ไทเฮาเจิ้งชะงักไปชั่วขณะ ก่อนชายตามองที่พระชายาหรง ที่จิตใจเปี่ยมด้วยความทะเยินทะยาน “ซูหนิง เ้าคิดโค่นบัลลังก์?”
“เสด็จแม่ โค่นบัลลังก์คำนี้ฟังดูหนักหนาเกินไปเพคะ” พระชายาหรงหัวเราะขึ้นมา “หลายปีมานี้ ฉินไท่เฟยคิดว่าบุตรชายของนางจะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ จึงป่าวประกาศวางอำนาจไปทั่ว แม้แต่เสด็จแม่ที่เป็ถึงไทเฮา ยังต้องก้มหัวให้นางมิใช่หรือเพคะ”
“บัดนี้ฉินไท่เฟยสิ้นใจไปแล้ว ตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งอาณาจักรซีหยวน ควรเปลี่ยนเป็คนของพวกเราแล้ว จากนี้ต่อไปพวกเราจะได้ไม่ต้องเกรงใจใครหน้าไหนอีกยังไงละเพคะ”
“เสด็จแม่่คิดเห็นเป็ประการใด?”
ไทเฮาเจิ้งเกิดสั่นสะเทิ้มไปทั้งร่างกาย เห็นได้ว่าสิ่งที่พระชายาหรงเอ่ยมานั้น ช่างมีพลังแห่งความยั่วเย้ามหาศาล
แต่เมื่อคิดในทางกลับกัน ถึงแม้นางอายุมากแล้ว แต่ก็มิได้เลอะเลือนถึงขั้นจะให้ร้ายฝ่าาองค์ปัจจุบัน ให้นางเป็ตราบาปถูกบรรพชนรุ่นหลังสาปแช่งด่าทอ
“ซูหนิง เื่นี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่สตรีทั้งสองคนอย่างเราจะควบคุมได้ ในตอนนี้เจิ้งเอ๋อร์ยอมเ้าในทุกๆ อย่าง เ้าควรใช้ชีวิตให้มีความสุขในฐานะพระชายาหรงของเ้าเถอะ อย่าได้คิดเื่นี้อีกเลย” ไทเฮาเจิ้งปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ฉินไท่เฟย ศัตรูคู่อาฆาตของไทเฮาเจิ้งจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งอื่นใดย่อมไม่มีความสำคัญสำหรับไทเฮาอีกต่อไป
พระชายาหรงสีหน้าเรียบเฉย เอื้อมไปคว้ามือไทเฮาเจิ้งบีบออกเเรงเล็กน้อย “เสด็จแม่ให้คิดบ้างหรือไม่ว่า สะใภ้คนนี้แต่งออกจากจวนฉิน ย่อมไม่นับเป็คนในตระกูลฉินอีกต่อไปแล้ว บัดนี้ท่านพ่อของหม่อมฉันมีความเคลื่อนไหวอยู่ หากวันหนึ่งวันใดตระกูลฉินคิดเป็ฏขึ้นมา ตำแหน่งไทเฮาของท่าน กับพระชายาหรงของหม่อมฉัน ย่อมมิอาจมีอยู่ได้อีกต่อไป……”
“ซูหนิง!” ไทเฮาเจิ้งยกมือขึ้นนวดขมับด้วยความเวียนหัว “ขาข้างหนึ่งของอายเจียก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้ว เ้ามาพูดเื่นี้กับอายเจียจะมีประโยชน์อะไร ที่สำคัญั้แ่โบราณจนถึงปัจจุบันไม่มีสตรีผู้ไหน สามารถยุ่งเกี่ยวการปกครองได้”
“ถึงแม้เ้าจะแต่งออกจากตระกูลฉิน แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็สายเืตระกูลฉินอยู่ หากวันข้างหน้าผู้นำอาณาจักรซีหยวนเป็คนตระกูลฉิน ย่อมมิอาจสั่นคลอนต่อเ้าด้วยประการทั้งปวง”
“อายเจียรู้สึกเหนื่อแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถอะ” ไทเฮาเจิ้งผายมือ
พระชายาหรงชักสีหน้าเล็กน้อย ทำได้เพียงทำความเคารพแล้วเดินออกตำหนักเฟิงิไป
จากนั้นสีหน้าไทเฮาเจิ้งค่อยๆ ขึงขังขึ้นมา “ฉินเซียงเซี่ยนเอ๋ย เ้าดูราชสำนักในตอนนี้สิ ดีเสียอีกที่เ้าจากไปก่อน ไม่ต้องมารับรู้เื่ราววุ่นวายซับซ้อนพวกนี้”
……
(สลับกลับมาที่จวนองค์ชายหก)
ในวันถัดมา มู่อวิ๋นจิ่นหลับใหลมาถึงยามซานกาน[1] กว่าจะขยี้ตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง บิดี้เียืดเส้นยืดสาย
