เหอตังกุยห่อไหล่พลางเอ่ยเสียงเบา “ยาเม็ดนี้เป็เพียงยาฉุกเฉินชั่วคราวเพื่อบรรเทาอาการและเพิ่มความสดชื่นเท่านั้น ท่านต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย”
“ยาชั้นยอด?!” ก่อนที่เหล่าไท่ไท่จะเอ่ยตอบ หยางมามาก็ร้องเสียงหลง ระดับเสียงส่งผลให้ไหล่ของเหอตังกุยสั่นไหว “โอ้ คุณหนูสามทำยาชั้นยอดหรือ?” เท่าที่หยางมามารู้เกี่ยวกับการทำยาชั้นยอด ผู้หลอมยาควรกรองกากยาให้เหลือเพียงส่วนที่ดีที่สุด จากนั้นก็ผสมน้ำผึ้งพิเศษที่เหมาะสมก่อนหลอมเป็เม็ดยา ร้านซานชิงถังเป็สถานที่รวบรวมยอดฝีมือด้านการหลอมยาในเมืองหยางโจวและพื้นที่ทางใต้ทั้งหมด แต่นักหลอมยาที่หลอมยาชั้นยอดได้นั้นมีไม่เกินสิบคน! คุณหนูสามไม่รู้หนังสือ ทั้งยังไม่มีเครื่องมือ จะหลอมยาชั้นยอดได้อย่างไร?
“ไม่ใช่เ้าค่ะ ท่านยายและหยางมามาเข้าใจผิดแล้ว” เหอตังกุยโบกมือปฏิเสธพร้อมอธิบายอย่างร้อนรน “ข้าหมายความว่าวัตถุดิบสมุนไพรที่ข้า “เตรียม” ปรุงยานั้นมีหลายชนิดตามสูตรในหนังสือ เอ่อ...พวกท่านก็ทำได้ กล่าวโดยง่ายคือข้าเพียงชั่งน้ำหนักยาตามในหนังสือ ไม่ได้ทำเองทั้งหมด ข้าจะหลอมยาได้อย่างไร? ยาเหล่านี้มาจากท่านแม่ชีในวัด ไม่กี่วันก่อนนางบอกว่านางกำลังทำยา หากข้าไม่รังเกียจก็จะช่วยข้าทำ ข้าจึงนำยาที่เตรียมไว้มอบให้แก่นาง ผ่านไปครึ่งวันก็ได้รับยาสี่เม็ดนี้กลับมา”
“เอ๋?” เหล่าไท่ไท่เริ่มกระปรี้กระเปร่า ไม่วิงเวียนและเจ็บหน้าอกแล้ว จึงถามด้วยความดีใจ “แม่ชีท่านใดที่มีฝีมือขั้นเทพเช่นนี้? นางอายุเท่าไรหรือ? ออกบวชนานเพียงใดแล้ว?” ยอดฝีมือด้านการหลอมยาท่านนี้ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหยางโจว นางต้องเชิญคนผู้นั้นไปที่ซานชิงถังให้ได้ หรือไม่ก็ซื้อจวนใกล้ ๆ ให้นางฝึกฝน ขณะหลอมยาก็ถ่ายทอดวิชาให้คนอื่นในซานชิงถังด้วย เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดด้วยความตื่นเต้น
เหอตังกุยเล่าความทรงจำด้วยท่าทีสับสน “อายุ? อาจจะสี่สิบปีหรือห้าสิบปี ใบหน้าของนางบวมเล็กน้อยจึงยากที่จะจดจำได้ชัดเจน… ระยะเวลาที่นางเป็แม่ชีอาจนานพอควร เท่าที่รู้แม่ชีไท่เฉินชำนาญการทำยายิ่งนัก คล้ายเริ่มต้นจากครอบครัวของนาง ั้แ่ผู้าุโรุ่นแรกของตระกูลนั้นบวชเป็นักพรต ทั้งยังเชี่ยวชาญการหลอมยา…แต่ช่างน่าเสียดาย”
“น่าเสียดายอันใด?” เหล่าไท่ไท่และหยางมามาเอ่ยถามพร้อมกัน
