บทที่ 8: ปาฏิหาริย์แห่งตัวตน ชะตาลิขิตสีม่วง
“เขาเองก็ขึ้นไปถึงยอดได้ด้วยรึ?”
“หากมิใช่ว่าข้าเองก็แทบยืนไม่ไหว คงได้สงสัยว่าบันไดสู่์นี่มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า!”
“แต่เขาขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว เหตุใดจึงไม่มีปรากฏการณ์พิเศษใดๆ เกิดขึ้นเลยเล่า?”
“ช่างเถิด ดูท่าทีที่เขาก้าวขึ้นไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น รากฐานกระดูกของเขาย่อมต้องไม่ใช่แค่ระดับปิ่งเป็แน่”
ฝูงชนยังคงส่งเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
เมื่อครู่ตอนที่อิ๋งปิงขึ้นไป ยังสามารถดึงดูดวิหคหลากชนิดนับร้อยให้มารวมตัวกันได้ ช่างเป็ภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตานัก
ทว่าหลี่โม่กลับขึ้นไปถึงยอดเขาได้โดยไม่มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ใดๆ เกิดขึ้นเลย
“เป็ไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็ไปได้อย่างเด็ดขาด! เขาต้องโกงแน่!”
หวังหู่ที่กลิ้งตกลงมาจากบันไดหลายสิบขั้น บัดนี้ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะหมดสติอยู่รอมร่อ พอเห็นเ้าคนไร้ยางอายที่ลอบทำร้ายตนขึ้นไปถึงยอดได้ ก็ยิ่งโกรธจนเืขึ้นหน้า
เขากัดฟันกรอด แทบอยากจะพุ่งขึ้นไปกระชากหลี่โม่ลงมา ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้แม้แต่จะลุกขึ้นยืน เขาก็ยังทำไม่ได้
“ท่านพี่! เ้าเด็กนี่มันชั่วช้าเลวทราม ไม่คู่ควรจะเป็ศิษย์ของสำนักชิงเยวียนเลยขอรับ!”
“หุบปาก! เหล่าผู้าุโย่อมมีการตัดสินใจของท่านเอง!”
หวังฮ่าวเองก็รู้สึกอับอายเช่นกัน แต่เขาก็รีบขัดจังหวะคำพูดพล่อยๆ ของน้องชายได้ทันท่วงที
เื่ที่เ้าเด็กนั่นจะถูกตัดสินเช่นไร เป็เื่ของเหล่าผู้าุโ ยังไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะต้องไปตั้งคำถามถึงความเป็ธรรมของพิธีรับศิษย์
แน่นอนว่าหวังฮ่าวเองก็คิดว่าหลี่โม่จะต้องใช้วิธีการอันไม่ชอบมาพากลเป็แน่
บันทึกของสำนักเคยกล่าวไว้ว่า
เ้าสำนักชิงเยวียนรุ่นที่ห้า ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดุจ ‘ดาราธารไหลหลั่ง’ เ้าสำนักชิงเยวียนนรุ่นที่สิบหก สามารถดึงดูดให้พฤกษชาติทั่วทั้งหุบเขาเบ่งบาน
รวมถึงเ้าสำนักคนปัจจุบัน ซ่างกวนเหวินชาง ก็ยังทำให้อาวุธกระบี่นับไม่ถ้วนสั่นะเืและน้อมคารวะ
ผู้ที่ขึ้นไปถึงยอดได้ทุกคน ล้วนมีปรากฏการณ์พิเศษปรากฏให้เห็น
แตกต่างจากเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยสิ้นเชิง
บนแท่นพิธี
เหล่าผู้าุโต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
พวกเขามีระดับพลังอย่างน้อยก็ถึงขอบเขตที่ใช้ ม่านจิตทิพย์ได้ สามารถมองเห็นในสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็นได้
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของพวกเขา...