เมื่อมองไปรอบๆ ก็รีบลุกพรวดขึ้นโดยไม่ใส่รองเท้า วิ่งออกไปนอกห้อง
จื่อเซียงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินเสียงประตูเปิดออก โดยไม่ทันตั้งตัวถึงกับสะดุ้งโหยง รีบวิ่งไปหามู่อวิ๋นจิ่น “คุณหนูตื่นแล้ว”
“วันนี้ข้างนอกมีเื่ใดเกิดขึ้นบ้าง?” มู่อวิ๋นจิ่นยังคงคิดวนเวียนถึงแต่เื่โองการลับ
จื่อเซียงครุ่นคิดดูก่อนส่ายหน้า “ไม่มีเื่ใดเกิดขึ้นทั้งนั้นเ้าค่ะ เดิมทีวันนี้ตระกูลเซียวตั้งใจจัดงานแต่งกับองค์หญิงห้า แต่สุดท้ายมาเจองานขาวดำของฉินไท่เฟยไปเสียก่อน จึงถูกทหารมาสร้างความวุ่นวายนิดหน่อยเ้าค่ะ”
“ยังมีเื่อื่นอีกไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจเื่ฉู่ชิงเฉียงแม้แต่น้อย
จื่อเซียงส่ายหน้า “ไม่มีเื่อื่นแล้วเ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว เมื่อครู่ในวังมีคนมาบอกว่า วันนี้จะมีพิธีไว้อาลัย ขอเชิญคุณหนูรีบเข้าวังเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นค่อยโล่งใจที่ไม่ได้ยินเื่โองการลับ จึงถามขึ้นว่า “ฉู่ลี่อยู่ไหน?”
“คุณหนูที่เป็ชุดขาวไว้อาลัยที่ส่งมาจากวังเ้าค่ะ” จื่อเซียงยื่นมาให้ดู
มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจ ผายมือไม่้า “ไม่ใส่ชุดนี้”
จากนั้นนางเดินไปหยิบชุดกระโปรงสีขาวเรียบง่ายในตู้ออกมาทาบตัวดู
จากนั้นเกล้าผมธรรมดาไม่ติดเครื่องประดับ แล้วทานอาหารให้อิ่ม ก่อนตัดสินใจเดินเท้าไปออกจากจวน
ระหว่างที่ก้าวเดินไปยังวังหลวง ชาวบ้านสองข้างทางต่างซุบซิบนินทา เื่งานแต่งของตระกูลเซียวกันแทบตลอดเส้นทาง โดยไร้ซึ่งเื่ราวจากโองการลับที่ฉินไท่เฟยบอกไว้ก่อนสิ้นใจ ดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นค่อยวางใจได้แล้ว
ดูท่าโองการลับไม่ได้แพร่ออกมา
……
เมื่อไปถึงวังหลวง นางเดินเข้าไปตำหนักของฉินไท่เฟยต่างตกแต่งด้วยผ้าขาวดำ โลงศพถูกจัดไว้ตรงกลาง มีขุนนางน้อยใหญ่ต่างมาแสดงความอาลัย มู่อวิ๋นจิ่นมองไปก็เห็นคนของจวนอัครเสนาบดีมู่
“ท่านพ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปด้านข้าง
อัครเสนาบดีมู่ที่ไว้อาลัยเป็ที่เรียบร้อย เตรียมตัวเดินทางกลับจวน เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นจึงพยักหน้าให้
ทางด้านจ้วงอวี้เหยียนพี่สะใภ้ของนางดวงตาแดงก่ำ เหมือนคนที่เพิ่งร้องได้มาอย่างหนัก เมื่อนางเห็นมู่อวิ๋นจิ่นมาถึงก็ปาดน้ำตา “น้องอวิ๋นจิ่น”
“พี่อวี้เหยียน” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปทักทายจ้วงอวี้เหยียน แล้วรอบไปรอบๆ “มู่หลิงจูมาไหมเอ่ย?”
จ้วงอวี้เหยียนส่ายหน้า “มาอยู่ แต่คุณหนูสี่กลัวพบหน้าพระชายาหรงเข้า จึงเลือกไม่มา”
“คาระวะพระชายาหก” เสียงของเยี่ยนหลิงฉางดังขึ้นจากด้านข้าง
แต่ไหนแต่ไรมู่อวิ๋นจิ่นไม่ค่อยชอบใจเยี่ยนหลิงฉาง จึงพยักหน้ารับ โดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย
เยี่ยนหลิงฉางเสียหน้าทำตัวไม่ถูก จึงหันมองไปที่ทางเข้า บัดดลนั้นความรู้สึกเสียหน้าหายวับไปกับตา “คุณหนูฉินเป็ยังไงบ้าง?”
