"มิกล้า สกุลเมิ่งเพิ่งก้าวเข้าสู่สนามการค้า กิจการยังไม่นับว่าใหญ่โตมาก"
เมิ่งเฉิงเจ๋อหาได้พูดถ่อมตน แม้่สองสามปีมานี้สกุลเมิ่งของพวกเขาจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เส้นสายยังไม่เพียงพอ
ส่วนสาเหตุที่เขาส่งคนไปเฝ้าโรงเตี๊ยมฝูสี่ ก็เพราะเล็งเห็นศักยภาพของตลาดกระเป๋าสะพายหลัง
ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยม เดินมาถนนกู่หลิน เขาถึงส่งต่งชิ่งออกไปต้อนรับที่ประตู
"นายน้อยเมิ่งถ่อนตนแล้ว" เห็นเขาคุยด้วยถ้อยคำเป็ทางการ เหลียนเซวียนก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ
เมิ่งเฉิงเจ๋อคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก บรรยากาศในห้องรับแขกเงียบไปชั่วขณะ
เซวียเสี่ยวหรั่นขยับบั้นท้าย ยามออกจากโรงเตี๊ยมดื่มทั้งยาดื่มทั้งน้ำ เมื่อครู่ระหว่างฟังเขาทักทายกัน ก็ดื่มชาไปอีกครึ่งถ้วย เธอเริ่มรู้สึกอยากเข้าสุขาเสียแล้วสิ
แต่พวกเขาสองคนคุยกันเป็ครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่เข้าเื่เสียที
เซวียเสี่ยวหรั่นขึงตาใส่ชายหนุ่ม
เหลียนเซวียนเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ ของนาง ก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
แค่นี้ก็ทนไม่ได้จะทำงานใหญ่ได้อย่างไร
เมิ่งเฉิงเจ๋อเองก็เห็นลูกไม้เล็กน้อยของนาง เนตรหงส์เลิกขึ้นทอประกายวับวาว เผยรอยยิ้มประดับมุมปาก "ต้าเหนียงจื่อ เื่ร่วมมือกันที่คุยไว้คราก่อนไม่ทราบว่า..."
เขาพูดมาได้ครึ่งหนึ่งก็หยุด ยิ้มรอคำตอบจากนาง
เมื่อเห็นว่าเขาใช้รอยยิ้มโปรยเสน่ห์ตามความเคยชิน เซวียเสี่ยวหรั่นก็เบะปาก ก่อนเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายหลังที่วางบนพื้นขึ้นมา ปลดกระดุมบนฝา้าออก แล้วหยิบสินค้าตัวอย่างออกมาจากด้านใน
กระเป๋าหลากหลายรูปแบบ สีสันแตกต่างกันวางเรียงอยู่บนโต๊ะชา ั์ตาหงส์เรียวยาวเบิกกว้างทันใด
เขาลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เดินเข้ามาที่โต๊ะชาฝังมุกลายดอกสาลี่ หยิบกระเป๋าสีบานเย็นปักลายวิจิตรขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
"นี่คือกระเป๋าใส่เงินปลีกของสตรี เปิดแบบนี้ ยามออกจากเรือน สามารถใส่ของจุกจิกเช่นเงินปลีก คันฉ่องขนาดย่อม หวีเล็กๆ ตลับแป้งผัดหน้า แล้วก็สามารถสะพายแบบนี้"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบขึ้นมาสะพายไหล่ให้เขาดู
ดวงตาของเมิ่งเฉิงเจ๋อผุดประกายวับวาวอย่างตื่นเต้น เขาจินตนาการได้เลยว่ากระเป๋าเล็กๆ ที่น่ารัก และสวยงามเช่นนี้ยามออกสู่ท้องตลาด จะสร้างกระแสนิยมในหมู่สตรีมากมายเพียงใด
"ส่วนนี่คือกระเป๋าถือ เพียงแค่ถือไว้ในมือจะยิ่งสง่างามกว่าสะพายไว้กับตัว ไม่กดทับอาภรณ์ ้าสามารถปักลาย หรือจะปล่อยให้เรียบๆ ก็ได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นหิ้วกระเป๋าถือสีชมพูขึ้นมา ้าปักลายผีเสื้อหลงบุปผา สีสันสดใสมาก
"ส่วนนี่ก็กระเป๋าสะพายแบบสายคู่ขนาดเล็ก สายสะพายจะค่อนข้างบาง เหมาะสำหรับใส่ของน้ำหนักเบา ไม่หนักหัวไหล่...."
