“พอเถิด นี่ก็เอาไปให้อาหารหมู หรือว่าเ้าจะให้หมูคายออกมาให้ได้หรือ อีกอย่าง ในบ้านก็ไม่ได้ขาดแคลนเสบียง ครอบครัวเราไม่กินของเ่าั้อยู่แล้ว เ้าจะโมโหไปไย ก็แค่มันเทศกองใหญ่แล้วจะมีมูลค่าเท่าไรกันเชียว”
อืม หลิวต้าฟู่คิดเช่นนี้
เขาคิดว่าหากภรรยาของตนได้ซื้อบ้านในจังหวัด ส่วนที่หมู่บ้านสามสิบลี้ก็สร้างบ้านอีกหลัง แล้วยังได้ที่นาดีเพิ่มสิบไร่ มองอย่างไรครอบครัวก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในมือของหลิวฉีซื่อยังมีเงินอยู่สองร้อยตำลึงไม่ใช่หรือ?
หลิวต้าฟู่จึงคิดว่าการเอามันเทศนี้ไปเลี้ยงหมูจึงไม่ใช่เื่ใหญ่!
จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิวซานกุ้ยที่ตั้งท่าจะพาทั้งสามแม่ลูกจากไปว่า “เอาน่า ครอบครัวเดียวกันก็ต้องมีปากมีเสียงกันบ้าง แม่เ้าไม่ได้คิดร้ายกับพวกเ้า พวกเ้าเองก็รู้ แม่พวกเ้าอยู่ในจวนตระกูลหวงั้แ่เด็ก นิสัยเช่นนี้คงแก้ไม่ได้แล้ว พวกเ้าเป็ลูกหลาน ก็อย่าได้เก็บเอาไปคิด”
หลิวเต้าเซียงไม่เคยมีความหวังใดๆ กับปู่แสนดีคนนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อฟังคำพูดของเขา จึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด
เพราะถึงอย่างไรความคิดเห็นของคนในบ้านที่มีต่อเขา ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยถามไถ่อะไรอยู่แล้ว
ขณะที่หลิวฉีซื่อยังคงนั่งกองอยู่ที่พื้น ชุ่ยหลิวก็กำลังช่วยพยุงนางลุกขึ้น
ประเด็นสำคัญคือแผนการที่นางวางไว้ ครอบครัวหลิวเต้าเซียงกลับไม่ตกหลุมพราง ละครฉากนี้เมื่อไม่มีคนเล่นด้วยจึงไม่อาจแสดงต่อได้
อีกทั้งอากาศหนาวทำให้พื้นค่อนข้างเย็นเกินไป ภายใต้ความหน่ายใจจึงแอบส่งสัญญาณให้ชุ่ยหลิวช่วยพยุงนางลุกขึ้น
ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือหลิวต้าฟู่ไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของนางทุกเื่เหมือนเช่นแต่ก่อน
เมื่อหันศีรษะมาก็เห็นเขานั่งลงแล้วยกเหล้าขึ้นจิบ จึงยิ่งโมโหไม่ออก
นางหันขวับไปพร้อมกับใบหน้าที่ยับยู่ยี่และให้ชุ่ยหลิวพยุงเข้าบ้าน
โมโหไปเถอะ ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน
หลิวเต้าเซียงตอนนี้กำลังหิว เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อเข้าห้องไป จึงไปนั่งลงข้างหลิวชิวเซียง
จางกุ้ยฮัวพินิจว่าครอบครัวของตนยังกินไม่อิ่ม จึงรู้สึกโชคดีที่ตนเองเก็บเผื่อไว้หน่อย ก่อนจะใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดทำความสะอาดกับข้าวที่หกบนโต๊ะ
ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อนั้นเสียดายเนื้อปลาหรืออย่างไร จึงกระแทกเพียงชามผักกวางตุ้ง
ไม่นานนัก นางก็เก็บกวาดจนสะอาด แล้วเดินไปยกกับข้าวที่เก็บไว้ในห้องครัวออกมา
หลิวเสี่ยวหลันมองไปที่ชาม จากนั้นสีหน้าก็ไม่พอใจทันใด เนื่องจากจางกุ้ยฮัวทำให้มารดาของตนโมโห นางจึงชักสีหน้าอย่างไม่เกรงใจ “ข้าว่าพี่สะใภ้สาม ท่านคงไม่ได้มีความคิดชั่วๆ นี้ั้แ่ก่อนกินข้าวแล้ว”
หลิวเต้าเซียงกําลังก้มหน้ากินข้าว ก่อนจะมองหน้าหลิวเสี่ยวหลันที่ไม่รู้ความ
“อาเล็ก ท่านควรขอบคุณท่านแม่ข้าด้วยซ้ำ มิเช่นนั้น ท่านจะยังได้กินข้าวดีๆ หรือ?”