พอได้ยินคนแซ่ฉิน ท่านอัครเสนาบดีมู่ถึงกับนั่งนิ่ง มู่อวิ๋นจิ่นสังเกตเห็นสีหน้าอัครเสนาบดีมู่ไม่สู้ดี จึงพูดยิ้มๆ “ท่านพ่อ พวกเราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ”
อัครเสนาบดีมู่ จ้วงอวี้เหยียนและมู่อวิ๋นจิ่นเตรียมตัวเดินไปข้างนอก กลับได้ยินฉินมู่เยว่เอ่ยถาม “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น ทำไมพอเห็นน้องแล้วต้องรีบไปด้วยเล่า?”
“พวกเรามาั้แ่เช้าแล้ว น้องมาสายเองต่างหาก” มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเจื่อนๆ
ฉินมู่เยว่เหลือบมองในตำหนักเห็นพระสนม ขุนนางและบุตรสาวบุตรชายของพวกเขาอยู่กันเต็มไปหมด จึงตั้งใจส่งเสียงดัง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “วันนี้ถือโอกาสที่ทุกคนอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มู่เยว่มีเื่จะทวงความยุติธรรมให้พี่ลี่”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็เื่เกี่ยวกับฉู่ลี่ ทุกคนต่างหันมองฉินมู่เยว่ด้วยความใคร่รู้
มู่อวิ๋นจิ่นเองก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก จึงกอดอกยืนมองเพื่อดูว่าฉินมู่เยว่คิดจะทวงความยุติธรรมอะไรให้ฉู่ลี่
“ใต้เท้าอัครเสนาบดีมู่ พวกท่านปิดบังเื่ที่คุณหนูสามมู่สูญเสียความทรงจำ นับว่าทำเกินเหตุไปหรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นใชะงักไปครู่หนึ่ง
อัครเสนาบดีมู่ก็ใไม่แพ้กัน ขมวดคิ้วมองไปที่ฉินมู่เยว่ “คุณหนูฉินกำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่เนี่ย? อวิ๋นจิ่นได้สูญเสียความทรงจำั้แ่เมื่อไหร่กัน?”
“ใต้เท้ามู่อวิ๋นจิ่นอย่าเพิ่งปฏิเสธเร็วจนเกินไป เมื่อคืนนี้ข้าได้ยินคุณหนูสามมู่พูดกับปากตนเอง”
ในเวลานี้ทุกคนในงานคิดเห็นว่าเื่ที่มู่อวิ๋นจิ่นสูญเสียความทรงจำ มิใช่เื่ใหญ่แต่ประการใด เหตุใดคุณหนูฉินต้องทำเป็เื่ใหญ่เื่โตด้วย?
เมื่อเห็นฉินมู่เยว่ตั้งใจมาเล่นใหญ่ มู่อวิ๋นจิ่นกลับแสยะยิ้ม “ต่อจากนั้นละ? ต่อให้ข้าสูญเสียความทรงจำไป แล้วเกี่ยวโยงไปถึงฉู่ลี่ยังไง?”
ทุกคนในงานต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ที่ได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยนามตรงๆ ของฉู่ลี่
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกัน ก่อนที่เ้าสูญเสียความทรงจำ เ้ากับพี่ชายของข้าเป็คนรักกัน บัดนี้เ้าฉวยโอกาสที่สูญเสียความทรงจำแต่งกับพี่ลี่ สรุปแล้วเ้าตั้งใจทำให้ชื่อเสียงของพี่ลี่เสียหาย” ฉินมู่เยว่เปิดศึกขึ้นแล้ว
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูใหญ่หน้าตำหนักเปิดออก บุรุษในชุดขาวเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พอฉู่ลี่เดินเข้ามาโดยที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ภายในตำหนักฉินไท่เฟยเงียบสงัดลงฉับพลัน กระทั่งเข็มตกพื้นก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่ลี่มาก็ดีแล้ว วันนี้น้องมาช่วยฉีกหน้ากากที่แท้จริงของมู่อวิ๋นจิ่นให้” ฉินมู่เยว่อมยิ้มชี้ไปที่หน้ามู่อวิ๋นจิ่น
จากนั้นมีบุรุษในชุดขาวเดินตามหลังฉู่ลี่เข้ามา เอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ “มู่เยว่ เ้ากำลังอำอะไรอยู่?”
