ซ่งฮูหยินเอนร่างเข้าหาหลินฟู่อินเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างมีเลศนัย “คำทำนายของเขานั้นน่าเชื่อถือ มีขุนนางมากมายที่มาพบเขาเพื่อขอคำแนะนำ แม้แต่ขุนนางจากเมืองหลวงเองก็ยังมี”
แล้วซ่งฮูหยินก็ยกมือขึ้นมาป้องปาก ราวกับนึกได้ว่าเพิ่งกล่าวในสิ่งที่ไม่ควรกล่าวออกไป นางกระแอมสองครั้ง แล้วหันไปถามสะใภ้ของนาง “สะใภ้ เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
สตรีมีครรภ์นั้นกำลังเ็ปมากอยู่แล้ว นางจึงไม่อาจแบ่งสมาธิมาสนใจคำถามของซ่งฮูหยินได้ และเมื่อชิวหมัวมัวเห็นว่าสะใภ้เล็กผู้ผ่านการคลอดมาหลายครั้งแต่กลับยังมีท่าทีลำบากอีก นางจึงไม่พอใจขึ้นมา
“สะใภ้เล็ก ท่านเคยคลอดบุตรีมาถึงสามคราแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังลำบากเช่นนั้นอีก?”
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าสาวใช้ผู้นี้กล้าิ่นายตัวเองต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ นางก็แสยะยิ้มออกมา ก่อนกล่าวออกไปว่า “ชิวหมัวมัวคงไม่เคยคลอดบุตรมาก่อนใช่หรือไม่ จึงได้กล่าวอะไรเช่นนี้ออกมาได้?”
เมื่อได้ยินหลินฟู่อินกล่าวออกมาเช่นนั้น ชิวหมัวมัวก็หน้าตึงไป และซ่งฮูหยินเองก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยความอับอายเช่นกัน
การที่คนใช้ิ่สะใภ้ผู้มีศักดิ์เป็นายต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ก็ควรเป็หน้าที่ของแม่สามีเช่นนางที่ต้องตักเตือนสาวใช้มิใช่หรือ?
นางเผลอหันไปมองหลินฟู่อิน โชคดีที่นางมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้คิดสิ่งอื่นใดอยู่ในใจอีก
ซ่งฮูหยินจึงหันไปมองค้อนใส่ชิวหมัวมัว “นี่เ้า ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเ้าโง่หรอกนะ คนมีครรภ์น่ะ แม้จะผ่านการคลอดมานับร้อยครั้งแล้วก็ต้องเจ็บอยู่ดีมิใช่หรือ? แค่ว่ามันจะเจ็บนานแค่ไหนก็เท่านั้น”
เมื่อชิวหมัวมัวเห็นว่านายของนางหันมาดุนางเพราะคำพูดของสาวชาวบ้านคนหนึ่ง นางจึงตะลึงไป
พอหลินฟู่อินเห็นว่าผู้เป็มารดาช่องคลอดแหวกออกมาถึงสิบนิ้วแล้ว นางจึงเริ่มร่ายขั้นตอนให้สะใภ้ฟังและบอกให้นางยอมร่วมมือเพื่อที่จะทำการคลอดให้สำเร็จ
เพียงครู่เดียวนับจากนั้น การคลอดก็ประสบผลสำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากหลินฟู่อิน
เป็เด็กผู้ชายร่างอ้วนท้วม ปลอดภัยกันทั้งแม่และลูก
“ขอบคุณแม่นางหลิน!”
เมื่อซ่งฮูหยินเห็นหลานชายตัวน้อยของนางแล้ว นางก็ดีใจมากจนยิ้มไม่หุบ กล่าวขอบคุณหลินฟู่อินซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
หลินฟู่อินเช็ดตัวทำความสะอาดเด็กอย่างจริงจังด้วยผ้าสะอาด แล้วตรวจในช่องปากไปด้วยในระหว่างนั้น
“หวาย นายน้อยช่างโชคร้ายยิ่งนัก เกิดมาในรถม้าเช่นนี้ จะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาดยังทำไม่ได้เลย” ชิวหมัวมัวมองหลินฟู่อินที่กำลังเช็ดตัวเด็กและกล่าวด้วยท่าทีรังเกียจ
หลินฟู่อินไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง นางห่อตัวเด็กด้วยผ้าสะอาดอีกผืน และยื่นให้ผู้เป็มารดา ก่อนส่งต่อให้ซ่งฮูหยิน
จากนั้นจึงกล่าวออกมา “หากเขามีย่าที่ดี เด็กน้อยผู้นี้ก็จะได้มีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุข แม้เขาจะเกิดในรถม้าข้างถนน แต่หากเลี้ยงดูอย่างดี อนาคตของเขาย่อมเปล่งประกายแน่นอนเ้าค่ะ”
กล่าวจบแล้ว หลินฟู่อินจึงไปช่วยกดท้องน้อยให้ผู้เป็มารดาต่อ เพื่อไล่น้ำคร่ำออกให้หมด
ฝั่งผู้เป็มารดาเอง เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินนำบุตรมาให้นางดูก่อนก็ประทับใจมากแล้ว และเมื่อได้ยินนางกล่าวชมบุตรของตนด้วยอีก ก็เข้าใจว่าหลินฟู่อินนั้นเป็คนที่มีจิตใจอ่อนโยน
นางจึงรู้สึกขอบคุณมากขึ้น
นางนึกภาพตามว่าหากคลอดในบ้าน พวกหมอตำแยเ่าั้จะหันมาใส่ใจนางบ้างหรือไม่?
