื่มสุราของข้าเป็อย่างไร?"
อวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อย ก็เดินมาข้างเตียงเตา แตะเฉียวเยว่เบาๆ "คุณหนูหลับเถิดเ้าค่ะ ท่านน่ะคอแข็งที่สุดแล้ว"
คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ นางยังอุตส่าห์พูดออกมาได้
เฉียวเยว่รู้แก่ใจ หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า "ข้าคอแข็งจริงหรือ?"
ตนเองยังนึกคลางแคลงอยู่เลย แต่ไม่ช้าก็พูดออกมาอีก "โอ้ จริงสิ ถึงข้าจะเวียนหัว แต่ยังรับรู้ทุกอย่าง นี่นับว่ามีสติแจ่มชัดอยู่กระมัง?"
นางพึมพำกับตนเอง
สาวใช้ทั้งสองปูที่นอนอยู่ด้านข้าง ที่นี่มีเตียงเตาเพียงตัวเดียว ด้านนอกไม่มีตำแหน่งเหมาะสมกับการนอนหลับ ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงย้ายเข้ามานอนร่วมกันบนเตียงเตาในห้อง ยามออกไปท่องเที่ยวข้างนอกหากสถานที่ไม่เอื้ออำนวยพวกนางก็มักจะทำเช่นนี้เสมอ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
"คันฉ่องวิเศษเอ๋ย คันฉ่องวิเศษเอ๋ย บอกข้าเถิด ผู้ใดงามเลิศในปฐี?" เฉียวเยว่ยื่นมือน้อยๆ ไปคว้ากรอบไม้ทรงสี่เหลี่ยมสมมุติว่าเป็คันฉ่อง
แล้วก็เปลี่ยนไปเป็อีกเสียง "ก็เ้าน่ะสิ ก็เ้าน่ะสิ ต้องเป็เ้าซูเฉียวเยว่แน่นอนอยู่แล้ว"
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็อีกตัวละคร แล้วถามว่า "แล้วพี่จ้านคือพี่ชายที่ประเสริฐสุดในโลกหล้าใช่หรือไม่"
เสียงคันฉ่องตอบว่า "หามิได้ หามิได้ เขาเป็คนคลั่งความสะอาดสุดแสนจะดัดจริตต่างหากเล่า" พูดมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
พูดจบ นางก็เอามือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะหลับตานอนแต่โดยดี
สาวใช้ทั้งสองเห็นแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เห็นคุณหนูของตนยอมนอนดีๆ พวกนางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้ว่าจะกล่าวว่าฟ้าหลังฝนมักสดใส ทว่าวันต่อมาอากาศก็ยังเย็นมาก ยิ่งไปกว่านั้นท้องนภาก็ยังอึมครึม เฉียวเยว่สวมเสื้อผ้าหลายชั้น รู้สึกอุ่นขึ้นมาก หลายวันที่มาเที่ยวเล่นที่นี่ ล้วนให้ความรู้สึกที่ไม่ซ้ำกันเลย
"พวกเ้ารู้สึกหรือไม่ว่าทุกคนของที่นี่ล้วนแต่มีงานยุ่งวุ่นวายกันทุกวัน"
จะไม่ยุ่งได้หรือ? พวกเขาเป็ชาวไร่ชาวนา ชีวิตย่อมแตกต่างจากคนเมือง ผู้คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็ผู้สูงศักดิ์มีอันจะกิน ใช้ชีวิตเสพสุขกับสายลมบุปผาเหมันต์จันทรา ของกินของใช้ไม่เคยขาดแคลน
"ข้าจะชวนพี่จ้านไปเดินเล่น"
อวิ๋นเอ๋อร์รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ยังไม่ทันจะตอบกลับไป คุณหนูของตนเองก็หายไปแล้ว
นางคิดแล้วหันไปมองเสี่ยวชุ่ย
"เหตุใดไม่ไปหานายน้อยฉีอัน ผู้าุโฉี หรือใต้เท้าฉีเล่า?" เสี่ยวชุ่ยก็มีสีหน้าข้องใจ
คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็ญาติของคุณหนู
"ใช่เลย" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบทันที
ถึงว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ ที่แท้ก็ผิดปรกติตรงจุดนี้นี่เอง
เฉียวเยว่ไหนเลยจะรู้ว่าเหล่าสาวใช้คิดอย่างไร นางเดินมาที่ห้องของหรงจ้านแล้วเคาะประตู "พี่จ้าน อยู่หรือไม่?"
