ณ สาขาย่อยของตำหนักดาวเหนือบนสันเขากูอวิ๋นทางทิศอุดร ร่างสีม่วงกำลังเดินอย่างสบายๆ ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายอย่างสง่างามจนไม่อาจพรรณนาได้
“ศิษย์น้องหลิ่ว เหตุใดเ้าจึงเพิ่งกลับมา?” สตรีผู้หนึ่งลอยอยู่เหนือม้วนภาพก่อนจะเคลื่อนลงมาข้างกายหลิ่วิเยวี่ย
นางคือซิงเสียวเสี่ยว ศิษย์ของตำหนักดาวเหนือ
“ิเยวี่ยคารวะศิษย์พี่ซิง”
ซิงเสียวเสี่ยวดึงหลิ่วิเยวี่ยเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ “ศิษย์พี่หญิงซ่งรู้ว่าเ้ายังไม่กลับมา นางจึงโกรธเคืองมาสักพักแล้ว ข้าโกหกนางว่าเ้ากลับไปหาญาติ ทว่าศิษย์พี่หญิงซ่งริษยาความงามของเ้ามาโดยตลอด คราวนี้นางคงหาทางวิธีลงโทษเ้าไว้แล้ว อย่างไรเ้าก็ต้องรับให้ไหว”
แววตาของหลิ่วิเยวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ซิง”
“เมื่อคราวที่อยู่ในหอภาพเขียนนั้นเป็เ้าที่ช่วยให้ข้าได้ภาพไตรดาราเคียงจันทรา เื่นี้ข้าควรจะขอบคุณเ้า...”
“หลิ่วิเยวี่ย! เ้ารู้ด้วยหรือว่าต้องกลับมา?” เสียงตะคอกขัดจังหวะดังก้องไปทั่วพงไพร ทำให้ซิงเสียวเสี่ยวใมากจนรีบถอยออกไป
“ศิษย์น้องหลิ่ว เราตกลงกันว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ดูสิว่าเ้าใช้เวลาไปมากเพียงใด?” ซิงเสียวเสี่ยวลอบขยิบตาให้หลิ่วิเยวี่ยก่อนจะเหลือบมองนางผู้นั้น
“ขออภัยศิษย์พี่ซิง ข้าเกิดความล่าช้าระหว่างทาง” หลิ่วิเยวี่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็โฉบลงมา เป็ร่างของสตรีวัยยี่สิบปีผู้มีความงามอันน่าทึ่งในชุดสีฟ้า นางมีดวงตาหงส์ที่ทรงพลังและเย่อหยิ่ง
“คารวะศิษย์พี่หญิงซ่ง” หลิ่วิเยวี่ยก้มศีรษะลงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองของซ่งอวี้ชุน
ซิงเสียวเสี่ยวเข้าหาซ่งอวี้ชุนด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ข้าได้สั่งสอนนางไปแล้ว เช่นนี้...”
ซ่งอวี้ชุนแผดเสียงอย่างรู้ทัน “อย่ามาไม้นี้! นางกระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งยังละเมิดกฎตำหนัก จงตามข้าไปที่โถงคุมกฎ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของซิงเสียวเสี่ยวเปลี่ยนไปและรีบพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิง ศิษย์น้องเพิ่งเข้าร่วมตำหนักได้ไม่นาน นางยังไม่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์มากนัก ท่านให้โอกาสนางสักครั้งเถิด”
“หุบปาก! หากเ้ายังอ้อนว้อนแทนนางอีก ข้าจะลงโทษเ้าอีกคน”
ซิงเสียวเสี่ยวอยากพูดต่อทว่าหลิ่วิเยวี่ยห้ามนางไว้ จากนั้นพวกนางก็ไปยังโถงคุมกฎของสาขาย่อยแห่งตำหนักดาวเหนือ
“หลิ่วิเยวี่ยออกไปข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังไม่กลับมาตามเวลาที่กำหนด เ้าจะถูกลงโทษด้วยการกักตนสำนึกผิดที่ถ้ำเพลิงวาโยในผาหทัยโดดเดี่ยวเป็เวลาสามเดือน”
สีหน้าของซิงเสียวเสี่ยวเปลี่ยนไปอย่างมาก “ศิษย์พี่ การลงโทษนี้รุนแรงเกินไป”
ซ่งอวี้ชุนยังคงดึงดัน “เพิ่งเข้าตำหนักดาวเหนือเพียงไม่นานนางก็ไม่ปฏิบัติตามกฎเสียแล้ว หากไม่ลงโทษให้หนักนางจะหลาบจำได้อย่างไร?”
