“ฉันทำไม่ได้” ชิงหลงพูด
“พี่...” ชย่าลิ่วอีกำหมัดแน่น
ชิงหลงเพียงแค่มองเขาเงียบๆ
ชย่าลิ่วอีรู้สึกเ็ปในใจ ไม่กล้ามองใบหน้าของเขาอีกต่อไป จึงก้มหน้าลงแล้วสูบบุหรี่เข้าปอดหนึ่งเฮือกใหญ่ “...ใช้เวลากับเธอให้มากขึ้นได้ไหมพี่?”
ชิงหลงลุกขึ้นยืน “ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ อาเหา เตรียมห้องพักให้หน่อย”
ชย่าลิ่วอีเห็นชิงหลงกำลังเดินจากไป เขารีบวิ่งตามไปจับแขนไว้ทันที “ผมมีแค่คำขอเดียว! ใช้เวลากับเธอให้มากขึ้น! ได้ไหมพี่?!”
ชิงหลงหยุดเดิน สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด หลังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานเขาก็ถอนหายใจยาว ใบหน้าของเขากลับมาสงบและอ่อนโยนอีกครั้ง เขาหันกลับมาแล้วลูบผมของชย่าลิ่วอี
“ตราบใดที่พี่ใหญ่ทำได้ มีครั้งไหนที่ไม่เคยรับปากนายบ้าง พี่จะอยู่กับเธอให้มากขึ้น ไปนอนได้แล้ว”
เขาแกะมือของชย่าลิ่วอีออก
……
เหอชูซานจับปากกาอย่างระมัดระวัง นั่งก้มหน้าตั้งใจเขียนบทอยู่บนโต๊ะ ไม่ไกลจากสมุดนักคือก้นของชย่าลิ่วอีภายใต้กางเกงยีนส์รัดแน่น ถ้ามองเลยขึ้นไป้าจะเห็นเอวที่ทั้งแข็งแรงและกระชับของเขา
ชย่าลิ่วอีไม่ทันสังเกตเห็นสายตาของเหอชูซานที่มองสำรวจเขาขึ้นลง เขาจ้องมองชย่าเสี่ยวหม่านพลางยิ้มมุมปากขณะฟังสิ่งที่เธอพูด
ชย่าเสี่ยวหม่านกลับมาถ่ายหนังแล้ว ฉากของเธอในวันนี้เป็ฉากที่ต้องไปออกเดตกับพระเอกบนดาดฟ้าเพื่อดูดาว เธอจึงแต่งตัวสวยราวกับดอกไม้ รอยยิ้มของเธอก็งดงามเหมือนดอกไม้เช่นกัน หญิงสาวเกาะแขนชย่าลิ่วอีอย่างอ่อนโยนขณะพูดว่า “เมื่อวานเขาพาฉันไปกินอาหารตะวันตกที่อ่าวเฉี่ยนสุ่ย [1]”
“สนุกไหม?”
“สนุกสิ”
“กินอะไรหรือ?”
“สเต๊กเนื้อ”
เหอชูซานฟังบทสนทนาไร้สาระนี้ด้วยความรู้สึกพูดไม่ออก เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคู่นี้มีความคลุมเครือมากเกินไป พี่น้องทั่วไปไม่กอดกันแบบนี้ แถมชย่าลิ่วอีผู้เป็น้องก็ดูเหมือนพี่ชายที่ตามใจน้องสาวมากกว่าด้วย
เขาเขียนข้อความอีกสองสามบรรทัด แต่ไม่นานก็ว่อกแว่กอีกครั้ง เขาหันไปมองสิ่งที่อยู่ข้างๆ สมุด– ก้นของชย่าลิ่วอี
เล็กจัง ดูเด้งมาก กลมมาก... อยากจับมาตีสักสองทีจริงๆ!
