ตลอดเส้นทาง มีภาพฉากสลับกันเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างมากมาย สยงท่าเทียนมีอารมณ์รุนแรงและอารมณ์ร้อน แต่ไม่เป็ศัตรูกับใคร มีอะไรก็พูดตรงๆ เป็คนตรงไปตรงมา ส่วนหลี่เทียนจียังคงอารมณ์เสียไปตลอดทาง ไม่ใช่ว่าเขานิ่งเงียบไปเพราะเขากำลังอารมณ์เสีย แต่เป็เพราะการโมโหของสยงท่าเทียน
เมื่อรู้ว่าสติปัญญาของสยงท่าเทียนยังไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ หากไปทำอะไรเขาขึ้นมา มันจะไม่เท่ากับสร้างความลำบากให้ตนเองหรอกหรือ? นอกจากนี้ ต่อให้สู้กันก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้
นับั้แ่สยงท่าเทียนนำเสี่ยวเฮยเก็บไว้ในถุงเก็บอสูร ทั้งสามคนก็เริ่มพบเจอกับอสูรร้ายเป็จำนวนมาก แต่อสูรร้ายเหล่านี้ยังมีไม่เพียงพอให้สยงท่าเทียนได้เล่นสนุกด้วยซ้ำไป แล้วจะเหลือตกถึงฉินอวี่ได้อย่างไร?
ในที่สุด ฉินอวี่ก็ต้องใช้ทางเลือกสุดท้าย ด้วยการขออย่างเด็ดขาดให้สยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีคอยเฝ้าดูการต่อสู้โดยไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
วันนี้
ฉินอวี่กำลังต่อสู้กับอสูรร้ายในขั้นสูงสุดของระดับหนึ่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพในระดับการฝึกฝน และเสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแรง
สยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีนั่งอยู่ในระยะไกล ดูการต่อสู้อันเต็มกำลังของฉินอวี่ สยงท่าเทียนเริ่มมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะเข้าไปร่วมต่อสู้ จนแทบจะพุ่งเข้าไป และหลี่เทียนจีก็จ้องมองฉินอวี่ด้วยความสงสัย โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้ หลี่เทียนจี เ้าจะจ้องพี่ฉินทำไมนักหนา” สยงท่าเทียนกระสับกระส่ายเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ว่าหลี่เทียนจีกำลังจ้องมองไปยังฉินอวี่ เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นทันที
หลี่เทียนจีเหลือบไปมองสยงท่าเทียน และไม่ได้ตอบอะไร ในใจของเขากำลังครุ่นคิดอยู่กับเื่ที่เขาไม่สามารถพยากรณ์ฉินอวี่ได้ ก่อนหน้านี้เขาถูกการต่อสู้ทำลายสมาธิไป และในตอนนี้เมื่อสงบลงแล้ว หลี่เทียนจีจึงรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด
จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพยากรณ์มาก่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วการพยากรณ์มักจะมองเห็นสิ่งที่แน่นอนบางอย่าง ไม่ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดหรือจะเกิดความไม่แม่นยำ แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องมีบางอย่างให้เห็นเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เขาได้ใช้โลหิตฟ้าดินในการพยากรณ์ โลหิตฟ้าดินนี้มีพลังของที่สุดแห่งต้นกำเนิดฟ้าดิน ตามที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ หากไม่ถึงยามคับขันจริงๆ ห้ามเรียกใช้มันเด็ดขาด หรือบางครั้งหากเื่ที่จะพยากรณ์นั้นไม่สอดคล้องกัน ก็ห้ามใช้โลหิตฟ้าดิน จากคำพูดนี้สามารถสรุปได้ว่า ประการที่หนึ่งโลหิตฟ้าดินเป็สิ่งล้ำค่า ประการที่สองการจะเรียกใช้โลหิตฟ้าดินจะต้องพยากรณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาได้แน่นอน
แต่ในครั้งนี้ แม้จะใช้โลหิตฟ้าดินไปแล้วก็ยังไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้หลี่เทียนจีงุนงงเป็อย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนึกถึงความผิดพลาดที่เกิดจากตัวโลหิตฟ้าดินมาก่อน แต่เมื่อหวนนึกถึงความรอบคอบในตอนที่อาจารย์มอบให้กับตนเองแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าไม่มีวันผิดพลาดได้แน่นอน
แต่ในเมื่อเป็เช่นนั้น เพราะเหตุใดจึงไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้?