ผาหทัยโดดเดี่ยวห่างจากที่นี่ประมาณเจ็ดสิบลี้ทางทิศประจิม ที่นั่นสูงนับพันจั้ง ทั้งยังไม่มีพืชพรรณใดเจริญเติบโต ภายในมีถ้ำเพลิงวาโยที่โหมกระหน่ำคอยทำลายล้างชีวิต เรียกได้ว่าเป็สถานที่ที่ไร้ซึ่งความหวัง และในประวัติศาสตร์ของตำหนักดาวเหนือก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกลงโทษและคุมขัง ณ ที่แห่งนี้
“มันจะเกินไปแล้ว! เพียงเพราะเ้าสวยกว่านาง นางจึงหาโอกาสมุ่งเป้าใส่เ้าตลอด หากนางไม่ใช่คนตระกูลซ่งข้าคงทุบตีนางไปนานแล้ว!” ซิงเสียวเสี่ยวไม่พอใจมาก นางรู้สึกการที่ซ่งอวี้ชุนกลั่นแกล้งผู้อื่นด้วยอำนาจของตนนั้นน่ารังเกียจอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ซ่งอวี้ชุนเคยเป็สตรีที่งดงามที่สุดในบรรดาศิษย์หลัก แต่ต่อมาก็ถูกบดบังด้วยความงามของหลิ่วิเยวี่ย ดังนั้น นางจึงกำหนดเป้าหมายด้วยความอิจฉาริษยาและไม่พอใจ
ในแง่ความแข็งแกร่ง หลิ่วิเยวี่ยย่อมไม่กลัวซ่งอวี้ชุน แต่ในตำหนักดาวเหนือนั้นตระกูลซ่งถือได้ว่ามีอำนาจมหาศาล ด้วยมีปรมาจารย์เหนือเมฆาอยู่ แล้วศิษย์ธรรมดาๆ จะกล้ายั่วยุพวกเขาได้อย่างไร?
เมื่อหลิ่วิเยวี่ยมาถึงตีนผาหทัยโดดเดี่ยว นางก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา หากจะบอกว่านางไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็การโกหก แต่ถ้ายังอยากอยู่ในตำหนักดาวเหนือต่อไป นางก็ต้องกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้
“ศิษย์พี่กลับไปเถิด แล้ว่สามเดือนนี้ท่านอย่ามาพบข้าเลย ข้าเกรงว่าศิษย์พี่หญิงซ่งจะมุ่งเป้าไปที่ท่าน”
ซิงเสียวเสี่ยวถอนหายใจ “เช่นนั้นศิษย์น้องก็ดูแลตัวเองด้วย ข้าจะมารับเ้าในอีกสามเดือน”
ในประวัติศาสตร์ของตำหนักดาวเหนือ หลิ่วิเยวี่ยเป็ศิษย์คนที่สองที่ถูกลงโทษในถ้ำเพลิงวาโย ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ทั้งอันตรายและคาดเดาไม่ได้ อีกทั้งยังพรากชีวิตผู้คนได้ไม่ยากเย็น
ถ้ำเพลิงวาโยตั้งอยู่บริเวณครึ่งทางของผาหทัยโดดเดี่ยว เพลิงปฐีและสายวาโยภายในถ้ำจะเปลี่ยนแปลงทุกชั่วยาม และเป็เช่นนั้นไปสิบสองชั่วยามต่อวัน ซึ่งสามารถฉีกกระชากชีวิตหรือแผดเผาคนจนตายได้
ถ้ำเพลิงวาโยแบ่งออกเป็สองส่วน คือ พื้นที่ด้านในและพื้นที่ด้านนอก ซึ่งหลิ่วิเยวี่ยต้องสำนึกผิดอยู่ในพื้นที่ด้านนอกเท่านั้น
อากาศภายในถ้ำร้อนระอุอย่างมาก แม้จะมีกระแสลมพัดผ่าน แต่มันก็มีฤทธิ์กัดกร่อนที่ปะทะหน้าผาและพุ่งเข้าหาหลิ่วิเยวี่ยราวกับคมมีดที่กรีดชุดนางจนขาดรุ่ยได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วิเยวี่ยใช้ทักษะร่างกายเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วภายในถ้ำ แต่ไม่ว่านางจะหลบไปยังบริเวณใดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของแรงลมได้
สถานที่แห่งนี้ใช้ได้เพียงการต่อต้านอย่างเข้มแข็งเพื่ออยู่รอดเท่านั้น หากผู้ที่ถูกลงโทษทนไม่ไหวก็ย่อมต้องล้มตาย
แววตาของหลิ่วิเยวี่ยเต็มไปด้วยความโกรธเคืองเมื่อรู้ว่าซ่งอวี้ชุนคิดยืมมีดฆ่าคน “นางอยากให้ข้าตายด้วยใจจริง!”