“เสียดายแม่ชีไท่เฉินเ้าค่ะ” เหอตังกุยเอียงศีรษะกล่าว “นางเป็คนดี มีทักษะหลอมยายอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ถูกทางการจับกุมตัว คนเ่าั้บอกว่านางลักลอบทำผงซิ่งหยางและผงเฟิงอวี้ลู่ ท่านยาย...ยาเ่าั้คือยาอันใดหรือเ้าคะ?” เหอตังกุยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ใบหน้าอมชมพูแฝงความตื่นเต้นของเหล่าไท่ไท่และหยางมามาแปรเปลี่ยนเป็หมองคล้ำก่อนกลายเป็สีเขียวอ่อน ทั้งคู่รีบผลักกล่องไม้เล็กที่ใช้บรรจุยาอีกสามเม็ด ทั้งยังสะบัดมือด้วยความรังเกียจราวกับััสิ่งสกปรกก็ไม่ปาน เหล่าไท่ไท่เอ่ยเสียงต่ำ “โยนมันออกไปเดี๋ยวนี้!” อย่างไรก็ตาม เหล่าไท่ไท่ไม่ทันสังเกตผลลัพธ์จากยา ไม่ว่าจะเป็การสื่อสารด้วยวาจาหรือความแตกต่างทางอารมณ์ กำลังวังชาของนางดีขึ้นไม่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกไม่สบายจนต้องพิงไหล่หยางมามา
ขณะเหอตังกุยจะพูดบางสิ่ง แม่นางจีที่ลงไปตรวจสอบสถานการณ์ข้างรถม้าก็รีบกลับมาพร้อมกล่าว “แถวนี้ไม่มีร้านยาสมุนไพรเลย มีเพียงโรงเตี๊ยมหลี่เจียเล็ก ๆ เหตุเพราะเมื่อครู่ม้าของพวกเราไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้พ่อค้า แม่ค้า และคนสัญจรไปมาบนถนนจำนวนมากได้รับความเสียหายและหวาดกลัวไม่น้อย หากเหล่าไท่ไท่และหยางมามารู้สึกไม่สบาย พวกเราหยุดพักที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่ จากนั้นค่อยไปชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้คนเ่าั้…”
“ไม่จำเป็แล้วล่ะ ตอนนี้เหล่าไท่ไท่ไม่เป็อะไรแล้ว” หยางมามาเอ่ยแทรก “อาจี เ้าจัดการค่าเสียหายที่นี่แล้วค่อยนั่งรถม้าของคุณหนูสามที่จอดรออยู่ด้านหลังตามมา พวกข้าจะรีบกลับจวนไปรักษาตัวก่อน”
“อะไรนะ?” แม่นางจีจ้องมองเหล่าไท่ไท่ก่อนพบว่าเหล่าไท่ไท่ฟื้นแล้วจริง ๆ พลันมองกล่องไม้บนโต๊ะตัวเล็ก นางพยักหน้าร้อง “โอ้” ด้วยความสับสนไม่น้อย ทว่าพ่อค้าแม่ค้าอีกฟากของถนนต่างส่งเสียงเอะอะโวยวาย นางจึงไม่สนใจถามอะไรมากนัก เพียงรับถุงเงินจากหยางมามาแล้วลงจากรถม้า
ขณะนั้นหยางมามาก็สั่งการ “กุยป่านเจียว ออกเดินทางเถิด รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด”
กุยป่านเจียวจ้องมองม้าด้วยความลำบากใจ ก่อนชะโงกหน้าะโ “เหล่าไท่ไท่ก็ไม่สบาย กีบม้าก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน ทำอย่างไรดีขอรับหยางมามา?”