หลี่เทียนจีหวนนึกถึงสิ่งที่อาจารย์กล่าวไว้ในอดีตอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงสองเหตุผลที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้ หนึ่งคือผู้ถูกพยากรณ์นั้นได้ตายไปแล้ว และอีกประการหนึ่งคือพละกำลังของผู้ถูกพยากรณ์เข้าถึงขีดสุด และได้บรรลุผลแห่งกรรมทั้งมวลแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้
ถ้าฉินอวี่ตายไปแล้ว เช่นนั้นแล้วหากจะบอกว่าคนที่กำลังมีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้าเขา อยู่ในเหตุผลประการที่สอง หลี่เทียนจีคงจะเชื่อว่าฉินอวี่ได้ตายไปแล้วมากกว่า และไม่มีวันเชื่อว่าฉินอวี่ได้บรรลุผลแห่งกรรมแล้ว
“หรือว่า... วิถีการบำเพ็ญของข้ายังไม่มากพอจะสามารถทำการพยากรณ์ได้?” หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ หลี่เทียนจีก็สามารถคิดได้เพียงคำตอบนี้เท่านั้น ซึ่งเป็เื่ที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขาอย่างยิ่ง
“ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถพยากรณ์เ้าได้ ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่ต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะนำอนาคตของเ้าออกมาดูให้ได้!” หลี่เทียนจีตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นในใจ ราวกับจะขอสาบานว่าไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะพยากรณ์ออกมาได้
แต่เขากลับไม่รู้ว่าแม้แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่สามารถพยากรณ์ออกมาได้ อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่ง ในโลกใบนี้คงไม่มีใครสามารถพยากรณ์ผลแห่งกรรมของฉินอวี่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีก็คงมีไม่เกินสามคน
นั่นเป็เพราะ ผลกรรมของฉินอวี่ไม่ได้รับการยินยอมจาก์!
“หลี่เทียนจี เ้านี่มันทำตัวน่ากลุ้มใจจริงๆ” เมื่อเห็นว่าหลี่เทียนจีไม่ตอบอะไร สยงท่าเทียนก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ และะโคุยกับฉินอวี่อย่างคันไม้คันมือ “พี่ฉิน ท่านอยู่ตรงนี้ต่อสู้กับพวกมันเถอะ ข้าจะไปรอท่านที่ด้านข้างแล้วกัน”
ก่อนที่จะพูดจบ สยงท่าเทียนก็จากไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลี่เทียนจียังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองดูสยงท่าเทียนที่จากไป หลี่เทียนจีหยิบตำราโบราณออกมาอีกครั้งและเริ่มอ่าน เขาพึมพำไปพลางขณะอ่าน “ก็ไม่ผิดนี่นา แล้วเหตุใดจึงพยากรณ์ออกมาไม่ได้ล่ะ? หรือเพราะโชคไม่ดี?”
หลี่เทียนจีที่กำลังไม่พอใจ ได้หยิบผ้าไหมผืนสีขาวออกมาอีกครั้ง คราวนี้ สิ่งที่เขานำออกมาไม่ใช่เส้นผม แต่เป็เืหยดหนึ่ง ซึ่งเป็เืของฉินอวี่!
หลังจากนั้นไม่นาน!