ก็คงมีแต่จะเข้าไปรุมล้อมเพื่อป้อยอแม่สามีอย่างเดียวมิใช่หรือ?
และด้วยคำพูดของหลินฟู่อินนี้เอง ที่ทำให้แม่สามีประเมินค่าสะใภ้ผู้นี้ไว้สูงขึ้น เพราะอย่างที่หลินฟู่อินได้กล่าว แม้จะเกิดในรถม้าข้างถนน ทว่าหากทำคลอดได้ปลอดภัยและรอดได้ทั้งมารดาและบุตร เช่นนั้นก็นับว่าเป็โชคแล้วมิใช่หรือ?
เท่าที่หลินฟู่อินเห็นมา นางพอจะอนุมานได้ว่า เพราะซ่งฮูหยินผู้นี้ให้ความสำคัญกับหลานชายเป็อย่างมาก ดังนั้นนางจึงไม่อยากเห็นหน้าสะใภ้เล็กผู้นี้ที่ให้กำเนิดหลานสาวติดกันมาถึงสามคนเท่าใดนัก นี่เป็ผลให้เหล่าคนใช้รอบๆ ไม่มีใครปฏิบัติต่อนางเยี่ยงมนุษย์เลย ทั้งยังว่าร้ายนางอย่างโจ่งแจ้งอีก
แม้แต่ตัวซ่งฮูหยินเองก็คงคิดว่าสะใภเล็กนี้ไร้ประโยชน์อยู่ในใจเป็แน่ นางจึงไม่ตักเตือนสาวใช้ที่อยู่ข้างกายนั่นเลย
แต่นี่ไม่ใช่เื่ที่นางควรเข้าไปก้าวก่าย และมันก็ไม่ใช่เื่ที่นางควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
สิ่งที่หลินฟู่อินอยากรู้มีเพียงเื่ของนักทำนายจ้าว เพราะนางรู้สึกว่าตนกำลังคิดผิด จากที่ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่านักทำนายจ้าวเป็เพียงพวกจอมปลอมที่คิดหลอกกินเงินไปวันๆ เท่านั้น
แต่การได้พบแม่นางจากเมืองหนิงผู้นี้ ทำให้นางรู้ตัวขึ้นมาว่านางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนักทำนายจ้าวนั่นเลย
หลินฟู่อินคิดขึ้นมา หากนักทำนายจ้าวนั่นมีความสามารถมากพอที่ทำให้แม้แต่คนจากเมืองหลวงยังต้องมาขอพบ… หากเป็ที่ล่วงรู้กันว่านักทำนายจ้าวนั่นเคยกล่าวหาว่านางเป็ดาวหายนะ แล้วสั่งว่าต้องเผานางให้ตายทั้งเป็ขึ้นมาแล้วละก็ คงได้กลายเป็ปัญหาใหญ่แน่
ดังนั้นหลินฟู่อินจึงพยายามถามเื่ของนักทำนายจ้าวที่คนทั่วไปไม่รู้จากซ่งฮูหยิน
หลินฟู่อินทำความสะอาดไปพลางคิดหาวิธีรับมือไปพลาง จากนั้นนางจึงหันไปกล่าวกับซ่งฮูหยิน “เอาละ ฮูหยิน ข้าทำความสะอาดให้ท่านสะใภ้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้หลานของท่านน่าจะมาดื่มนมได้แล้วเ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าหลินฟู่อินอยากให้หลานน้อยของนางดื่มนมของสะใภ้ ซ่งฮูหยินจึงขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด ชิวหมัวมัวก็จ้องหลินฟู่อินเขม็งแล้วกล่าวออกมาก่อน “ดูท่าจะเป็เพียงสาวบ้านนาที่ไม่ได้รู้สิ่งใดเลยจริงๆ สินะ คุณชายและคุณหนูของตระกูลเราต่างก็เติบโตขึ้นมาด้วยการดื่มนมจากแม่นม! และเราก็ได้จ้างแม่นมของคุณชายไว้แล้ว จะให้เขาไปดื่มนมจากสะใภ้เล็กอีกทำไมกัน?”