เด็กหนุ่มผู้มีอีกาเกาะอยู่บนศีรษะ ก็มีปรากฏการณ์อันไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นเช่นกัน
เื้ัของเขาปรากฏเงาร่างหนึ่ง... หันหลังให้แก่สรรพสิ่ง
เงาร่างนั้นดูเรียบง่ายไร้ความพิเศษ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งอย่างถึงที่สุด
บัณฑิตผู้จุดตะเกียงอ่านตำรายามค่ำคืน... ขุนพลผู้ก้าวเข้าสู่ท้องพระโรง...
ราวกับเพียงชั่วพริบตา เงาร่างนั้นก็แปรเปลี่ยนไป... แต่เมื่อเพ่งมองอีกครา มันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ยังคงเป็เด็กหนุ่มในอาภรณ์แพรพรรณเช่นเคย
เงาเื้ัของหลี่โม่...คือภาพสะท้อนตัวตนของเขาเอง บนบันไดสู่์อย่างนั้นหรือ?
นี่มันเื่เหลวไหลอะไรกัน!
เหล่าผู้าุโสบตากัน ต่างก็เห็นความเหลือเชื่อและความตกตะลึงในแววตาของอีกฝ่าย
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเื่เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัย...เด็กหนุ่มผู้นี้ ไม่ธรรมดา
“ในเมื่อขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยขั้นได้ เช่นนั้นก็มีคุณสมบัติเป็ศิษย์สายตรง พวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?” เซวี่ยจิงคลายมืออย่างสงบนิ่ง พลางโยนเคราที่ตนเผลอกระชากจนขาดทิ้งไป
“ย่อมได้”
“อืม ข้าก็คิดว่าควรจับตาดูเขาไว้ก่อน”
“เพียงแต่... ทั้งสองคนต่างก็ขึ้นไปถึงยอดได้สำเร็จ”
ผู้าุโหานเฮ่อวางถ้วยชาลง กล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย
“คำสอนของปรมาจารย์ได้กล่าวว่า ผู้ที่ขึ้นสู่ยอดเขาคือผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็เ้าสำนักคนต่อไป และจะต้องได้รับการบ่มเพาะให้เป็ผู้สืบทอดแห่งเขาชิงเยวียนในอนาคต”
“แล้วสำนักหนึ่งจะรองรับผู้สืบทอดสองคนได้อย่างไร?”
ที่เป็เช่นนี้ก็เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์ที่คนสองคนขึ้นไปถึงยอดเขาได้พร้อมกันมาก่อน
ทันใดนั้น สายตาของเหล่าผู้าุโทั้งหลายต่างก็จับจ้องไปยังเ้าสำนัก
ซ่างกวนเหวินชางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ให้อิ๋งปิงเป็ศิษย์สายตรงของข้าผู้เป็เ้าสำนัก ส่วนหลี่โม่... ให้เป็ศิษย์สายตรง”
เกี่ยวกับเื่นี้...เหล่าผู้าุโก็มิได้รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก
คนหนึ่งสะท้อนภาพตัวตนซึ่งเป็เพียงคนธรรมดาสามัญ
ส่วนอีกคนหนึ่งสะท้อนภาพหงส์เพลิงอันสูงส่ง ลึกลับ ดุจจันทราทมิฬ
เห็นได้ชัดว่าคนหลังมีศักยภาพที่สูงส่งกว่า
ตั๊ง—
เสียงระฆังดังกังวานยาวนานไปทั่วทั้งเทือกเขา
ธูปดอกยาวในกระถางทองสัมฤทธิ์ได้มอดไหม้จนหมดสิ้น