ทันใดนั้นเสียงสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น
“น่าสนใจ มีผู้อื่นกำลังถูกลงโทษอยู่ที่นี่ด้วย เ้าชั่วร้ายเพียงใดจึงถูกส่งมายังที่แห่งนี้?” เสียงนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังและการเยาะเย้ยถากถาง ซึ่งแฝงด้วยความหลงตัวเองอีกเล็กน้อย
หลิ่วิเยวี่ยใก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างประหม่า ทว่านางไม่เห็นสิ่งใดเลย “ใครกัน?”
“ข้าเป็ใคร? ฮ่าๆ ข้าก็เป็คนบาปในสายตาพวกเขาอย่างไรเล่า!” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความสิ้นหวังและขมขื่น
หลิ่วิเยวี่ยยังคงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ นางไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายและไม่กล้าแสดงอาการหุนหันพลันแล่น
“เ้าเป็คนบาปของตำหนักดาวเหนือด้วยหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าทำให้ศิษย์พี่หญิงซ่งขุ่นเคือง ผู้คุมกฎาุโจึงให้ข้ามาสำนึกผิดที่นี่เป็เวลาสามเดือน”
“สำนึกผิดเป็เวลาสามเดือน? ดูเหมือนนางจะตั้งใจให้เ้าไม่มีชีวิตรอดกลับไปนะ เ้าทำให้คนแซ่ซ่งขุ่นเคืองเพียงใด นางถึงเกลียดเ้ามากขนาดนี้?”
“ข้าแค่ดูดีกว่านาง”
“แค่นั้นหรือ?”
“ใช่”
“น่าสนใจยิ่งนัก เ้าเข้ามาในถ้ำสิ ให้ข้าดูว่าเ้างามเพียงใดถึงทำให้นางอยากสังหารเ้าเช่นนี้”
หลิ่วิเยวี่ยรู้สึกลังเล “ไม่ได้ ถ้ำเพลิงวาโยอันตรายอย่างยิ่ง”
“ไม่เป็ไร ยามนี้เป็เวลาของลมร้อนไม่ใช่เพลิงปฐี ด้วยความแข็งแกร่งของเ้า เ้าควรจะรีบเข้ามา”
หลิ่วิเยวี่ยพยักหน้าตอบรับเบาๆ โดยในใจก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าสตรีผู้นี้คือใคร แล้วนางถูกลงโทษให้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ในเมื่อนางอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง ไม่แน่ว่าตนอาจอยู่รอดได้ถึงสามเดือนก็เป็ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิติญญาของหลิ่วิเยวี่ยก็ลุกโชน นางพุ่งกายขึ้นกลางอากาศแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำราวกับเงา
“มาข้างหน้าอีกนิด” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นก่อนจะมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางสายหมอกตรงหน้า
หลิ่วิเยวี่ยก้าวไปข้างหน้าอีกไม่กี่จั้ง จากนั้นก็พบว่ามีกำแพงจิติญญาปรากฏขึ้นบนพื้น หลังจากข้ามไปนางก็พบกับบริเวณด้านในของถ้ำเพลิงวาโย
“อืม ที่แท้ก็เป็หญิงงามเช่นนี้ ทั้งยังมีรูปลักษณ์สง่างาม แต่น่าเสียดายที่มันไม่สมบูรณ์แบบเสียแล้ว” เงาสีขาวปรากฏขึ้นในดวงตาของหลิ่วิเยวี่ย และทั้งสองก็จ้องมองกันผ่านกำแพงจิติญญา
สตรีตรงหน้าดูเหมือนหญิงสาววัยยี่สิบปี นางอยู่ในชุดขาว มีใบหน้างดงามล้มเมือง ทว่าดวงตาพราวเสน่ห์กลับมีความขุ่นเคืองอย่างลึกซึ้ง และความเกลียดชังที่อธิบายไม่ได้ฉายแววอยู่
หลิ่วิเยวี่ยใเล็กน้อย นางไม่คิดว่าสตรีที่ถูกคุมขังจะอายุน้อยและโดดเด่นถึงเพียงนี้ “ศิษย์หลิ่วิเยวี่ย คารวะผู้าุโ”
สตรีผู้นั้นมองหลิ่วิเยวี่ยด้วยดวงตาที่ส่องประกายแสงประหลาด “เ้ากล้าก้าวข้ามมาหรือไม่?”