เหอชูซานใกับความคิดฟุ้งซ่านที่ผุดขึ้นมา เขาจึงรีบสะบัดศีรษะทิ้งความคิดเ่าั้แล้วหันมาขยับปากกาต่อ
……
ครึ่งเดือนต่อมาการถ่ายทำภาพยนตร์ก็เสร็จสิ้นลง เหอชูซานได้รับอิสรภาพอีกครั้ง เขาถูกชายฉกรรจ์หลายคนพาตัวไปส่งที่ตรอกมืดใกล้บ้าน ก่อนจากกันชายฉกรรจ์คนหนึ่งเรียกเขาด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมกับยื่นซองกระดาษหนาให้เขา “นี่คือค่าต้นฉบับจากพี่ลิ่วอี”
เหอชูซานวิ่งจนเหนื่อยหอบ ทันทีที่กลับถึงบ้านเขาก็รีบวางซองกระดาษลงบนเตียงแล้วเปิดซองดูสิ่งที่อยู่ด้านในภายใต้แสงเทียนสลัว ก่อนจะพบว่ามีเงินอยู่ในนั้นทั้งหมดสองหมื่นหยวน!
มากกว่าเงินที่เขากับพ่อใช้ตลอดทั้งปีเสียอีก!
เหอชูซานไม่อยากจะเชื่อสายตา เขารีบเก็บเงินกลับเข้าซองกระดาษแล้วกอดมันกลิ้งไปมาบนเตียงสองสามตลบ แต่ไม่นานเขาก็หยุดชะงักทุกการกระทำ
เงินพวกนี้มาจากมาเฟียที่ขายผงขาว เปิดบ่อน เปิดไนต์คลับ ฆ่าคน และวางเพลิง... เขาทำงานให้มาเฟีย ต่อให้ได้เงินมามากมายแต่เขาจะไปต่างอะไรกับพวกคนงานในซ่องบนถนนกวงิในเมืองกำแพงเจียวหลงกันล่ะ?
พ่อสอนเขาั้แ่เด็กว่าอย่าไปยุ่งกับพวกแก๊งมาเฟีย ส่วนแม่... พ่อบอกว่าแม่ตายเพราะพวกมาเฟีย
หัวใจดวงน้อยของเหอชูซานที่เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นพลันเย็นเฉียบลงในทันที เขานอนขดตัวเหม่อลอยอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาค้นไปทั่วทั้งห้องจนพบกล่องเหล็กใบเล็กที่เขาในวัยเด็กเคยใช้เก็บใบประกาศนียบัตรและเกียรติบัตรต่างๆ เขาพับซองเงินนั้นอย่างลวกๆ แล้วสอดมันเข้าไปในกล่อง
เหอชูซานขาดเรียนไปทั้งเดือน แถมยังขาดสอบย่อยหลายครั้งจนเกือบจะต้องซ้ำชั้น แต่เมื่อเขาถอดเสื้อออกในห้องพักครู เผยให้เห็นรอยแผลเป็ที่กระจายอยู่บนหน้าอกและแขน ครูใหญ่ก็ต้องถอนหายใจพร้อมกับบอกให้เขารักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยตามเก็บการบ้านที่ขาดหายไป ครูใหญ่รู้ดีว่านักเรียนดีเด่นคนนี้มาจากชุมชนในเมืองกำแพงเจียวหลงซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็แหล่งมืด คงต้องเจอกับเื่อะไรบางอย่างที่ไม่เป็ธรรมและบอกใครไม่ได้ ต่อให้แจ้งความไปก็เท่านั้น เพราะในแหล่งมืดแห่งนั้นทั้งตำรวจนอกเมืองและหัวหน้าแก๊งในเมืองต่างมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้นชื่อของเหอชูซานยังปรากฏเด่นหราในฐานะ “ผู้เขียนบทเหอชูซาน” บนโปสเตอร์โปรโมตหนังเื่ใหม่ของบริษัทเซียวฉีอีกด้วย!— โชคดีที่พ่อของเขาซึ่งเป็หมอฟันชอบฟังงิ้วกวางตุ้งและอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ค่อยสนใจเื่สมัยใหม่พวกนี้นัก ไม่อย่างนั้นคงได้หัวใจวายตายเพราะโมโหไปแล้ว
เหอชูซานยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนเดิม สะพายกระเป๋าไปมหาวิทยาลัยทุกวันเพื่อเรียนและติวหนังสือ พอตกเย็นก็กลับบ้านมานอน แต่สิ่งที่ต่างไปจากปกติคือการที่เขาไปทำงานพิเศษที่ร้านน้ำแข็งไสของอาหัว [2] 3 วันต่อสัปดาห์รวมถึงใน่วันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อหาเงินค่าเทอมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แถมยังได้เรียนไทเก๊กจากอาหัวอีกด้วย
ลุงอาหัวอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ใน่ปี 1960 เขาอ้างตัวว่าเป็ทายาทรุ่นที่สี่ของสำนักไทเก๊กตระกูลหยาง เหอชูซานร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด แม้จะเรียนไทเก๊กมาเดือนสองเดือนแล้วก็ยังทำท่าได้ไม่ถึงครึ่งกระบวนท่า ถึงอย่างนั้นการฝึกนั่งม้าวันละหนึ่งชั่วโมงและการค่อยๆ บิดแขนหมุนขาไปมาทุกเช้าก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและจิตใจสงบขึ้นได้จริง
ในขณะที่เหอชูซานใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ชย่าลิ่วอีกลับมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลังจากกวาดล้างแหล่งซ่องสุมของแก๊งซาไปได้หลายแห่งเมื่อครั้งก่อน เขาก็ได้เปิดไนต์คลับหรูแห่งหนึ่งในย่านมงก๊กที่มีการร้องรำทำเพลงกันทั้งคืนและเป็แหล่งรวมตัวของเหล่าอันธพาลทั้งหลาย หลังจากที่ฐานของเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขาก็ได้รับความเห็นชอบจากชิงหลงให้เปิดดิสโก้เทคขนาดใหญ่หลายแห่งเพื่อเป็แหล่งขายปลีก “ผงขาว” ของตัวเอง โดยเขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำให้วงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยอบายมุขอยู่แล้วยิ่งมืดมนลงไปอีก
……
วันนี้ชย่าลิ่วอีได้เชิญเหล่าสารวัตรมาทานข้าวที่ห้องส่วนตัวในไนต์คลับของตัวเอง เหล่าสาวงามต่างมาบริการสารวัตรทั้งหลายอย่างเอาอกเอาใจ เสียงชนแก้วดังขึ้นอย่าง บรรยากาศเต็มไปความสนุกสนานครื้นเครง แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น เสี่ยวหม่าก็เข้ามา
ชย่าลิ่วอีทำท่าขอโทษเหล่าสารวัตร ก่อนจะเดินตามเสี่ยวหม่าไปที่ทางเดิน
“พี่ลิ่วอี พี่สวี่พาคนมาแล้ว”
ชย่าลิ่วอีดับบุหรี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร กลุ่มคนจำนวนมากก็เดินตรงมาหาจากทางเดินฝั่งตรงข้าม คนกลุ่มนั้นถูกขวางไว้โดยกลุ่มการ์ดของชย่าลิ่วอี หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำก็มีการ์ดคนหนึ่งถูกเหวี่ยงลอยมาตกลงตรงหน้าของชย่าลิ่วอี
“พี่สวี่” ชย่าลิ่วอีมองไปยังชายในชุดสูทที่เป็คนเตะการ์ดคนนั้นเมื่อครู่