“เฮ้ย ๆ ๆ ” หยางมามาเอ่ยอย่างเดือดดาล “เหล่าไท่ไท่ดีขึ้นแล้ว กล้าดีอย่างไรมาว่านางไม่สบาย หน้าที่ของเ้าคือฝึกม้าและบังคับมัน เฮอะ พูดไปก็ไร้ประโยชน์!” นางหยิบเชือกเงินหนึ่งก้วนออกมาจากถุงโยนให้กุยป่านเจียว “รีบไปดูว่าพวกมันอยากกินอะไร ซื้อให้พวกมันกินเสีย จะได้รีบเดินทางสักที!”
กุยป่านเจียวรับเหรียญทองแดงด้วยสีหน้าไม่สบายใจเท่าไรนัก เขาชี้ม้าทั้งสามพลางเอ่ย “มามา ท่านไม่เข้าใจที่ข้าพูด ไม่ใช่ว่าม้าของเรา “ไม่อยากไป” แต่พวกมัน “ไปไม่ได้” เอาแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ดุจเสาเข็ม!”
ขณะหยางมามาจะตำหนิกุยป่านเจียวไม่ให้พูดจาไร้สาระ ก็พลันพบว่าม้าทั้งสามนั้นยืนนิ่งเช่นเขาพูดจริง ๆ ส่วนล่างของพวกมันไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทว่าส่วนบนกลับดิ้นอย่างบ้าคลั่งราวกีบเท้าทั้งสี่ถูกยึดด้วยมือล่องหนที่ผุดจากพื้นดิน เมื่อหยางมามาเห็นดังนั้นก็เอ่ยอธิบายแปลก ๆ “มีผีขวางทางหรือ?”
“ฮ่า ๆ ” เหอตังกุยนึกขำจนเผลอหัวเราะ ผ้าคลุมหน้าถูกเป่าลมจนนูน “เป็ไปได้อย่างไร?”
“ฮ่า ๆ ” ขณะเดียวกันด้านล่างรถม้าก็มีเสียงหัวเราะ “เป็ไปได้อย่างไร?” พวกเขาไม่เพียงกล่าวประโยคเดียวกันเท่านั้น ซ้ำยังพูดพร้อมกันอีกด้วย เสียงทั้งสองซ้อนทับกันโดยบังเอิญ
เหอตังกุยขมวดคิ้วมอง เ้าของเสียงหัวเราะเมื่อครู่คือบุรุษที่ะโห้ามปรามเด็กรับใช้ผู้นั้น เมื่อครู่ไม่ทันพบหน้ากัน ขณะได้ยินเสียงเป็ผู้ใหญ่ของเขาจึงคิดว่าเป็ชายวัยกลางคน ทว่าตอนนี้กลับพบว่าเขาเป็เพียงชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงตาสดใสและมีรอยยิ้มทอประกายบนใบหน้า นางเหลือบมองเสื้อผ้าของเขาอย่างละเอียด เขาสวมหมวกสีฟ้าแบบราชวงศ์ถัง เสื้อคลุมสีฟ้าสดใสปักด้ายสีเงิน ปกเสื้อคลุมด้านหน้าตั้งตรงเช่นเดียวกับปกคอเสื้อชุดคลุมไม่มีแขน บนเข็มขัดห้อยพู่สีเงินแกมเทา สวมรองเท้าบูตปักลายหงส์โบยบินด้วยด้ายสีเงิน ฟังจากสำเนียงเดาว่าเป็คุณชายตระกูลร่ำรวยในเมืองหยางโจว
ขณะเหอตังกุยมองพิจารณาเขา เขาก็มองนางั้แ่ผ้าคลุมหน้าจรดปลายเท้าเช่นกัน สายตาแฝงความสนใจไม่น้อย ก่อนหันไปหาเหล่าไท่ไท่พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็ความผิดหลานที่ทำให้เหล่าไท่จวินหลัวใกลัว หลานไม่รู้ว่าเหล่าไท่จวินอยู่ในรถม้า ต้องขออภัยที่บ่าวรับใช้พูดจาหยาบคายต่อท่าน เมื่อครู่ข้าเห็นม้าสามตัวนี้มีท่าทีประหลาดจึงใช้วิธีให้กีบม้าหยุดนิ่ง”