เคาะอยู่นานก็ไม่มีเสียงคนตอบรับ
เฉียวเยว่คิดว่าคนอาจไม่อยู่ จึงบ่นพึมพำกับตัวเอง "ไม่รู้ว่าแล่นไปไหนแต่เช้า มิทำให้คนคลายกังวลได้เลยจริงๆ"
"ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้เ้าเป็ห่วง"
เฉียวเยว่สะดุ้งโหยง หลังจากนั้นก็ลูบอกเบาๆ เอ่ยว่า "ท่านทำอะไรเนี่ย ใหมดเลย"
หรงจ้านโผล่มาด้านหลังของนาง
"ข้าตื่นเช้าไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปเดินเล่นที่หลังเขามารอบหนึ่ง"
เฉียวเยว่ตอบอ้อ แล้วก็รำพึงเบาๆ "ช่างขยันเสียจริง"
แต่พอเห็นของในมือของหรงจ้านก็ยิ้มออกทันควัน เอ่ยด้วยความดีใจ "นี่ให้ข้าหรือ?"
เป็มงกุฎดอกไม้ที่ทำมาจากดอกไม้ป่าหลากสีสัน
หรงจ้านพยักหน้า แต่มุมปากกระตุกเล็กน้อย "หรือเ้าคิดว่าข้าจะทำมาใส่เอง?"
เฉียวเยว่ไม่นำพาความงี่เง่าของเขา คนผู้นี้จะพูดให้มันเข้าหูหน่อยก็ไม่ได้ เห็นอยู่ว่าทำความดี แต่ก็มักทำตัวไม่น่ารัก ช่างโง่เขลาเสียจริง ฮึ!
เฉียวเยว่นำมงกุฎดอกไม้มาสวมบนศีรษะ แล้วถามด้วยรอยยิ้มพร่างพราย "ข้าดูเหมือนเทพธิดาบุปผาหรือไม่?"
มุมปากของนางโค้งขึ้นอย่างมีความสุข
บางครั้งของขวัญก็ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่ขึ้นอยู่กับน้ำใจมากกว่า ก่อนหน้าที่จะข้ามภพมาสมัยโบราณนางเป็สาวน้อยที่ศึกษาโบราณคดี ไม่ว่าเห็นสิ่งใดก็ตาโตไปหมด อยากจะขโมยทุกอย่างกลับไปยุคปัจจุบันจนแทบไม่ไหว ถ้าไม่ให้นางคงร้องไห้จริงๆ
แต่บัดนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
อันที่จริงนางก็รู้ตัวว่านี่คือการกลับมาเกิดใหม่ หาใช่การข้ามภพมา นางคือซูเฉียวเยว่ และไม่อาจกลับไปยุคปัจจุบันได้อีกต่อไป เมื่อเป็เช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไปตามธรรมชาติ
เมื่อปล่อยวางความรู้ด้านวิชาชีพของตนเองลงได้ นางก็พบว่าตนเองมีความสุขขึ้นเยอะ
หลังจากสวมมงกุฎดอกไม้ ก็ยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยแล้วหมุนตัวไปรอบๆ "งามหรือไม่?"
หรงจ้านรู้ว่านางชอบยกกระโปรงแล้วหมุนไปรอบตัวเป็พิเศษ ั้แ่เล็กจนโตความเคยชินนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เขามองขึ้นบนท้องฟ้าแล้วเอ่ยเสียงเบา "งาม"
"งามแค่ไหน?" เฉียวเยว่ถามอีก
ดูท่าหากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนคงจะไม่เลิกรา
การกระทำเช่นนี้ทำให้หรงจ้านรู้สึกสับสน ไม่รู้จะทำเช่นไรกับนางดี เขาถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้ถึงพอจะหายใจหายคอคล่องขึ้น
หลังปรับอารมณ์ได้ หรงจ้านถึงเอ่ยว่า "งามมาก"
"ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าคือสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้า" เฉียวเยว่กล่าวอย่างพึงพอใจ
แล้วก็ถามอีกว่า "ท่านไปเก็บมาจากส่วนไหนของหลังเขา พาข้าไปดูได้หรือไม่ ข้ายังไม่เคยขึ้นเขาเลย"
หรงจ้านจ้องเฉียวเยว่ ก่อนที่จะเปิดโปงการพูดความเท็จของนาง "เ้าจะไม่เคยขึ้นเขาได้อย่างไร เ้าเคยไปทั้งูเาขึ้นชื่อและแม่น้ำสายใหญ่มาตั้งหลายแห่ง"
คนบางคนที่มีชีวิตอยู่ได้มาถึงบัดนี้ก็เพราะทุกคนยังอารมณ์ดี จึงไม่-บด-ขยี้-เขา-ให้-ตาย
พูดจาไม่เป็เช่นนี้ คนทางบ้านของเ้ารู้บ้างหรือไม่?