หลินฟู่อินได้ยินแล้วจึงเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะให้สาวใช้ “แล้วแม่นมที่ว่านั่นอยู่ที่ใดกัน? แม่นมที่ชิวหมัวมัวกล่าวว่าได้จ้างไว้ให้นมน่ะ? ไม่มีไม่ใช่หรือ?” จากนั้นจึงเว้น่ แล้วกล่าวต่อก่อนที่ชิวหมัวมัวจะทันได้เปิดปากพูด “หรือจะบอกว่านายน้อยที่กำลังหิวของท่านอยากดื่มนมท่านมากกว่านมของผู้เป็แม่หรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ไม่เพียงชิวหมัวมัวจะรู้สึกอับอายขึ้นมา แต่ซ่งฮูหยินเองก็เช่นกัน
พวกนางต่างก็อายุมากเกินไปแล้ว แล้วจะมีนมได้อย่างไรกัน? นี่กำลังดูิ่พวกนางอยู่ชัดๆ เลยมิใช่หรือ?
หลินฟู่อินจงใจดูถูกเ้านายกับสาวใช้คู่นี้ เพราะตอนนี้นางเป็หมอ เป็หมอตำแย และนางไม่ใช่คนจากเมืองหนิง นางจึงไม่กลัวการถูกกลับมาแก้แค้นจากการถูกดูิ่
เป็ตอนนี้เองที่ทารกน้อยเริ่มส่งเสียงร้อง และหลินฟู่อินเข้าใจดีว่าเป็เพราะเ้าทารกกำลังหิว นางจึงมองซ่งฮูหยินที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ แล้วกล่าว “นายน้อยของท่านกำลังหิว ท่านคิดจะพาเขาไปถึงเมืองหนิงทั้งที่เขายังหิวจริงๆ หรือเ้าคะ”
สุดท้ายแล้วซ่งฮูหยินก็ยังคงห่วงหลานชาย จึงกล่าวออกมาทันที “ข้าจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? ข้าปล่อยให้หลานข้าต้องหิวโหยไม่ได้หรอก” แล้วนางจึงอุ้มทารกไปนั่งข้างสะใภ้แม้ไม่อยากนัก “สะใภ้ เ้าให้นมเสีย พอกลับไปแล้วจะได้ไม่ต้องลำบากมากนัก”
เมื่อสะใภ้ได้ยินแม่สามีของตนกล่าวเช่นนี้ นางจึงรีบส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่ลำบากหรอกเ้าค่ะ ข้ายินดีที่จะดูแลลูกเอง!”
“พูดอะไรของเ้ากัน ในตระกูลเรามีกฎที่ห้ามไม่ให้เลี้ยงดูบุตรด้วยตัวเองอยู่ เ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือ?” ซ่งฮูหยินจ้องสะใภ้เขม็ง ก่อนกล่าวต่อ “เ้าจะคิดอะไรเช่นนั้นไม่ได้ คิดถึงภาพลักษณ์ของสะใภ้ตระกูลซ่งเสียบ้าง!”
