เจียงเฉิงเยว่รีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วจับไหล่อีกฝ่าย ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เอาล่ะๆ อย่าร้องไห้...อย่าร้องไห้ ลักษณะนิสัยขององค์ชายห้าก็เป็เช่นนี้ ไม่สนใจใคร ปฏิบัติกับทุกคนเท่าเทียม ไม่ใช่แค่พวกเ้า เขาอาจไม่โกรธมาก...และก็ไม่ได้บอกว่าไม่สามารถให้อภัยพวกเ้านี่...พวกเ้าอย่าร้อนใจ รอจนกว่าข้าจะหาโอกาสเกลี้ยกล่อมเขา อย่าร้องไห้เลยนะเด็กดี ลูกผู้ชายอกสามศอก ร้องไห้งอแงเช่นนี้จะเหมือนอะไร...”
เขายังไม่ทันพูดจบ ศิษย์น้องหกของสำนักชิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้ากลับหยุดร้องไห้ด้วยความหวาดผวาอย่างกระทันหัน และจ้องมองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยม่านตาที่เบิกกว้างเล็กน้อย ขณะเดียวกันเจียงเฉิงเยว่พลันรู้สึกถึงเขตอาคมน้ำแข็งที่กดดันจากด้านหลัง ช่างมีความกดดันชวนหนาวสะท้าน เขาจึงรีบหันศีรษะไปมอง กลับเห็นหลี่อวิ๋นหังยืนอยู่หลังเขาอยู่สองสามก้าว สีหน้ามืดมนอย่างยิ่งกำลังจ้องมาที่เขาผู้เป็หนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก ผู้ที่ทำให้คนทั้งสามโลกเมื่อได้ยินกลับหวาดกลัว ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นามว่าฉิงชางจวินซึ่งมีอายุเกือบสองร้อยปี กลับถูกเด็กอายุสิบเอ็ดปีทำให้ใจนเหงื่อเย็นออกไปทั่วร่างอย่างคาดไม่ถึง ์! ได้ยินอย่างนั้นหรือ?! เขาได้ยินที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็อารมณ์ไม่ดีแล้วหรือ?! ถ้อยคำของเขาสั่นอยู่ครู่หนึ่ง “อา...อาหัง...ข้า...เอ่อ...”
หลี่อวิ๋นหังก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดันร่างเข้าไปแทรกระหว่างศิษย์น้องหกกับเจียงเฉิงเยว่ จากนั้นกดมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเจียงเฉิงเยว่ อีกข้างผลักหน้าอกของศิษย์น้องหกอย่างโกรธเคือง ผลักจนอีกฝ่ายถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วล้มลงบนพื้น
หลี่อวิ๋นหังพูดเสียงต่ำด้วยความโกรธ “ไปให้พ้น!”
นี่เป็ครั้งแรกที่เจียงเฉิงเยว่เห็นเขาอารมณ์เสียและสบถออกมา เห็นได้ชัดว่านี่ก็นับว่าเป็ครั้งแรกที่เหล่าศิษย์ของวิหารหลิงเซียวได้เห็นเขาอารมณ์เสียและสบถเช่นเดียวกัน...เพราะการแสดงออกของคนทั้งหมดในที่แห่งนี้ต่างตกตะลึงจนตาค้าง เหลือเชื่ออย่างยิ่ง