ดวงตาของหลี่เทียนจีก็เปล่งประกายด้วยแสงจางๆ มองดูผ้าไหมสีขาวเนื้อละเอียดผืนนั้น พลางพูดพึมพำในปาก
“จงปรากฏมาเดี๋ยวนี้!” หลี่เทียนจีเปล่งเสียงต่ำๆ ขึ้นมา
และบนพื้นผิวของมันปรากฏเป็แสงจางๆ ขึ้นมา แต่หลี่เทียนจีกลับมองไม่เห็นอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้จิตใจของหลี่เทียนจีผิดหวังอย่างเทียบไม่ได้ ดูเหมือนว่า วิถีการบำเพ็ญของตนเองคงจะยังไม่ถึงไหนจริงๆ
“หลี่เทียนจี ผ้าผืนนี้คืออะไรหรือ?” เมื่อเห็นว่าหลี่เทียนจีกำลังจ้องมองไปอย่างครุ่นคิด ฉินอวี่ที่มีเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งได้เดินเข้ามาพร้อมคาวเืที่คละคลุ้ง
ในเวลานี้ฉินอวี่อารมณ์ดี มีสยงท่าเทียนและหลี่เทียนจีอยู่ด้วย เขาแทบไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเื่การพบเจออันตรายใดๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในกลางของสุสานอสูรแห่งนี้ ดังนั้น ฉินอวี่จึงถือโอกาสที่จะฝึกฝนร่างกาย เพิ่มระดับการฝึกฝนและพละกำลัง ซึ่งตลอดหลายวันมานี้ นับว่าได้รับผลตอบแทนไปไม่เลว
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ หลี่เทียนจีก็รีบเก็บผ้าไหมสีขาวผืนนั้นทันที เหลือบมองฉินอวี่อย่างเย่อหยิ่ง แต่ไม่พูดจาอะไร
ทันทีที่หลี่เทียนจีเก็บมันขึ้นมา สายตาของฉินอวี่ก็เกิดประกายแสงแปลกๆ ก่อนหน้านี้เขาเห็นอยู่ว่าบนผ้าขาวเต็มไปด้วยลวดลายบางอย่างอย่างชัดเจน แต่ขณะที่หลี่เทียนจีเก็บมันขึ้นมา ลวดลายทั้งหมดนั้นต่างหายไปทันที สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่แปลกใจยิ่งนัก และอดจะครุ่นคิดถึงความน่าเชื่อถือในคำพูดของสยงท่าที่บอกว่าหลี่เทียนจีสามารถพยากรณ์อนาคตได้
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ถามอย่างหยั่งเชิง “หลี่เทียนจี เ้าพยากรณ์ได้จริงหรือ?”
หลี่เทียนจีไม่ตอบด้วยความเย่อหยิ่งเหมือนครั้งที่แล้ว และเหลือบมองฉินอวี่อย่างเ็าด้วยความนิ่งเงียบ
สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่อธิบายไม่ถูก ว่าตนเองได้ทำให้เขาขุ่นเคืองหรือไม่? ทันใดนั้น เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “หลี่เทียนจี ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะไม่สามารถพยากรณ์ได้ ในตอนแรกที่คุยกับสยงท่าเทียนไม่มีใครว่าอะไรเ้า เ้ายังมีอายุน้อย ไม่ควรจะเร่งรีบให้พยากรณ์ออกมาได้เร็วไป ไม่ว่าเื่อะไร ทุกอย่างต้องทำเป็ขั้นตอน จริงหรือไม่?”
หลี่เทียนจีมองไปที่พื้น ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
“ข้าเคยพบคนคนหนึ่ง เขาไม่เพียงแต่สามารถตรวจสอบอดีตได้ แต่ยังพยากรณ์อนาคตได้อีกด้วย” ฉินอวี่จ้องมองหลี่เทียนจี และพูดอย่างช้าๆ
หลี่เทียนจีเงยหน้าขึ้นอย่างดุร้าย และพูดด้วยใบหน้าที่ไม่อยากเชื่อ “เ้าเคยเห็นหรือ? คนผู้นั้นชื่ออะไร? เป็ไปไม่ได้!”
“มีอะไรเป็ไปไม่ได้เล่า? คนผู้นั้นเหมือนจะชื่อว่าซุ่ยเยว่จื่ออะไรสักอย่าง?” ฉินอวี่พูด และนี่ก็ไม่ใช่เื่เหลวไหลที่ฉินอวี่พูดกับหลี่เทียนจี แต่จริงๆ แล้ว ฉินอวี่เคยได้พบปะแลกเปลี่ยนกับซุ่ยเยว่จื่อมาก่อนแล้วที่สำนักเทียนฉี
“ซุ่ยเยว่? ซุ่ยเยว่จื่อ? เป็ไปได้อย่างไรกัน? เ้าหมายถึงซุ่ยเยว่หนึ่งชีพจร? พวกเขาถูกตัดขาดการสืบทอดไปแล้วมิใช่หรือ?” หลี่เทียนจีพูดด้วยความใ
“ซุ่ยเยว่หนึ่งชีพจรอะไรกัน? หรืออาจเป็เพราะความแตกต่างของสำนักหรือไม่? เ้าอยู่สำนักอะไร?” ฉินอวี่กล่าวอย่างสงสัย ประกายแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ดูเหมือนว่าหลี่เทียนจีจะสามารถพยากรณ์อนาคตได้จริง เพียงแต่ในตอนนี้เขายังทำได้ครึ่งๆ กลางๆ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ส่งผลอะไรกับความประหลาดใจและความกระตือรือร้นภายในใจของฉินอวี่
หากรอให้สักวันที่หลี่เทียนจีก้าวไปถึงระดับหนึ่ง เขาจะสามารถพยากรณ์เื่อนาคตของหลินอวี่และเสี่ยเอ๋อได้หรือไม่?