หนึ่งชั่วยามได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เมื่อครบกำหนดเวลา เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่กำลังปีนป่ายอยู่บนบันไดต่างก็ผ่อนคลายลง บางคนดีใจจนเนื้อเต้น บางคนสงบนิ่งดังเช่นเคย และบางคนก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจ
แต่บัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกตัดสินแล้ว
ในรอบที่สองนี้ ผู้ที่สามารถเข้าสู่สำนักชิงเยวียนได้สำเร็จนั้นเหลืออยู่เพียงเจ็ดถึงแปดร้อยคนเท่านั้น
ผู้าุโจากแต่ละยอดเขาของสำนักชิงเยวียนได้ทยอยลงมาจากแท่นพิธี
ซ่างกวนเหวินชางก้าวเท้าออกมา บรรยากาศที่เคยอึกทึกครึกโครมในลานกว้างพลันเงียบสงบลงในทันที
“ผู้ที่ได้เป็ศิษย์ชั้นนอก ไปที่ตำหนักกิจการภายนอกเพื่อรับป้ายประจำตัวและของใช้จำเป็”
“ผู้ที่ได้เป็ศิษย์ชั้นใน สามารถเลือกยอดเขาที่จะสังกัดได้ด้วยตนเอง แต่ละยอดเขามีหน้าที่และความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป รวมถึงวิชาการต่อสู้ที่ถนัดก็ไม่เหมือนกัน พวกเ้ามีเวลาสามวันในการทำความเข้าใจ”
“ไม่ว่าจะได้เป็ศิษย์ชั้นในหรือศิษย์ชั้นนอก ก็จงอย่าได้ย่อท้อ พวกเ้ายังเยาว์วัย ชะตาชีวิตยังไม่ได้ถูกกำหนด”
น้ำเสียงของเ้าสำนักแฝงไว้ด้วยอำนาจที่สั่นะเืจิตใจ
หลี่โม่มองไปยังบรรดาผู้าุโ แล้วพลันชะงักไปเล็กน้อย
เซวี่ยจิงกำลังขยิบตาให้เขาอยู่
ยอดเยี่ยมไปเลย...
ก่อนหน้านี้หลี่โม่ยังคงสงสัยอยู่เลยว่าหมอธรรมดาๆในโรงหมอ จะนำของล้ำค่าอย่าง ‘ยาเม็ดสุริยะ‘ ออกมาได้อย่างไร
“อิ๋งปิงเป็ศิษย์สายตรง จงมาเป็ศิษย์ของข้า”
ซ่างกวนเหวินชางกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ฝูงชนที่ยังไม่จากไปไหนต่างก็คาดเดาเื่นี้ได้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสะท้าน
ได้รับการยอมรับให้เป็ศิษย์โดยตรงจากเ้าสำนักชิงเยวียน ซ่างกวนเหวินชาง!
เพียงก้าวข้ามบันไดสู่์ ก็เท่ากับก้าวเดียวทะยานสู่สรวง์
เมื่อครู่ทุกคนยังเข้าร่วมพิธีรับศิษย์พร้อมกันอยู่แท้ๆ แต่ในพริบตาเดียว สถานะกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ชีวิตคนเราช่างคาดเดาได้ยากยิ่งนัก
“หลี่โม่, หลินเจียง, มู่หรงเซียว, ล้วนมีคุณสมบัติที่จะเป็ศิษย์สายตรงเช่นกัน”
“มีผู้าุโท่านใดสนใจจะรับศิษย์บ้างหรือไม่?”
ตำแหน่งศิษย์สายตรงนั้นมีจำกัด ผู้าุโแต่ละท่านสามารถรับศิษย์สายตรงได้มากที่สุดเพียงห้าคนเท่านั้น
“น่าเสียดาย ศิษย์ในสังกัดของข้าเต็มแล้ว”
“หลินเจียง เ้ามีขามวยตั๊กแตน, ไหล่ปักษา, และกระดูกอสรพิษเขียว ข้าถนัดการใช้กระบี่ยาว เ้าเต็มใจจะติดตามข้าหรือไม่?”
“โอ้โห! เ้าหนูมู่หรงเซียวคนนี้ไม่เลวเลย ถึงกับมีสายเืสัตว์มงคลอยู่ด้วย ช่างเป็ต้นกล้าที่ดีนัก!”
หลินเจียงถูกผู้าุโท่านหนึ่งรับเป็ศิษย์อย่างรวดเร็ว
ส่วนมู่หรงเซียวเป็ที่้าอย่างมาก จนมีผู้าุโสามท่านมารุมแย่งชิง ท้ายที่สุดก็ได้เข้าเป็ศิษย์ของผู้าุโหานเฮ่อ
“คนสองคนนี้...”