หลิ่วิเยวี่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของนางมีความคิดมากมาย แต่นางยังคงตอบรับ “สามารถลองได้”
ร่างของหลิ่วิเยวี่ยสั่นไหวเล็กน้อยก่อนพลังอันน่าสะพรึงกลัวจะะเิออกมา ร่างของนางเป็ดั่งดาบที่พุ่งทะลุสิ่งกีดขวางอย่างกำแพงจิติญญาแล้วก้าวเข้าไปในพื้นที่ด้านใน
ดวงตาของหญิงสาวเป็ประกายและเอ่ยชื่นชม “ไม่เลว ดีกว่าที่ข้าคาดไว้”
“ผู้าุโชมเกินไปแล้ว ที่นี่...” ขณะที่หลิ่วิเยวี่ยกำลังจะพูด ลมกระโชกแรงก็พัดเข้าหานางราวกับูเาที่ถล่มจาก้า แล้วพยายามฉีกร่างนางออกจากกัน
หลิ่วิเยวี่ยตกตะลึงไปชั่วขณะ กระแสลมในถ้ำนั้นเกินความต้านทานของนาง และความตายก็กำลังใกล้เข้ามาแล้ว
พลันเสียงฉินในร่างของหลิ่วิเยวี่ยก็ดังขึ้นใน่วิกฤต ฉินหยกปรากฏเหนือศีรษะ ช่วยลดกลิ่นอายและสร้างเกราะป้องกันเพื่อแยกตัวนางจากความเสียหายของแรงลม
ดวงตาของหญิงในชุดขาวเป็ประกายทันที “ฉินนี้ไม่ธรรมดา เ้าได้มาจากที่ใด?”
“เหนือหอฉินที่เมืองร้างในแดนลับของยอดเขาหมื่นอสูร”
“แดนลับของยอดเขาหมื่นอสูร! นั่นเป็แดนลับของจื๋อซิวไม่ใช่หรือ? ศิษย์ซิงซิวได้รับอนุญาตให้เข้าไปั้แ่เมื่อใด?”
“เอ่อ... ข้าควรเรียกผู้าุโว่าอย่างไร?”
สีหน้าของสตรีชุดขาวเปลี่ยนเป็เ็าก่อนจะพึมพำว่า “ข้าหรือ? อดีตนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือ แต่ปัจจุบันคือคนบาปของตำหนักดาวเหนือ”
หลิ่วิเยวี่ยใมาก ที่แท้สตรีนางนี้ก็คืออดีตนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะมีรูปลักษณ์ทรงเสน่ห์เช่นนี้
“ิเยวี่ยคารวะท่านนักบุญ” หลิ่วิเยวี่ยทำความเคารพ ทว่าถูกสตรีผู้นั้นห้ามปรามไว้
“ข้าเปลี่ยนจากนักบุญเป็นักโทษมานานแล้ว”
หลิ่วิเยวี่ยมองย้อนกลับไปยังกำแพงจิติญญาและกระซิบถาม “ท่านนักบุญไม่เคยคิดจะหนีออกจากที่นี่บ้างหรือ?”
นักบุญหญิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน “ออกไปจากที่นี่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่ว่าต้องถูกวังดาราตามจับอีกหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ริมฝีปากของหลิ่วิเยวี่ยก็ขยับเล็กน้อย แต่นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
“เล่าเื่ของเ้าให้ฟังหน่อยสิ ไม่มีใครคุยกับข้ามานานแล้ว” หญิงชุดขาวยิ้มอย่างโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความอ้างว้างที่แผ่กระจายอยู่ทั่วใบหน้า
หลิ่วิเยวี่ยจึงกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์เพิ่งเข้าร่วมตำหนักดาวเหนือเมื่อไม่นานนี้”
“แต่พลังของซิงซิวจะตื่นขึ้นเมื่ออายุสิบสองปี แล้วก่อนหน้านี้เ้าฝึกฝนจากที่ใด?”