“ข้าเป็...” หลี่เทียนจีกำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับปิดปากของเขาทันที และจ้องฉินอวี่อย่างเ็า ก่อนจะพูดว่า “เ้ากำลังหลอกข้าอยู่หรือ? อาจารย์ของข้าบอกว่าซุ่ยเยว่หนึ่งชีพจรนั้นไร้การสืบทอดไปแล้ว! เ้าจะเคยพบเจอซุ่ยเยว่จื่อได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้จะมีการสืบทอด ซุ่ยเยว่จื่อก็ไม่ใช่คนที่ใครอยากจะเข้าพบก็ได้ ฮึ ข้าว่าเ้าคงแค่ได้เห็นซุ่ยเยว่หนึ่งชีพจรจากตำราโบราณมากกว่าสินะ”
ในตอนแรก หลี่เทียนจีรู้สึกว่าการที่ฉินอวี่สามารถระบุตัวตนของตระกูลขวงสยงของสยงท่าเทียนได้ อาจเป็เพราะความบังเอิญหรือการได้รับข้อมูลจากตำราโบราณมาจำนวนไม่น้อย แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกยิ่งมั่นใจขึ้นแล้ว
ฉินอวี่ตกตะลึง หลังจากได้ฟังคำพูดของหลี่เทียนจี เขาก็โล่งใจมากขึ้น หลี่เทียนจีคิดเช่นนี้นับว่าเป็เื่ดีไม่ใช่น้อย หรือจะให้ต้องบอกหลี่เทียนจีว่าเขาเคยพบซุ่ยเยว่จื่อในยุคไท่กู่? หากกล่าวไปเช่นนี้หลี่เทียนจีคงได้แต่ส่ายหน้าและหันจากไป และคงจะดูถูกสติปัญญาของเขา เห็นเขาเป็เพียงเด็กสามขวบแน่นอน
“ฮึ!” เมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของฉินอวี่ หลี่เทียนจีก็พ่นลมหายใจอย่างเ็า มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยัน ที่ดูเหมือนจะวางท่าทีว่าข้าคือผู้รู้ทุกเื่
“นี่... ปิดบังอะไรเ้าไม่ได้เลยสินะ เพียงแต่หลี่เทียนจี ข้าจะบอกความจริงกับเ้านะ หากข้า้าขอให้เ้าช่วยพยากรณ์อนาตของสหายข้า ไม่ทราบว่า... เ้าจำเป็ต้องใช้สิ่งของอะไรบ้าง?” ฉินอวี่เหนียมอายเล็กน้อย สายตาของเขาจ้องตรงมายังหลี่เทียนจี
ดูเหมือนว่าคำพูดของฉินอวี่ที่บอกว่า “ปิดบังอะไรเ้าไม่ได้เลย” จะทำให้หลี่เทียนจีสบายใจเป็พิเศษ เขามองดูฉินอวี่อย่างเ็า และพูดไปอย่างเรียบเฉย “ข้า้าสิ่งของในตัวเขาหนึ่งอย่าง หรืออาจเป็สิ่งของที่เขาเคยัั”
ดวงตาของฉินอวี่มืดลงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่หมื่นปีแล้ว และตอนนี้จะไปหาสิ่งของของเสี่ยเอ๋อกับหลินอวี่ได้จากที่ไหน?
เดี๋ยวนะ
ทันใดนั้นฉินอวี่ก็นึกขึ้นได้ถึงม้วนภาพในหอบรรพชนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ในเมื่อหวังชิงเป็คนทิ้งเอาไว้ เช่นนั้น... เสี่ยเอ๋อก็คงต้องทิ้งอะไรไว้ในสำนักโบราณซิงเฉิน
ใช่แล้ว ป้ายหินชิ้นนั้น เสี่ยเอ๋อเป็คนแกะสลักไว้เอง!