ฉินมู่เยว่เห็นฉินมู่หลานเดินเข้ามา จึงคิดในใจว่าช่างดีเหลือเกินที่มากันได้ครบทุกคนแล้ว
ฉินมู่เยว่เดินเข้าไปข้างกายฉินมู่หลาน ยื่นมือไปหยิบถุงหอมที่ผูกสายคาดเอวไว้ “ถุงหอมใบนี้ คุณหนูสามมู่ได้ปักลวดลายให้พี่ชายของข้า ไว้ก่อนสูญเสียความทรงจำ”
ฉินมู่หลานยื่นมือไปแย่งกลับมา ทว่าถุงหอมกับตกกระจายลงบนพื้น
“ทุกคนมาดูเร็วเข้า” ฉินมู่เยว่รีบเก็บถุงหอมขึ้นมา กลับด้านในพบว่าปักอักษรสองตัวว่า ‘อวิ๋นจิ่น’
ภายในตำหนักต่างฮือฮากันขึ้นมา ไม่มีใครนึกมาก่อนเลยว่าการมาไว้อาลัยให้กับฉินไท่เฟยในวันนี้ จะมีละครฉากสนุกให้ดูตบท้าย
เมื่อก่อนชื่อเสียงคุณหนูสามมู่ผู้นี้ย่ำแย่อย่างมาก นึกไม่ถึงว่าแม่ทัพฉินจะถูกใจนาง ที่แท้บุรุษย่อมพ่ายแพ้ความงามที่เอง
“มู่เยว่หยุดได้แล้ว” ฉินมู่หลานกัดฟันเตือนนาง
ทางด้านมู่อวิ๋นจิ่นกับฉู่ลี่ต่างยืนดูละครฉากนี้ด้วยท่าทางนิ่งเงียบ สีหน้าเรียบเฉย มิอาจคาดเดาอารมณ์ด้านในได้
“เื่แค่นี้ก็สามารถสรุปว่าให้ข้ากับพี่ชายเ้าเคยเป็คนรักกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นจู่ๆ เอ่ยถามขึ้น
“เ้าคิดว่าไม่เพียงพออีกหรือ?” ฉินมู่เยว่ย้อนถาม
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ถุงหอมที่ปักชื่อ ข้าสามารถปักให้เ้าได้ไม่ยากเลย หรือว่าหากชื่อคุณหนูฉินไปอยู่ในถุงหอมของบุรุษคนไหน ย่อมแสดงว่าคุณหนูฉินเคยเป็คนรักกับคนผู้นั้นใช่ไหมเอ่ย?”
“มู่อวิ๋นจิ่น เ้ามาต้องมาเปลี่ยนเื่ ฝีมือการปักของแต่ละคนแตกต่างกัน ถุงหอมนี้เป็เ้าปักหรือไม่นั้น เ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ”
“ในวันนี้ที่ข้าเอ่ยถึงเื่นี้ขึ้น เป็เพราะเหตุผลที่รู้สึกไม่เป็ธรรมต่อพี่ลี่ ในเมื่อเ้ากับพี่ชายข้าเคยเป็คนรักกันมาก่อน ทำไมยังต้องแต่งกับพี่ลี่อีก? มู่อวิ๋นจิ่น เ้าต้องมาทำลายชื่อเสียงและหลอกลวงความรู้สึกของพี่ลี่” ฉินมู่เยว่พูดทวงความยุติธรรมให้กับฉู่ลี่
มู่อวิ๋นจิ่นอดมิได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่น “เ้ารู้สึกไม่เป็ธรรมต่อฉู่ลี่? แล้วเ้ายืนอยู่ในจุดไหน ถึงรู้สึกไม่เป็ธรรมแทนเขา?”
“ข้าชอบพี่ลี่มานานใครๆ ก็ทราบกันทั่ว เ้าไม่ต้องหาเื่อื่นมาเหน็บแนมข้า” ฉินมู่เยว่เอ่ยอย่างผู้มีชัย
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือลูบคาง “ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง ตอนนี้เ้าใช้ความรักความเกลียดมาเป็ข้ออ้าง ยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเื่จวนคนอื่นตามอำเภอใจอย่างนั้นสินะ? ในฐานะที่ข้ายังเป็พระชายาหก เ้ายังไม่ไว้หน้า กลับเชิดหน้าชูตาบอกชอบสามีของข้าต่อหน้าคนอื่น โดยบอกว่ารู้สึกไม่เป็ธรรม เ้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าอย่าเหน็บแนมเ้าอีก!”
“ฉินมู่เยว่ ใครให้ท้ายเ้าถึงเพียงนี้?”
[1] ยามซานกาน เป็เวลาประมาณ 9.00-11.00 น.