“ผู้ใหญ่คุยกัน เ้าเป็เด็กมาพูดแทรกอะไร?”
หลิวเสี่ยวหลันอายุไม่มาก แต่กลับชอบวางมาดผู้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าหลิวเต้าเซียงยิ่งโตก็ยิ่งไม่ฟังคำสั่งของนาง สีหน้าก็ยิ่งเขียวปั๊ด
หลิวต้าฟู่ที่อยู่ด้านข้างคิดว่าช่างยากเย็นแสนเข็นกว่าเื่จะสงบลง ตอนนี้เขาเพิ่งได้จิบเหล้าอย่างเงียบสงบ แล้วย้อนนึกไปถึงวันวาน…
แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสองคนกลับทะเลาะกันไม่หยุด จึงกล่าวอย่างรำคาญใจ “ทะเลาะอะไรกัน ไม่กินก็ออกไป”
หลิวเสี่ยวหลันและหลิวเต้าเซียงไม่ได้รั้นต่อ
อย่างไรก็ตาม หลิวเต้าเซียงลงมือไวกว่า ในชามจึงมีเนื้อหมูเค็มอยู่ไม่น้อยและได้กินอย่างเอร็ดอร่อย
หลิวเสี่ยวหลันกลอกตาใส่หลายรอบ แต่หลิวเต้าเซียงทำหน้าไม่สนใจ กลอกตาไปเถอะ กินจนอิ่มท้องสำคัญกว่า
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็วันอะไร มีเื่ราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน
หากแต่สองพี่น้องก็กำลังกินอย่างสุขใจ
ร่างหนึ่งปรากฏตัวที่ประตูบ้านตระกูลหลิว ซึ่งคนที่มาคือหลี่เจิ้งหวงจิน
“ต้าฟู่ กินข้าวหรือ!”
“หลี่เจิ้ง ท่านมาแล้วหรือ รีบมานั่งในบ้านเร็ว”
กับคนอื่นๆ นั้นสามารถทำตัวแข็งทื่อได้ แต่สำหรับหลี่เจิ้งที่ดูแลหมู่บ้านเหล่านี้ หลิวต้าฟู่ที่เดิมทีราวกับเป็ตุ๊กตาไม้ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขาทั้งกล่าวทักทายและรินน้ำชา จากนั้นก็เชิญหลี่เจิ้งไปนั่งด้วยท่าทางที่กระตือรือร้นราวกับเป็คนละคน
“หลี่เจิ้ง ทานข้าวหรือยัง? ข้ากำลังดื่มเหล้า มาดื่มเป็เพื่อนข้าก่อน มีเื่อะไรจะได้ค่อยๆ คุย”
ไม่ว่าหวงจินจะมาทำอะไร แต่ที่หลิวต้าฟู่กล่าวทักทายก่อนหน้านี้ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
หวงจินเหลือบมองอาหารบนโต๊ะ ดูกับข้าวแล้วผิดปกติเล็กน้อย เหตุใดจึงมีทั้งชามใหญ่และเล็ก?