"ข้าหมายถึงยังไม่เคยขึ้นเขาของที่นี่ต่างหาก นี่ท่านจะเป่าขนหาตำหนิ [2] หรือ คุยกันดีๆ เป็หรือไม่?"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไป นางคงได้ทุบคนจริงๆ
หรงจ้านส่ายหน้าปฏิเสธนาง "ฟ้ามืดมาแล้ว ข้าว่าเหมือนฝนจะตก อย่าไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เปียก เ้าลืมคราก่อนที่เปียกฝนจนเป็หวัดไปแล้วหรือ"
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร พวกเขาจะจับจุดอ่อนของนางมาใช้ชั่วชีวิตเลยใช่หรือไม่? ฮือๆๆ
แต่นางเป็สตรีที่รู้จักแยกแยะ ผู้อื่นหวังดี นางไหนเลยจะไม่รู้เล่า
"เช่นนั้นไม่ไปก็ได้ แต่หากอากาศดีแล้ว ท่านค่อยพาข้าไปเป็อย่างไร?" เฉียวเยว่เอ่ย
หรงจ้านรับปากว่าได้ แต่ก็ยังพูดอีกว่า "ถึงจะขึ้นเขาไม่ได้ แต่พวกเรายังทำอย่างอื่นได้"
เฉียวเยว่ลูบคาง "ทำอะไรหรือ ตอนฝนตกก็เที่ยวในหมู่บ้านไม่ได้เหมือนกัน"
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็กร่อยลงเล็กน้อย
พูดตามตรง หรงจ้านรู้สึกทนฟังน้ำเสียงเศร้าสร้อยหงอยเหงาของนางไม่ได้ แม้ว่า... แม้ว่าเขาเองจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไม แต่มักรู้สึกว่าเมื่อแม่หนูน้อยไม่เบิกบาน ก็พลอยทำให้คนไม่สบายใจไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยทันที
"ข้าจะพาไปเที่ยวที่อื่น"
เขายกยิ้มเล็กน้อยแล้วถามว่า "เ้าถักกระต่ายเป็หรือไม่?"
เฉียวเยว่ร้องเอ๋อย่างงุนงง "กระต่าย?"
แล้วก็ตอบกลับไป "ไม่เป็ พี่จ้านทำเป็หรือ?"
นางยิ้มพลางเงยหน้าสบตาเขา พอเห็นดวงตาสีดำสนิทราวกับก้นบ่อน้ำพุ ก็หัวเราะเบาๆ "พี่จ้านเหมือนตอนเด็กเปี๊ยบเลย ไม่แก่สักนิด ดีจริงๆ"
หรงจ้านอึ้งงัน ก่อนที่จะพูดออกไป "ข้าเพิ่งอายุยี่สิบ หากตอนนี้ก็ใช้คำว่าแก่ เช่นนั้นอีกสองปีข้าคงลงหลุมไปแล้วกระมัง?"
เฉียวเยว่ยื่นนิ้วไปจี้เอวเขา "นี่แน่ะ พี่จ้านพูดไร้สาระ"
"เฮ่ย... ทำอะไรของเ้า" หรงจ้านร้องเสียงหลง เขาแทบจะะโหนี หลังจากนั้นก็มองเฉียวเยว่อย่างตำหนิ "นี่เ้าทำอันใด"
เสียงที่ค่อนข้างดัง เรียกทุกคนมาในชั่วพริบตา
สายตาของฉีจือโจวมองคนนี้ทีคนนั้นทีด้วยความประหลาดใจ ก่อนเอ่ยถาม "พวกเ้า... ทำอะไรกัน?"
บัดนี้หรงจ้านสงบลงแล้ว ตอบไปว่า "ไม่มีอะไร"
เฉียวเยว่ทำเสียงกระเง้ากระงอด "ข้าแตะเขาหน่อยเดียว เขาก็ะโหนีราวกับข้าเป็โรคระบาด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม"
ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่กะพริบปริบๆ ดูไร้เดียงสาอย่างแท้จริง
หรงจ้านอยากพูดเหลือเกิน แต่ตรงที่เ้าแตะคือเอว เอว เอว ของข้า!
ทว่าเมื่อใคร่ครวญถึงชื่อเสียงของเฉียวเยว่... แม้จะเป็ญาติของนาง ก็ควรต้องคำนึงอยู่บ้าง
เขาจำต้องอดทน
"ตกลงเ้าจะสานกระต่ายหรือไม่?"
เฉียวเยว่ยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มน้อยๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
"สานเ้าค่ะ"
...
[1] สุราเหลือง หรือหวงจิ่ว เป็สุราจีน ทำมาจากข้าวหมัก มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ ชาวจีนมักนำไปอุ่นก่อนดื่ม
[2] เป่าขนหาตำหนิ หมายถึง คอยจับผิดในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้