เหล่าไท่ไท่คุ้นหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้เล็กน้อย หลังฟังคำพูดและน้ำเสียงก็จำได้ว่าเขารู้จักนาง เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม “เ้าคือ...คุณชายหยางแห่งตระกูลเฟิงทางตอนใต้ของเมืองหยางโจว? คุณชายหยางหลานจิ่วกูใช่หรือไม่?” ตอนแรกนางคุ้นตาเขาเพียงเล็กน้อย ด้วยเพราะจำใบหน้าและลักยิ้มสองข้างแก้มของเด็กชายที่เฟิงจิ่วกูพามาพบในตอนนั้นได้ ช่างคล้ายเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก
“คิดไม่ถึงว่าเหล่าไท่จวินยังจำข้าได้” คุณชายสูงศักดิ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฟิงหยางขอคารวะเหล่าไท่จวิน ขอเหล่าไท่จวินอายุยืนหมื่นปี”
เหล่าไท่ไท่มองคุณชายสูงศักดิ์เบื้องหน้าด้วยความดีใจ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “คุณชายหยางจริง ๆ ด้วย ท่านป้าของเ้ามักพูดถึงบ่อย ๆ นางบอกว่าปีนี้คนในตระกูลเฟิงแจ้งว่าเ้ากลับจากทางเหนือแล้ว เมื่อเติบโตก็มีความสามารถ เห็นครานี้ก็โตเป็หนุ่มเสียแล้ว!”
แม้ตระกูลเฟิงจะเป็ตระกูลใหญ่และมีอิทธิพลในเมืองหยางโจว แต่ก็แตกต่างจากตระกูลชนชั้นสูงเช่นตระกูลหลัว ตระกูลกวนและตระกูลซุน ตระกูลเฟิงและตระกูลหลัวไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก หากไม่ใช่เพราะเฟิงจิ่วกูอาศัยในตระกูลหลัว เหล่าไท่ไท่คงไม่มีวันพบเด็กเช่นเฟิงหยางผู้นี้เป็แน่
ตระกูลเฟิงไม่มีใครเป็ขุนนางในราชสำนัก พวกเขาเริ่มต้นด้วยการขนส่งเป็เวลาสามชั่วอายุคน บรรพบุรุษของพวกเขามีเรือบรรทุกขนาดเล็กสามสี่ลำเพื่อขนส่งสินค้าทางแม่น้ำ ่ปีแรกพวกเขาสังหารทหารมองโกเลียหลายคน ก่อนเข้าร่วมกองทัพฏเพื่อหลบหนีการจับกุมจากทางการ หลังเข้าร่วมกองทัพฮั่นของเฉินโหยวเลี่ยงเพียงไม่กี่ปี เมื่อพบว่าสถานการณ์ไม่ปกติก็ตัดสินใจถอนตัว กลับไปพัฒนาการค้าขายขนส่งสินค้าทางแม่น้ำเช่นเดิม ตอนนี้ตระกูลเฟิงกลายเป็ตระกูลร่ำรวยตระกูลใหม่ทางตอนใต้ แบ่งเป็สองสาขาคือตระกูลเฟิงในเมืองหลวงและตระกูลเฟิงในเมืองหยางโจว
ตระกูลเฟิงในเมืองหลวงไม่ได้เน้นเพียงการขนส่งสินค้าทางเรือ เมื่อยี่สิบปีก่อนพวกเขายังเปิด “สำนักคุ้มครองลู่เฟิง” ร่วมกับตระกูลลู่ในเมืองหลวง ชื่อเสียงของสำนักดีมาก ไม่มีเหตุการณ์สินค้าสูญหายหรือเสียหายนานกว่าสิบปี ปัจจุบันขยายตัวเกือบร้อยสาขา กลายเป็หน่วยคุ้มครองแห่งแรกในราชวงศ์ต้าิ