เมื่อผลักศิษย์น้องหกผู้นั้นล้มลงไปแล้ว หลี่อวิ๋นหังหันกลับมาแล้วลากแขนของเจียงเฉิงเยว่ออกไป หากกล่าวตามหลักแล้ว ร่างกายเล็กของอีกฝ่ายนั้นไหนเลยจะสามารถลากเจียงเฉิงเยว่ซึ่งเป็ผู้ใหญ่ให้เคลื่อนไหวได้ ทว่าแรงกดดันอย่างบีบบังคับนั้น ส่งผลให้ฉิงชางจวินติดตามไปอย่างขี้ขลาด เขาเดินตามรอยเท้าโดยรีบจากไป ทิ้งกลุ่มคนที่ยังไม่คลายจากการเป็มนุษย์หินเอาไว้
หลี่อวิ๋นหังลากเจียงเฉิงเยว่มาระยะทางหนึ่ง อีกฝ่ายคว้าบนแขนของเขา เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางเลือกจึงต้องตามไปโดยค้อมตัวตลอดเวลา หลี่อวิ๋นหังเดินเร็วมาก หลังจากผ่านมาระยะทางหนึ่งเขากลับเดินตามรอยเท้าของอีกฝ่ายไม่ทันเล็กน้อย จึงทำได้เพียงเรียกอย่างเอาใจ “อาหัง...ช้าลงหน่อย...เสด็จพี่กำลังจะล้มแล้ว”
เมื่อหลี่อวิ๋นหังได้ยินเช่นนี้พลันสะบัดมือของเขาออกอย่างรุนแรง จากนั้นเดินต่อไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร เจียงเฉิงเยว่เห็นว่าอีกฝ่ายโกรธแล้วจริงๆ จึงทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้แล้วติดตาม อิ้นไป่ ศิษย์ที่ติดตามรับใช้หลี่อวิ๋นหังซึ่งรอด้านหนึ่งอยู่ไกลๆ ก็ตกตะลึงกับใบหน้ามืดมนของอีกฝ่ายเช่นกัน เพิ่งก้าวไปข้างหน้าแล้วเรียกอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าา” กลับถูกหลี่อวิ๋นหังทอดทิ้งไว้เื้ั
เจียงเฉิงเยว่ติดตามอย่างใกล้ชิด ตบบ่าของอีกฝ่ายแล้วปลอบด้วยเสียงต่ำ “ไม่เป็ไร...ให้ข้าจัดการ” พูดจบก็เร่งความเร็วไล่ตามหลี่อวิ๋นหังไป
หลี่อวิ๋นหังวิ่งเข้าไปในห้องของตนเอง เจียงเฉิงเยว่ที่กำลังจะตามเข้าไปกลับถูกประตูกระแทกด้วยเสียงดัง ‘ปัง’ บานประตูเกือบจะตีเข้าที่ใบหน้า เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ภายหลังได้ยินอีกฝ่ายรีบสลักกลอนประตูจึงถอนหายใจ เขาเคาะประตูอย่างอดทดพลางเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงนุ่มนวล “อาหัง...เปิดประตูหน่อยได้หรือไม่?”
ด้านในไม่มีการตอบสนอง
เขาเคาะประตูอีกครั้งและพูด “อาหัง...เสด็จพี่รู้ว่าเ้าโกรธ...” แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วโดนโกรธแบบไหน สุดท้ายแล้วการขอโทษคือสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงพูดอีกครั้ง “ต้องโทษที่ข้าไม่ดีเอง”
หลี่อวิ๋นหังระงับเสียงแปลกเล็กน้อยที่ดังออกมา พูดอย่างโกรธเคือง “ท่านออกไป!” เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างไป หลี่อวิ๋นหังพูดขึ้นอีก “ข้าไม่้าให้ท่านดูแล!!!”
นี่มันเกิดขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร?