“ที่จวน”
ร่องรอยความประหลาดใจแวบขึ้นในดวงตาของนักบุญผู้นั้น “เ้าเป็ศิษย์ซิงซิวมานานเท่าใดแล้ว?”
“ประมาณครึ่งปีเ้าค่ะ”
“ขอมือหน่อย” เสียงของนางเ็าขึ้นเล็กน้อยจนผู้คนรู้สึกได้อย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วิเยวี่ยยื่นมือขวาออกไปอย่างเป็ธรรมชาติด้วยรอยยิ้ม นางคว้ามือของหลิ่วิเยวี่ยมาดู จากนั้นพลังประหลาดก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง และวินาทีต่อมาความตื่นใก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือ
“เ้ามีสายเืไม่ธรรมดาเลย! ทว่าเ้าเป็ผู้บำเพ็ญสองสาย น่าเสียดายเหลือเกิน”
หลิ่วิเยวี่ยพยักหน้าเบาๆ นางเข้าใจว่านักบุญเสียใจอะไรและความขมขื่นก็เผยขึ้นในดวงตาของนาง
สตรีชุดขาวปล่อยมือของหลิ่วิเยวี่ยแล้วถามต่อ “เ้ามาจากที่ใด?”
“จักรวรรดิเชียนซาน”
นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งราวกับดวงตาที่หมองคล้ำกำลังหวนนึกถึงบางสิ่ง “ข้าเคยไปจักรวรรดิเชียนซาน ที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปมากหรือไม่?”
“ท่านนักบุญอยากทราบการเปลี่ยนแปลงประเภทใด?”
“ไม่ต้องใส่ใจ แค่บอกข้ามาว่าเ้ารู้อะไรบ้าง?”
หลิ่วิเยวี่ยกล่าวว่า “จักรวรรดิเชียนซานนั้นกว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากร มีสามอย่างที่ควรกล่าวถึงมากที่สุดสำหรับผู้บำเพ็ญ”
“สามอย่างหรือ?”
“ราชวงศ์ของจักรวรรดิเชียนซานมีชิวซานอวิ๋นผู้มีสายเืเงาอินทนิล และตอนนี้ก็เป็ศิษย์หลักของสำนักอินทนิล”
ดวงตาของนักบุญหญิงเคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า “สายเืเงาอินทนิลนั้นค่อนข้างหายากในหมู่หยวนซิว”
“จักรวรรดิเชียนซานยังมีศิษย์จื๋อซิวผู้เก่งกาจอีกด้วย ยามที่เขาอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสอง ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาก็เกินหนึ่งแสนจินไปแล้ว และยามนี้ก็โด่งดังไปทั่วใต้หล้า”
เมื่อพูดถึงหนิงเทียน ดวงหน้างดงามก็แฝงด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันคือความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ก็ระคนด้วยความขมขื่นในดวงตา
สีหน้าของนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือก็เปลี่ยนไปเช่นกันหลังจากได้ยินเื่นี้ นางมองหลิ่วิเยวี่ยด้วยความใ และสังเกตเห็นร่องรอยความรู้สึกบนใบหน้าของหลิ่วิเยวี่ย
“นี่เป็ความจริงหรือ?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วิเยวี่ย “ในวันนั้นอนุสาวรีย์เสียวอู่และอนุสาวรีย์พฤกษาจิตหยั่งลึกทั้งหมดในดินแดนหยวนซิงล้วนสั่นะเื แม้กระทั่งวังดาราและจวนหยวนก็ยังตื่นตระหนก”
นักบุญขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนจื๋อซิวรุ่นนี้จะมีความหวังมากขึ้นนะ! ศิษย์จื๋อซิวผู้นั้นนามว่าอะไร?”
“หนิงเทียน เขาเป็ศิษย์ของสำนักร้อยบุปผา” ดวงตาของหลิ่วิเยวี่ยเป็ประกายแวววาวโดยที่นางรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
นักบุญใมากเมื่อได้ยินคำตอบ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ลุกโชนราวกับดวงอาทิตย์แผดเผา ทั้งยังเปล่งแสงซึ่งเจิดจรัสที่สุดในประวัติการณ์