"นี่ก็กระเป๋าสะพาย ขนาดใหญ่หน่อย แค่ค่อนข้างแข็งแรง จุของได้เยอะ พื้นที่เหลือสำหรับปักลายก็จะใหญ่หน่อย..."
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบกระเป๋าชนิดต่างๆ ออกมาจากกระเป๋าของเซวียเสี่ยวเหล่ย แนะนำทีละอย่าง
เมิ่งเฉิงเจ๋อมองกระเป๋าใหญ่น้อยสีสันสดใสตรงหน้าราวกับได้เห็นแท่งเงินสีขาวกองโต
เหลียนเซวียนหยิบกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นมาตรวจดู
เขารู้ ่นี้นางกับอูหลันฮวายุ่งอยู่กับการทำของสิ่งนี้ แต่ไม่เคยดูอย่างละเอียดมาก่อน
ที่แท้ก็เป็ของประเภทนี้เอง
สตรียามออกจากบ้านสามารถใช้เก็บสิ่งของจุกจิกได้อย่างเหมาะสม
"นายน้อยเมิ่งคิดเห็นว่าการค้ากระเป๋าเหล่านี้พอจะเป็ไปได้หรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นแนะนำเสร็จก็เอ่ยถาม
"เป็ไปได้สูงอย่างแน่นอน" เมิ่งเฉิงเจ๋อพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาสว่างวาบ การค้านี้ก็สำเร็จแล้วสิ
"ไม่ทราบว่าต้าเหนียงจื่อคิดจะร่วมมืออย่างไร" เมิ่งเฉิงเจ๋อมองมาที่นาง "จะให้สกุลเมิ่งของพวกเราซื้อแบบกระเป๋าของท่านในราคาสูง หรือท่านคิดจะทำกระเป๋าเองแล้วมาฝากขายที่ร้านค้าของพวกเรา?"
อันที่จริงเขาก็ไม่ปรารถนาให้นางเลือกวิธีฝากขายเท่าไรนัก เพราะการทำเช่นนั้นสกุลเมิ่งออกจะเสียเปรียบเกินไป
"ฝากขาย? จะได้อย่างไรเล่า ข้าไม่มีเวลาว่างมากขนาดนั้น" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบสั่นศีรษะ ขนาดทำแค่ไม่กี่ใบนี้ ยังเหนื่อยแทบตาย
เหลียนเซวียนอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
"เช่นนั้น...?" เมิ่งเฉิงเจ๋อหวังเป็อย่างยิ่งให้นางขายแบบให้แก่สกุลเมิ่งในราคาสูง
"แฮ่ม" เซวียเสี่ยวหรั่นกระแอมเบาๆ เหลือบสายตาไปที่เหลียนเซวียน
ไหนบอกว่าเขาจะรับผิดชอบเื่การเจรจามิใช่หรือ
เหลียนเซวียนหัวเราะเสียงต่ำ วางกระเป๋าในมือลง
"นายน้อยเมิ่ง ฝ่ายเราจะส่งแบบและสินค้าตัวอย่างให้ทุกปี แต่ขอส่วนแบ่งกำไรจากการขายสามส่วน หาก้าเปิดร้านกระเป๋าในเมืองหลวงแคว้นฉี ผู้น้อยสามารถช่วยขยายตลาดให้ได้"
เขามองเมิ่งเฉิงเจ๋อด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือใหญ่ที่เห็นข้อนิ้วแจ่มชัดเคาะเบาๆ บนโต๊ะมุกครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วขณะนั้นคล้ายว่ามีพลังกดดันจากเบื้องสูงแผ่กำจายออกมาอย่างเงียบเชียบ
เอาสามส่วนเลยหรือ? เซวียเสี่ยวหรั่นหัวใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ ลงทุนแค่ความคิดยังตั้งราคาโหดขนาดนี้เชียว? เธอมองสีหน้าคิดหนักของเมิ่งเฉิ่งเจ๋ออย่างว้าวุ่น ก่อนหันไปมองเหลียนเซวียนที่ยังคงเคร่งขรึม
บุรุษผู้นี้ข่มขวัญผู้อื่นอีกแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นค้อนควักใส่เขาพลางเบ้ปาก
ยามได้ยินพวกเขาเรียกร้องส่วนแบ่งผลกำไรสามส่วน หัวคิ้วของเมิ่งเฉิงเจ๋อก็ขมวดย่น แต่พอได้ยินสองประโยคหลัง คิ้วเรียวสีดำเข้มก็เลิกขึ้น
ราคาคุยคำโตไม่เบา