เจียงเฉิงเยว่ลูบหน้าผาก ก่อนพิงประตูแล้วนั่งที่ปากประตูอย่างน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย “อาหัง เกลียดข้าเช่นนี้จริงหรือ?” ด้านในไม่มีการตอบสนองเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่จึงเม้มริมฝีปากกล่าว “ข้าขอโทษ...ต้องโทษที่เสด็จพี่ไม่ดี เอาแต่คิดไปเองเสมอ”
หลี่อวิ๋นหังได้ยินเช่นนี้จึงเอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าไม่้าให้ท่านเสแสร้ง! ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วท่านก็ต้องจากไป! ในเมื่อท่านจะจากไปสักวันหนึ่ง ข้าไม่้าให้ท่านทำดีกับข้า! ไม่้าให้ท่านมาสงสาร!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ผ่านไปนานถึงพูดเสียงต่ำอย่างน้อยใจ “อาหัง...เ้าพูดเช่นนี้ เสด็จพี่เสียใจมากนะ”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบกลับ
เจียงเฉิงเยว่นั่งงอเข่า ฝ่ามือทั้งสองเท้าคาง วางศอกไว้บนเข่า เขาถอนหายใจเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “จริงอย่างที่เ้าพูด ชีวิตคนบนโลกย่อมมีพลัดพรากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอ...อาจเป็เสด็จพ่อที่ทรงมีรับสั่งเรียกข้ากลับโซ่วหลิงอีกครั้งในภายหลัง และอาจมีวันหนึ่งที่ข้าไม่ได้เป็องค์รัชทายาท...” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ช่างเถิด เื่ของราชสำนักในโซ่วหลิง...เ้ายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ เสด็จพี่ก็หวังว่าเ้าจะไม่ต้องเข้าใจมันตลอดไป ในความเป็จริงแล้วไม่มีใครในโลกนี้รับประกันได้ว่าจะสามารถอยู่กับผู้อื่นตลอดไปโดยไม่แยกจากกัน”
เขาก็เคยมีความคิดที่้าจะอยู่ด้วยกันกับคนผู้หนึ่งเช่นนี้มาก่อน เขาถึงขั้นเคยคิดว่าความปรารถนาสามารถเป็จริงได้ ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าการจากลาครั้งสุดท้ายกลับมาอย่างกะทันหันและโศกเศร้าเช่นนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายเป็เพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ทว่าเขาไม่มีความคิดหลอกลวงเพื่อปลอบใจ ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครสามารถเป็เด็กไปได้ตลอดชีวิต นี่คือความโหดร้ายของความจริง และจะมีวันหนึ่งที่หลี่อวิ๋นหังเข้าใจเอง
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “อาหัง เป็เพราะการพลัดพรากอย่างไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาในชีวิต เวลาที่อยู่ด้วยกันจึงล้ำค่ามากไม่ใช่หรือ? ในชีวิตมีสิ่งมากมายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีหลายครั้งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมโชคชะตาที่ต้องพลัดพรากจากกัน”
ด้านหลังประตูราวกับมีเสียงฝีเท้าแ่เบาดังแว่วมา
“แทนที่จะเสียใจที่ไม่เคยทำดีต่อกันหลังจากที่แยกจาก สู้ทะนุถนอมคนที่อยู่ตรงหน้าให้มากขึ้นในตอนที่อยู่ด้วยกัน...เช่นนี้ถึงยามต้องแยกจากอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็จะไม่หลงเหลือความเสียดาย ลองคิดดูอีกทีสิ ทั้งหมดนี้จะเป็ความทรงจำที่สวยงาม ในโลกที่ทุกข์ระทมนี้ ่เวลาที่ยาวนาน ขอเพียงเก็บความทรงจำอันอ่อนโยนเ่าั้ไว้ในใจก็จะสามารถประคับประคอง ให้ความอบอุ่นแก่ตนเองได้ ดังนั้นอาหัง...เสด็จพี่ไม่ได้เสแสร้ง และไม่ใช่เพราะข้าสงสารเ้า...ที่เสด็จพี่ทำกับเ้าเพียงเพราะข้า้าทำเช่นนี้...หากอาหังยืนยันที่จะเข้าใจผิด เสด็จพี่คงเสียใจมากจริงๆ”