“ท่านพ่อ ข้าจะไปเอาถ้วยกับตะเกียบให้หลี่เจิ้ง”
ไม่ว่าที่บ้านจะเกิดการฉีกหน้ากันอย่างไร จางกุ้ยฮัวก็ยังคงดูแลต้อนรับหลี่เจิ้งเหมือนปกติ
นางรีบไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบตะเกียบกับถ้วยสะอาดมา แล้วยื่นจอกเหล้าให้หลี่เจิ้ง
หลังจากเหล้าสีเหลืองลงท้องไปสามจอก หลี่เจิ้งหวงจินก็เริ่มเข้าเื่
“ต้าฟู่ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าบ้านเ้ามีฮวงจุ้ยที่ดีไม่น้อย ยินดีด้วย”
หลิวต้าฟู่คิดดู หลังจากที่ตนเองแต่งงานกับฉีหรุ่ยเอ๋อร์มาก็กลายเป็คนร่ำรวยอันดับต้นๆ ในหมู่บ้าน หวงจินบอกว่าบ้านตนเองมีฮวงจุ้ยที่ดี ดูท่าจะเป็ความจริง
หลังจากจิบเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกก็พยักหน้า เพราะว่าตำแหน่งการตั้งแท่นบูชาบรรพบุรุษอยู่สูง มองได้ไกล ชีวิตนี้ของเขาจึงไม่กังวลเื่อาหารการกินและที่อยู่อาศัย
“ข้าเองก็ไม่ขอปิดบัง บ้านนี้ได้ดีเพราะผลงานจากเมียของข้าเป็ส่วนใหญ่”
หลี่เจิ้งได้ยินก็เอื้อมมือออกมาลูบหน้าผาก เขาเองก็แก่จนสับสน เพราะเห็นเหล้าก็เอาแต่ดื่ม ต่อมาจึงตบบ่าของหลิวต้าฟู่แล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ต้าฟู่ จะว่าไปเ้าเองก็เด็กกว่าข้าเพียงไม่กี่ปี ควรเรียกเ้าว่าน้องชายถึงจะถูก ข้าว่าน้องชายเอ๋ย ที่ข้ายินดีกับเ้าใช่แค่เื่ที่เ้าสร้างบ้านใหม่”
หลิวต้าฟู่งงงวย ครอบครัวของเขายังมีเื่อื่นให้ยินดีด้วยหรือ?
“ข้ามาที่นี่เพื่อส่งสาส์นแห่งความสุขให้พวกเ้าโดยเฉพาะ!”
คําพูดของหลี่เจิ้งทำให้ทุกคนในห้องเริ่มฟังไม่เข้าใจ หลิวซานกุ้ยจึงอาสาเป็ตัวแทนเอ่ยถามว่ามีเื่น่ายินดีอะไร
หลี่เจิ้งจิบเหล้าและตอบว่า “จะว่าไป วันนี้ข้าไปที่ตำบลมา และได้ทันเห็นประกาศของทางราชสำนัก อื้ม ตระกูลหลิวของพวกเ้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงยิ่งประเสริฐเช่นนี้ น้องชายเอ๋ย หลานชายของเ้าที่สอบผ่านคือหลิวจื้อไฉ?”
หลิวต้าฟู่พยักหน้าและยอมรับว่า “นี่คือลูกชายคนรองของลูกคนรองข้าที่ไม่เอาไหนเอง”
หลิวจื้อไฉเป็บุตรคนที่สอง ข้างบนยังมีพี่สาวชื่อหลิวจูเอ๋อร์
“ถ้าเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว จื้อไฉนั้นเป็คนที่มีหัวด้านการเรียน นี่เพิ่งอายุเท่าไรเอง ถึงสิบขวบหรือยัง?”