หลี่โม่เองก็กำลังพิจารณาพวกเขาอยู่เช่นกัน
【ชื่อ: หลินเจียง】
【อายุ: 16】
【รากฐานกระดูก: ขามวยตั๊กแตน, กระดูกอสรพิษเขียว, ไหล่ปักษา】
【ระดับพลัง: ขอบเขตปราณโลหิตขั้นสี่】
【ชะตาฟ้าลิขิต: สีน้ำเงิน】
【ประเมิน: บุคคลผู้นี้มีพร์พอใช้, ทว่าใจร้อนมุ่งหวังความสำเร็จเร็วเกินไป, หากฝืนจนเกินกำลังอาจแตกหักได้ง่าย หากสำนึกตนได้ทันท่วงที, ก็อาจจะสามารถก้าวหน้าได้อีกขั้น】
【เหตุการณ์ล่าสุด: เพิ่งได้เป็ศิษย์สายตรงของสำนักชิงเยวียน, ้าอาวุธที่เหนือกว่าระดับ 'ศาสตราคม'】
….
【ชื่อ: มู่หรงเซียว】
【อายุ: 16】
【รากฐานกระดูก: กายาัคำรน】
【ระดับพลัง: ขอบเขตปราณโลหิตขั้นห้า】
【ชะตาฟ้าลิขิต: สีน้ำเงิน】
【ประเมิน: บิดาเป็มนุษย์, มารดาเป็ัจำแลงกาย มีจิตใจดีงามทว่าถูกรบกวนจากสายเืของตนเอง หากสามารถหลอมรวมข้อดีของทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้, อนาคตจะไร้ขีดจำกัด หากหลอมรวมข้อเสียของทั้งสอง, จะนำมหันตภัยมาสู่ดินแดน】
【เหตุการณ์ล่าสุด: กดข่มสัญชาตญาณของตนเองมาเป็เวลานาน, หวังว่าจะสามารถสงบจิตใจที่กระหายเืซึ่งฝังลึกอยู่ในสายเืได้】
“ฟู่...”
หลี่โม่สูดหายใจเข้าเบาๆ
เขาไม่ใช่ผู้มีสายเืสัตว์มงคลด้วยหรอกรึ?
บิดาเป็มนุษย์ มารดาเป็อสรพิษ?
บิดาของมู่หรงเซียวผู้นี้ช่างเป็คนที่เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แม้แต่สวี่เซียนยังต้องขอยอมแพ้
เขาจดจำข้อมูลของคนทั้งสองไว้ในใจเงียบๆ
“ว่าแต่ แล้วข้าเล่า?”
หลี่โม่ได้สติกลับคืนมา ก็พบว่าสายตาของเหล่าผู้าุโส่วนใหญ่ที่มองมานั้นล้วนเต็มไปด้วยความลังเล
‘เด็กคนนี้มีพร์โดดเด่นนัก แต่จะสั่งสอนเขาอย่างไรดี?’ นี่คือสิ่งที่เหล่าผู้าุโกำลังคิดอยู่ในใจพร้อมกัน
บรรยากาศในลานกว้างก็เงียบสงัดลงอย่างน่าประหลาด
ฉับพลัน! น้ำเสียงเกียจคร้านเสียงหนึ่งก็ทำลายความเงียบลง
“เ้าหนู แฮ่ม... เ้าเต็มใจจะมาเป็ศิษย์ของข้าหรือไม่?”
หลี่โม่มองตามเสียงไป
ก็เห็นสตรีในชุดชาววังผู้หนึ่งยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงนั้น พยายามทำท่าทางให้ดูจริงจังและสง่างามอย่างยิ่ง
เครื่องหน้าของนางงดงามหมดจด ชุดชาววังที่ดูหลวมโคร่งก็ไม่อาจปิดบังรูปร่างอันน่าทึ่งของนางได้มิด
นางยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างงามสะพรั่ง
“ย่อมได้ขอรับ”
หลี่โม่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาก้มกายคารวะทันที
“นี่... ศิษย์น้องซางอู่...”