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียง ‘แกร๊ก’ เจียงเฉิงเยว่กอดเข่าหันไปมองกลับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขาเห็นดวงตาทั้งสองข้างของหลี่หลี่อวิ๋นหังเป็สีแดง เบ้าตายังคงมีคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งอยู่
เจียงเฉิงเยว่รีบหมุนตัวกลับมาคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้า เช็ดน้ำตาออกจากหางตาคู่นั้นพลางพูดเสียงนุ่ม “อาหัง...เป็อย่างไร ใมากใช่หรือไม่? เื่ที่เสด็จพี่พูดเป็เพียงสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เ้าอย่าคิดจริงจังไป” สุดท้ายแล้วเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าการพูดเื่พวกนี้กับเด็กอายุสิบเอ็ดปีจะหนักหนาเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาเช็ดมากเท่าไร น้ำตาของหลี่อวิ๋นหังกลับยิ่งไหลออกมาไม่หยุด เขาปวดหัวใจมากจนต้องโอบร่างเล็กของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน จากนั้นลูบแผ่นหลังแ่เบา
ร่างกายของหลี่อวิ๋นหังในอ้อมแขนแข็งทื่ออยู่เล็กน้อย หลังจากถูกเขาปลอบด้วยเสียงนุ่มนวลเป็เวลานาน กลับจับแขนเสื้อของเขาไว้เบาๆ เสียงสะอึกสะอื้น ร่างฝังอยู่ในอ้อมแขนของเขา เริ่มพูดเสียงต่ำ “ข้าขอโทษ “
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงแล้วผละออกมา จากนั้นจับไหล่ของอีกฝ่าย พูดด้วยรอยยิ้มบาง “อาหังไม่จำเป็ต้องขอโทษ...เสด็จพี่ไม่ได้โกรธ”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบ เขาใช้มือเช็ดเบ้าตาของตนเองด้วยความโกรธเคืองอย่างรุนแรง แรงที่ใช้นั้นแรงจนเจียงเฉิงเยว่กังวลว่าน้ำตาอาจไหลลงมาพร้อมกับขนตาอย่างไรอย่างนั้น เจียงเฉิงเยว่รีบหยุดอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนบีบใบหน้าเล็กอย่างเอาใจ ครั้งนี้หลี่อวิ๋นหังไม่ได้หลบ ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างที่้า
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “การพลัดพรากจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่เสด็จพี่พูดไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องประสบ หากโชคดีมากพอ เสด็จพี่ยังสามารถอยู่ด้วยกันกับอาหังได้ตลอดชีวิต นอกจากนี้ แม้ในอนาคตจะแยกจากกันอย่างไม่มีทางเลือก ขอเพียงในใจยังระลึกถึงอีกฝ่าย แม้ว่าจะพรากจากกันชั่ว...” ถ้อยคำนี้ดูไม่เป็มงคลและหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กคนหนึ่งจึงรีบเปลี่ยนคำ “แม้จะแยกจากกันคนละฟากบนโลก...ขอเพียงยังมีความคิดถึงอีกฝ่ายอยู่ในใจ ไมตรีนี้จะไม่ขาด”
หลี่อวิ๋นเบิกตากลมโตสีเข้มที่เปียกปอน จับจ้องเขาอย่างใกล้ชิด ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปในวินาทีถัดมา เจียงเฉิงเยว่ยืดตัวขึ้น อดไม่ได้ที่จะจูบหน้าผากน้อย หลี่อวิ๋นหังไม่ได้หลบ เจียงเฉิงเยว่มองพร้อมระบายยิ้ม “เสด็จพี่สัญญากับอาหัง ขอเพียงเสด็จพี่กับอาหังยังอยู่ด้วยกัน ข้าจะปฏิบัติต่ออาหังอย่างดีเสมอ...ดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นหังพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่พลันอบอุ่นขึ้นมา เขาโอบอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง หลังรู้สึกว่าหลี่อวิ๋นหังใช้มือเล็กๆ โอบรอบเอวของตนเพื่อกอดตอบ พลันรู้สึกปลาบปลื้มอย่างเป็บ้าเป็หลังอยู่เล็กน้อย