หลี่เจิ้งเอ่ยถาม หลิวต้าฟู่จึงไม่กล้ารอช้าแล้วรีบตอบ “เก้าขวบ พ้นฤดูร้อนปีหน้าก็จะสิบขวบแล้ว”
หลี่เจิ้งพยักหน้า ลูกหลานของตระกูลหลิวนับว่าเรียนเก่งยิ่งนัก พอนึกถึงหลานชายตนเองที่วันๆ เอาแต่ขึ้นเขาล่านกอย่างหวงเสียวหู่ หลี่เจิ้งนวดขมับที่เริ่มปวดขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ครอบครัวหลิวกําลังรอข่าวดีนี้อยู่ เขาจึงหยุดคิดฟุ้งซ่าน แล้วพูดต่อ “เป็เื่ที่น่ายินดีเหลือเกิน อายุยังเล็กแต่ก็สอบผ่านถงเซิง ข้าว่าน้องชาย เ้ากับน้องสะใภ้ต่อไปคงได้เสวยสุขแล้ว”
หลิวต้าฟู่มีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้ การสอบติดถงเซิงจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อบัณฑิตของราชวงศ์โจวอย่างเป็ทางการ และเป็บัณฑิตที่ทางราชสำนักยอมรับ ต่อไป หากหลิวจื้อไฉยังคงเรียนต่อ คงต้องสวมชุดลูกศิษย์แล้ว
นี่นับว่าเป็การยอมรับของเด็กปฐมวัยที่หมั่นเพียรในการเล่าเรียน
“อืม พี่ชายหลี่เจิ้ง นี่เป็เื่ดีจริงๆ กุ้ยฮัว ไปทำอาหารอย่างดีมาอีกสักสองอย่างสิ ข้ากับพี่ชายหลี่เจิ้งหากไม่เมาก็จะไม่เลิก”
หลิวต้าฟู่นั่งมีความสุขจนใบหน้าแดงก่ำ รอยยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
จางกุ้ยฮัวกำลังจะลุกไปทำอาหาร แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวเต้าเซียงจะแอบกระตุกแขนเสื้อของนาง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านจะดีใจอะไรกัน? ยังมีเด็กรับใช้สองคนไม่ใช่หรือ? จะให้คนเป็เ้านายอย่างท่านไปทำ แล้วให้เด็กรับใช้ยืนดูอย่างสนุกสนานได้อย่างไร ไม่มีเหตุผล”
พูดจบสายตาของนางก็หันไปทางชุ่ยหลิวกับอิงเอ๋อร์
ถูกต้อง ชุ่ยหลิวพยุงหลิวฉีซื่อไปนอนในห้อง แล้วก็ออกมานั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ
เมื่อหลิวเสี่ยวหลันเห็นเช่นนี้ จึงบอกให้อิงเอ๋อร์ไม่ต้องปรนนิบัติแล้วมานั่งกินด้วยกัน
ขณะนี้ทั้งสองคนกำลังกินอย่างมีความสุขเพราะเนื้อหมูเค็มที่ยังเหลืออยู่เยอะ
หลิวซานกุ้ยที่อยู่ด้านข้างได้ยินและรู้สึกว่าบุตรสาวพูดได้ไม่ผิด จึงเอ่ยปาก “ท่านพ่อ ท่านลืมอีกแล้ว บ้านเราซื้อเด็กรับใช้มาสองคน ต่อไปเื่เหล่านี้ให้พวกนางไปทำก็พอ”
“ฮ่าฮ่า น้องชาย เ้าช่างซื่อเหลือเกิน ในบ้านมีเด็กรับใช้สองคนมาสักพักแล้ว เหตุใดจึงไม่คุ้นชินอีก?”