ตระกูลเฟิงในเมืองหยางโจวยังคงทำธุรกิจค้าขายทางน้ำ ทว่าเฟิงอี้เหลี่ยนผู้นำตระกูลเฟิงในเมืองหยางโจวมักผูกมิตรกับผู้ใช้หอกและไม้เท้าในยุทธภพเป็ประจำ เขาค่อย ๆ รวบรวมกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อจัดตั้งพรรคนามว่า “พรรคเฉา” ไม่กี่ปีที่ผ่านมาพรรคเฉาเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าพรรคกระยาจกที่กระจายทั่วแคว้นหลายเท่า
พรรคในยุทธภพสมัยราชวงศ์ิแบ่งเป็สองขั้วคือดำและขาว พรรคสีดำมักทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงิน ไม่ว่าจะเป็การปล้น เปิดบ่อนพนัน ลักลอบค้าเกลือ ค้าเหล็ก ค้ามนุษย์ การซื้อขายข่าวกรองจากหน่วยสืบราชการลับพิเศษ รวมถึงการลอบสังหาร ตราบใดที่นายจ้าง้าก็สามารถพูดคุยกับพวกเขาได้ ศีรษะของคนมีอำนาจหลายคนถูกกำหนดราคาชัดเจน สะดวกอย่างยิ่งสำหรับขุนนางใหญ่ที่้าให้ศัตรูทางการเมืองหายไปจากโลกใบนี้
พรรคสีขาวมีสองรูปแบบคือผู้ที่ออกจากบ้านและอยู่ในบ้าน ในอดีตพวกเขาเน้นการพัฒนาตนเองจึงมักสร้างสำนักในูเาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียง น้อยครั้งที่จะติดต่อโลกภายนอก เช่น วัดเส้าหลินแห่งเขาซงซาน สำนักอู่ตังแห่งเขาไท่เหอ สำนักต้ากว้าเหมินแห่งเขาอู่อี้ สำนักหงเหมินแห่งต้าหลี่ เป็ต้น นอกจากการเปิดสำนักสอนวรยุทธ์และแข่งประลองแล้ว พวกเขายังมีกิจการค้าขายทั่วไปและสำนักคุ้มครองบางส่วนที่ได้รับความนิยม การเริ่มต้นค้าขายของพรรคขาวจึงสามารถสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนได้ไม่น้อย
พรรคเฉาเป็กิจการหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยการสนับสนุนดีเยี่ยมจากอำนาจการขนส่งทางน้ำที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้พรรคเฉาประสบความสำเร็จอย่างมาก กิจการในพรรคล้วนครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็อาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิงและการขนส่งของประชาชนทั่วไป แม้ตระกูลเฟิงจะไม่เหมือนตระกูลหลัวและตระกูลกวนที่ค้าขายกับราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าความมั่งคั่งและอำนาจของตระกูลเศรษฐีใหม่เช่นตระกูลเฟิงนั้นยิ่งใหญ่กว่า “ตระกูลเศรษฐีเก่า” เช่นตระกูลหลัวถึงสิบเท่า
แม้พวกเขาทั้งหมดจะอาศัยในเมืองหยางโจวแต่ตระกูลหลัวก็เพียงค้าขายยาสมุนไพรให้ราชสำนักเท่านั้น ทั้งสองตระกูลจึงมีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน หากเกี้ยวทั้งสองตระกูลพบกันบนถนนใหญ่ก็เพียงพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินผ่านไปเท่านั้น พวกเขาอยู่อย่างสงบสุขเช่นนี้ในเมืองหยางโจวเป็เวลากว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้