เซวี่ยจิงชะงักไปครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง
แต่กลับถูกซางอู่ตวัดสายตาข่มขู่กลับมา พลางกำหมัดเล็กๆ อันเรียวงามทั้งห้าแน่น
“เอ่อ… การได้เป็ศิษย์ของนางก็นับเป็เื่ที่ดี ในอนาคตเ้าก็จะได้เป็ศิษย์เพียงคนเดียวของยอดเขาที่เก้า”
เซวี่ยจิงเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างว่องไว
“คารวะท่านอาจารย์”
หลี่โม่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำพิธีคารวะ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
เหตุใดสายตาของเหล่าผู้าุโที่มองมายังเขาจึงได้มีแววสงสารเจือปนอยู่ด้วยเล่า?
เขาอดไม่ได้ที่จะใช้ "เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า" มองดูนาง
【ชื่อ: ซางอู่】
【อายุ: 27】
【รากฐานกระดูก: กายาบัวเพลิงบูรพา】
【ระดับพลัง: ขอบเขตภูมิทัศน์ภายในขั้นเจ็ด】
【ชะตาฟ้าลิขิต: สีม่วง】
【ประเมิน: ผู้าุโที่อายุน้อยที่สุดแห่งสำนักชิงเยวียน, เ้าอาจสงสัยในคุณธรรมของนางได้, แต่โปรดอย่าได้ตั้งคำถามถึงความแข็งแกร่งของนางเด็ดขาด, นางมีเื้ัที่ไม่ธรรมดา】
【เหตุการณ์ล่าสุด: ไม่มีเงินดื่มสุราแล้ว, กำลังคิดหาวิธีรีดไถเงินจากผู้าุโยอดเขาอื่น, กำลังสนใจในตัวอิ๋งปิง ศิษย์สายตรงของเ้าสำนักเป็อย่างมาก】
หลี่โม่ “?”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่สายตาของเหล่าผู้าุโจะดูแปลกๆ
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ซางอู่ก็ดูไม่น่าจะเป็อาจารย์ที่ดีได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น... สรุปว่าที่เขาถูกรับเป็ศิษย์นั้นไม่ใช่เพราะรากฐานกระดูกอันไม่ธรรมดาของเขา แต่เป็เพราะนางสนใจในตัวอิ๋งปิงอย่างนั้นหรือ?
คำประเมินเ่าั้ทำให้หลี่โม่เริ่มสงสัยในคุณค่าของ "ชะตาฟ้าลิขิตสีม่วง" ขึ้นมาเสียแล้ว
‘เอาเถอะ อย่างน้อยก็เป็ครั้งแรกที่ได้พบเจอกับชะตาสีม่วง’
‘ถึงจะไม่ได้เรียนรู้อะไร อย่างน้อยก็น่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนบ้างล่ะน่า’
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลี่โม่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในใจ
“หึหึ! ต่อไปนี้เ้าก็อยู่ภายใต้การดูแลของข้าแล้ว หากออกไปข้างนอก ก็บอกชื่อของข้าไปได้เลย”
ซางอู่ตบไหล่เขาฉาดใหญ่ ราวกับกำลังตรวจสอบกระดูกของเขาใหม่อีกครั้ง
หลี่โม่สูดลมหายใจเข้าลึก แรงเยอะชะมัด
ไม่ไกลออกไปนัก...
อิ๋งปิงที่ได้รับเลือกเป็ศิษย์แล้ว มองดูสตรีในชุดชาววังและเด็กหนุ่มผู้มีสีหน้าเหมือนถูกบังคับ
‘ได้เป็ศิษย์ของซางอู่อย่างนั้นรึ...’
อิ๋งปิงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
หากหลี่โม่สามารถเรียนรู้ความสามารถที่แท้จริงของซางอู่มาได้บ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีที่ยืนในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกัน
แน่นอนว่า หากเทียบกับเหล่าอัจฉริยะในแดนบูรพา ก็ยังนับว่าไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นอะไรนัก ไม่น่าจะติดอันดับในทำเนียบได้
“รุ่นนี้มีศิษย์สายตรงถึงสี่คน สำนักชิงเยวียนของพวกเราจะต้องรุ่งเรืองเป็แน่”
“ไปกันเถอะ ตามข้าไปจัดการเื่การเข้าสำนักกัน”
ชายชราอ้วนเตี้ยมองดูคนทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้