หลี่เจิ้งคิดว่าหลิวต้าฟู่คุ้นเคยกับการทำงานหนัก จนลืมไปว่าที่บ้านมีเด็กรับใช้อยู่สองคน
แต่ก็อย่างว่า ผู้ชายนั้นไม่ได้มีจิตใจที่คิดละเอียดอ่อนปานนั้น
“ข้าว่าน้องชาย เ้าเสวยสุขให้ดีเถอะ เื่เหล่านี้ก็ให้คนรับใช้ไปทำ”
ในบ้านของหลี่เจิ้งเองก็มีเด็กรับใช้สองคน เพราะว่าสะใภ้ของพวกเขาเป็ห่วงคนชราทั้งสอง จึงซื้อเด็กรับใช้มาปรนนิบัติโดยเฉพาะ
หลิวเต้าเซียงนึกได้เื่หนึ่ง จู่ๆ นางก็พบว่าหลิวฉีซื่อมัวแต่สนใจเื่ของหลิวเสี่ยวหลันจนลืมสามีไปเสียสนิท นางจึงเห็นใจหลิวต้าฟู่ เพราะว่าหลิวฉีซื่อมีสินเ้าสาวมากมาย ทำให้หลายปีมานี้เขาไม่เคยยืดอกตัวตรงได้เลย จึงถูกหลิวฉีซื่อละเลยอยู่บ่อยครั้ง
หลิวต้าฟู่ไม่ได้คิดมากปานนั้น เขาที่เริ่มมีอาการมึนเมาจึงชี้นิ้วสั่งชุ่ยหลิวกับอิงเอ๋อร์ให้ไปทำกับข้าวที่ห้องครัว
หลิวเสี่ยวหลันขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ อิงเอ๋อร์ยังเด็ก ทำอาหารเป็ที่ไหนเล่า”
จางกุ้ยฮัวพูดออกไปประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วน่าประหลาดใจ “ข้าไม่เคยรู้ว่า เด็กรับใช้ที่ไหนช่างดูสูงส่งกว่าเ้านายเสียอีก ชิวเซียงของข้าเริ่มหุงข้าวและทำอาหารเป็ั้แ่ห้าขวบ”
แม้ว่าข้าวส่วนใหญ่ที่นางหุงในเวลานั้นจะสุกครึ่งหนึ่งไม่สุกครึ่งหนึ่ง ผัดผักก็เค็มปี๋ หรือไม่ก็ผัดจนกลายเป็ผักเค็มแห้ง
แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าหลิวชิวเซียงได้เรียนรู้การทำอาหารั้แ่ตอนนั้น
“อาเล็กเป็คนเมตตา ข้าจำได้ว่าอิงเอ๋อร์ก็อายุเท่ากับข้า ท่านแม่ หรือบางทีอิงเอ๋อร์อาจจะทำอาหารไม่เป็จริงๆ คงเพราะแต่ก่อนบ้านของนางตามใจ”
หลิวเต้าเซียงพูดอย่างเ็า คำพูดนี้กำลังบ่งบอกว่าหลิวเสี่ยวหลันไม่รู้จักเลือกคน ไม่แบ่งชนชั้น ปล่อยให้เด็กรับใช้อยู่ระดับเดียวกับเ้านาย เพราะอย่างที่รู้กัน หลิวเต้าเซียงทำอาหารเป็แล้ว
หลิวเสี่ยวหลันถูกทิ่มแทงด้วยคําพูด จนหน้าดำหน้าแดง
ส่วนหลี่เจิ้งที่เริ่มสุขสำราญกับการดื่มด่ำพร้อมกับหลิวต้าฟู่ เมื่อเห็นเด็กน้อยต่อล้อต่อเถียงกัน ผู้ใหญ่ฟังแล้วก็หน่ายใจ
“หลันเอ๋อร์ไปเรียกแม่ของเ้ามา บอกว่าหลี่เจิ้งนำข่าวดีมาให้ จื้อเอ๋อร์ของเราสองผ่านถงเซิงแล้ว”
หลิวเสี่ยวหลันมองไปที่คนบนโต๊ะแล้วคำนวณในใจ การคิดหาโอกาสที่จะสั่งครอบครัวฝั่งสามได้คงเป็ศูนย์ นางจึงลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างไม่เต็มใจแล้วไปเรียกหลิวฉีซื่อ
นางเห็นชัดเจนและรู้ว่า ไม่ว่าหลิววั่งกุ้ยผู้พี่ หรือหลิวจื้อไฉที่เป็หลานชาย ขอเพียงสอบผ่านได้ผลงาน ก็เป็ที่พึ่งพาหลังจากนางออกเรือนได้
เื่นี้หลิวฉีซื่อสั่งสอนนางมาโดยตลอด อนาคตของนางกับพี่ชายและหลิวสี่กุ้ยที่อยู่ในจวนตระกูลหวง ล้วนพึ่งพาอาศัยสายสัมพันธ์ของพี่ชายหลิวฉีซื่อทั้งสิ้น
-----