อืม ดูเหมือนว่าในที่สุดเด็กดื้อก็ยอมพึ่งพาเขาเสียหน่อยแล้ว ถึงอย่างไรหากต้องร่างของหลี่อวิ๋นเฉินก็ควรทำหน้าที่พี่ชายแทนเล็กน้อย ใครบอกว่าเขาโอบอุ้มเด็กเอาไว้อย่างไม่มีวิธีการกันเล่า
“เด็กดี” เจียงเฉิงลูบอีกฝ่ายเบาๆ พาเข้าไปในห้อง เข้ามาในที่ห้องล้างมือล้างหน้าและบิดผ้าเช็ดหน้าที่เปียกเดินออกมา เริ่มเช็ดใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ ใบหน้ากลายเป็แมวลายตัวน้อยเสียแล้ว”
ใบหน้าขาวของหลี่อวิ๋นหังปกคลุมไปด้วยชั้นสีชมพูอ่อน มองแล้วทำให้หัวใจล่องลอยและผันผวน เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะสะอึกอย่างรุนแรงจากใบหน้าซาลาเปาที่งดงาม “อาหังของข้ากลายเป็แมวลายตัวน้อยแล้วกลับยังดูดีเป็อันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
ยามนี้แม้แต่ใบหูของหลี่อวิ๋นหังก็ขึ้นสีแดงแล้ว เขาเม้มปาก ก้มศีรษะลงอย่างเขินอายเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าตนเองทำเกินไปจึงไม่แกล้งอีกต่อไป หลังจากนั้นเขากลับเกิดความลำบากใจ และคิดถึงเื่หนึ่ง แท้ที่จริงแล้วหลี่อวิ๋นหังไม่ใช่น้องชายของเขาจริง เช่นนั้นหลี่อวิ๋นหังก็เหมือนกันกับศิษย์น้องหกของสำนักชิงเฟิงเมื่อครู่ ต่างก็เป็เด็กแปลกหน้าสำหรับเขา...ถ้าเช่นนั้นทำไมเมื่อศิษย์น้องหกผู้นั้นร้องไห้เขาถึงรู้สึกเพียงมือไม้อ่อน ทว่ายามหลี่อวิ๋นหังน้ำตาไหล หัวใจทั้งดวงของตนเองกลับเ็ปราวกับถูกบดขยี้?
หรือเพียงเพราะรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน? หลังจากลองคิดเช่นนี้ เขาดูถูกตนเองอยู่เล็กน้อย รู้สึกละอายใจมากขึ้นที่ตนฉวยโอกาสทั้งหอมและกอดอย่างเกินเลยไปหน่อยกับอีกฝ่ายที่ยังเป็เด็ก ดังนั้น ใบหน้าชราของฉิงชางจวินพลันแดงเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางที่เชื่อฟังมากของหลี่อวิ๋นหังเวลานี้ เจียงเฉิงเยว่จึงถือโอกาสตีเหล็กเมื่อร้อน1 จากนั้นจึงนำความคิดเช่นนี้ถ่ายทอดออกมา “หาก้าให้เหล่าเด็กน้อยจากสำนักชิงเฟิงออกไปโดยเร็ว เ้าเพียงเปิดปากพูดว่าให้อภัยพวกเขาก็จะสำเร็จ” แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังยังคงเงียบ แต่สีหน้ากลับดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เป็ดังคาดในเช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มจากสำนักชิงเฟิงที่มา ‘ทำงาน’ พวกเขาพบกับหลี่อวิ๋นหังที่กำลังไปเข้าเรียนด้วยความบังเอิญอีกครั้ง ใบหน้าของเหล่าเด็กหนุ่มอึดอัดใจเป็อย่างยิ่ง หลังจากข่มกลั้นอยู่เป็เวลานานจึงค่อยๆ ทำความเคารพ โดยศิษย์น้องหกหลบอยู่ด้านหลังของเหล่าศิษย์พี่ตลอดเวลา กล้าที่จะโผล่หน้าเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น...อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ช่างเหนือความคาดหมาย หลี่อวิ๋นหังเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
เหล่าเด็กหนุ่มนิ่งค้างไปพักใหญ่ ภายหลังมองไปทางแผ่นหลังของเขากลับรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
------------------------
[1] ตีเหล็กเมื่อร้อน เป็สำนวน หมายถึง เมื่อมีโอกาสควรรีบทำ