สะใภ้เล็กรีบก้มหน้าลง แขนโอบทารกน้อยไว้แน่นยิ่งขึ้น
หลินฟู่อินมีความเห็นว่าตราบใดที่ผู้เป็มารดามีความตั้งใจที่จะให้นมบุตรด้วยตัวเอง คนผู้นั้นจะเป็มารดาที่ดี เว้นเพียงแต่ว่ามารดาผู้นั้นจะมีปัญหาใดๆ ที่ทำให้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เช่น ไม่มีน้ำนมหรือมีปัญหาเื่สุขภาพ
แต่สะใภ้ตระกูลซ่งผู้นี้ แม้จะรู้กฎของตระกูลอยู่แล้วแต่ก็ยังอยากให้นมลูกด้วยตัวเอง หลินฟู่อินจึงรู้สึกประทับใจมาก
และในความจริงก็มีทารกมากมายที่จะดื่มนมแค่จากเต้าของมารดาตัวเองเท่านั้น และจะไม่ยอมดื่มจากใครอื่น นางเองจึงหวังขึ้นมาว่าเด็กคนนี้จะเป็เช่นนั้น ที่เมื่อได้รับนมหวานๆ จากมารดาของตนแล้ว ก็จะไม่ยอมรับนมของผู้อื่นอีก
และหากเป็เช่นนั้น ตระกูลซ่งก็จะต้องยอมล้มกฎของตระกูลตัวเองเพื่อตัวเด็ก
แต่แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับสะใภ้เล็กของตระกูลซ่งผู้นี้จะมีน้ำนมพอหรือไม่ และน้ำนมนั้นมีคุณภาพดีพอหรือไม่ด้วย
“ซ่งฮูหยิน ในเมื่อม้าของท่านาเ็อยู่ เช่นนั้นข้าจะเข้าไปหารถม้าจากในเมืองมาให้ท่านนะเ้าคะ” หลินฟู่อินพิจารณาดูแล้ว จึงเสนอแนวทางให้ซ่งฮูหยิน
“ไม่ ไม่เป็ไร รถม้าของพวกข้าน่ะยังปลอดภัยดี และสะใภ้ข้าก็เพิ่งคลอด ข้าจึงไม่อยากเดินทางมากนักหากไม่จำเป็” ซ่งฮูหยินยิ้มออกมาแล้วปฏิเสธ ก่อนกล่าวต่อว่า “แม่นางหลินเพียงซื้อม้าให้พวกข้าสองตัวก็พอแล้ว”
“ได้เ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะขอให้ลุงคนขับรถเทียมลาพาคนขับรถม้าของท่านเข้าเมืองไปหาม้าดีๆ สองตัวจากแหล่งเลี้ยงม้า” หลินฟู่อินพยักหน้าตกลง
เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ชิวหมัวมัวจึงเริ่มกังวลขึ้นมา กล่าวว่า “นายหญิง นี่ก็เริ่มมืดแล้ว แม้เราจะหาม้ามาได้ แต่กว่าจะกลับมาถึงก็คงมืดสนิทแล้วเป็แน่ ตอนนี้เรามีนายน้อยมาร่วมทางด้วยแล้ว เราควรคำนึงถึงความเป็อยู่ของนายน้อยก่อนนะเ้าคะ!”
ซ่งฮูหยินลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เห็นด้วย หลานชายที่เพิ่งเกิดมานี้เป็หลานชายคนแรกของตระกูลซ่ง จะให้มีอะไรผิดพลาดไม่ได้
ควรจะทำอย่างไรต่อกันดี?
“เช่นนั้นแล้วเราก็ไปไหนไม่ได้น่ะสิ” ซ่งฮูหยินกล่าวออกมา
หลินฟู่อินเห็นประกายของความเ้าเล่ห์ในดวงตาของชิวหมัวมัว นางจึงกล่าวออกมา “ฮูหยิน มีหนทางอยู่เ้าค่ะ ท่านพาคุณชายน้อยของท่านขึ้นรถเทียมลาเข้าเมืองไปหาที่พัก ส่วนสาวใช้อยู่เฝ้ารถม้าที่นี่กับท่านสะใภ้เพื่อรอม้ามารับ”
ได้ยินข้อเสนอนี้ ซ่งฮูหยินก็ดีใจขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะคอตกแล้วส่ายหน้า “แต่หากไม่มีนางคอยรับใช้แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะไปที่ไหนได้นี่สิ”
หลินฟู่อินเดาความคิดของนายบ่าวคู่นี้ได้ ว่าพวกนางเพียงอยากทิ้งสะใภ้เล็กไว้แล้วกลับไปพร้อมกับทารกกันเองก่อนเท่านั้น
อย่างไรเสีย เด็กก็เกิดมาแล้ว หลานชายคนแรกของตระกูลก็ได้มาแล้ว สะใภ้เล็กจึงไม่มีคุณค่าอะไรเหลืออีก
และดูท่าว่าสะใภ้เล็กเองก็คาดเดาความคิดนี้ได้เช่นกัน นางจึงมีสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
นางกำผ้าปูแน่นด้วยสองมืออย่างไม่อยากเชื่อว่าแม่สามีของนางจะเืเย็นได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับคิดจะทิ้งนางไว้แล้วกลับไปกันเอง!
“ท่านสะใภ้ บ่าวผู้นี้ก็ไม่อยากทำเช่นนี้เช่นกัน แต่นี่เป็บุตรชายที่ท่านเสี่ยงชีวิตใหักำเนิดมา ดังนั้นแล้วในฐานะมารดา ท่านก็ควรจะคำนึงถึงความปลอดภัยของเขาก่อนนะเ้าคะ” ชิวหมัวมัวมองสะใภ้เล็กแห่งตระกูลซ่ง แล้วชิงเปิดปากก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้