ชายคนนั้นมีดวงตาคมเหมือนเหยี่ยว แวบแรกดูภูมิฐาน แต่บรรยากาศโดยรวมของเขากลับเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตราวกับหมาป่า
“เสี่ยวลิ่ว นี่นายทำไม่ถูกนะ” สวี่อิงหยิบบุหรี่ออกมา ลูกน้องข้างๆ เห็นดังนั้นก็รีบจุดไฟให้ “เลี้ยงข้าวสารวัตรหัวแล้วจะไม่ชวนฉันได้อย่างไร”
ชย่าลิ่วอีปัดมือลูกน้องออกแล้วจุดบุหรี่ให้สวี่อิงด้วยตัวเอง พร้อมแสดงท่าทางยอมรับผิดที่ดูจริงใจมากออกมา “พี่สวี่ ผมเห็นว่าพี่งานยุ่งมาก แถมสารวัตรหัวก็แค่แวะมานั่งเล่นที่ไนต์คลับของเราแล้วก็ทานอาหารง่ายๆ ไปด้วยเท่านั้น”
สวี่อิงหัวเราะ “ทานอาหารง่ายๆ งั้นหรือ”
เขาผลักชย่าลิ่วอีออกแล้วเดินเข้าไปทักทายทุกคนด้วยเสียงหัวเราะ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! สารวัตรหัว! โอ้ สารวัตรหลิวก็อยู่ด้วย! แล้วนี่... โอ้! สารวัตรสวี่ที่เพิ่งย้ายมาใหม่! ฮ่าฮ่า! ยินดีที่ได้รู้จัก!”
เหล่าสารวัตรที่อยู่ข้างในต่างรู้จักเขาดีอยู่แล้ว แม้เขาจะเข้ามาทักทายแบบไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ทุกคนรินเหล้าใส่แก้วและพูดคุยกันอย่างสุภาพ สักพักสวี่อิงก็พูดขึ้น “สารวัตรหัวอารมณ์ดีจังเลยนะครับ! ่นี้ทำไมไม่แวะมาหาผมบ้างเลยล่ะ?”
“สวี่อิง” สารวัตรหัวก็เป็ผู้ชาญฉลาดเช่นกัน เขารับซิการ์ที่สวี่อิงส่งให้มาคาบไว้ในปากแล้วเอียงหัวให้สวี่อิงจุดไฟ พร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “คุณพูดอย่างกับว่าคุณไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ที่นี่เองก็เป็เขตของหัวหน้าใหญ่ชิงหลงของคุณนี่ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด”
สวี่อิงหัวเราะเสียงดัง “สารวัตรหัวพูดได้ดี! ที่นี่ล้วนเป็เขตของพวกเราแก๊งเซียวฉี สารวัตรหัวจะนั่งตรงไหนก็ได้! เชิญสารวัตรหัว ผมขอคารวะท่านด้วยสุราหนึ่งจอก! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
แม้สวี่อิงและเหล่าสารวัตรจะกำลังดื่มและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่ชย่าลิ่วอีไม่รีบกลับเข้าไปด้านในนั้น เขาสูบบุหรี่อย่างเงียบๆ ที่ระเบียงจนหมดหนึ่งมวน ก่อนจะเรียกเสี่ยวหม่ามาถาม “ทำไมสวี่อิงถึงรู้ว่าฉันชวนสารวัตรหัวมากินข้าว ตอนที่นายส่งบัตรเชิญ นายได้บอกคนอื่นด้วยหรือเปล่า”
“เอ่อ...” เสี่ยวหม่าพูด “หรือว่าจะเป็พี่น้องที่อยู่ในงานวันนี้ครับ? ทุกคนเห็นสารวัตรหัวเข้ามา”
“ไม่ใช่ สวี่อิงมาเร็วเกินไป เขาต้องเตรียมตัวมาแล้วแน่ๆ เมื่อวานต้องมี ‘หนอน’ ของสวี่อิงอยู่แน่ ไปตรวจสอบซะ”
เชิงอรรถ
[1] อ่าวเฉี่ยนสุ่ย คือ อ่าวรีพัลส์เบย์ในฮ่องกง
[2] ร้านน้ำแข็งไสของอาหัว เป็ร้านที่คล้ายกับร้านคาเฟ่ในปัจจุบันที่มีทั้งอาหารคาวและหวาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้