เมืองหลวงแคว้นฉีคือสถานที่ใด สถานที่แห่งนั้นคือศูนย์รวมของความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ความคึกคัก และอำนาจอันทรงพลานุภาพ บรรดาพระญาติของราชวงศ์ ตระกูลผู้มีชื่อเสียง ขุนนางชั้นสูง ล้วนใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา
สกุลเมิ่งของพวกเขาไหนเลยจะไม่คิดไปทำการค้าที่แคว้นฉี เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถปีนป่ายไปสั่นคลอนผลประโยชน์ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์
ไม่มีบรรพตใหญ่ให้พึ่งพึง ถึงอยากจะเปิดร้านค้าในเมืองหลวงซึ่งเป็ถิ่นพยัคฆ์ซุ่มัซ่อน ก็เป็ได้แค่ความเพ้อฝัน
ปีก่อนกว่าจะดันทุรังอาศัยเื่งานแต่งของน้องสาว เปิดร้านค้าเล็กๆ สองร้านในเมืองหลวงของที่นั่นได้ก็แทบหืดขึ้นคอ
เขามีศักดิ์ฐานะแบบไหนถึงกล้าคุยโม้โอ้อวดเช่นนี้
ดวงตาคมกริบของเมิ่งเฉิงเจ๋อจดจ้องบุรุษตรงหน้า
แต่กลับถูกพลังอำนาจจากทั่วร่างของอีกฝ่ายกดทับจนหัวใจหดเกร็ง
ดวงตาราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้นล้ำลึกเกินหยั่งถึง
เมิ่งเฉิงเจ๋อหัวใจบีบรัด เขาเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง คนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้หาได้อวดอ้างสถานะมาเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ แต่มีความสามารถที่แท้จริง
สมองของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจก็มีการตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว
"ตกลง"
เมิ่งเฉิงเจ๋อเป็พวกกล้าได้กล้าเสีย ยอมเสี่ยงเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง
อีกอย่างเขาเชื่อมั่นในสายตาและสัญชาตญาณของตนเอง
สองสามปีมานี้เขานำพาสกุลเมิ่งจากแค่ตระกูลพ่อค้าเล็กๆ ขยับขยายจนใหญ่โตมาถึงทุกวันนี้ ล้วนมาจากการไขว่คว้าโอกาส และการต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต
เซวียเสี่ยวหรั่นอ้าปากตาค้าง
เธอไม่ได้หูฝาดไปกระมัง แบบนี้คือเจรจาสำเร็จแล้ว?
เหลียนเซวียนแค่เอ่ยไปตามอำเภอใจคำเดียว ก็คว้าส่วนแบ่งกำไรของผู้อื่นมาได้สามส่วน?
เมิ่งเฉิงเจ๋อไม่มีข้อกังขาในหัวบ้างเลยหรือ เธอแค่ออกแบบกับทำสินค้าตัวอย่าง ไม่ได้ลงทุนแม้แต่อีแปะเดียว ก็มอบส่วนแบ่งให้ถึงสามส่วน
เซวียเสี่ยวหรั่นมองซ้ายมองขวา รู้สึกเหมือนไม่น่าจะเป็ความจริงไปได้
"นายน้อยเมิ่งกระทำการเฉียบขาดแล้วรวดเร็วยิ่ง" เหลียนเซวียนยิ้มบางๆ มองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกยากคาดคะเน "มีวิสัยทัศน์อันเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัว"
"พี่เหลียนชมเกินไป เพียงแค่ได้คำมั่นสัญญาจากพี่เหลียน น้องชายจะกล้าไม่คล้อยตามได้อย่างไร" เมิ่งเฉิงเจ๋อประสานมือ ยิ่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่าการตัดสินใจของตนเองถูกต้องแล้ว
สองฝ่ายต่างบรรลุข้อตกลงร่วมกัน แต่สีหน้าของสองพี่น้องเซวียเสี่ยวหรั่นกลับเต็มไปด้วยความงุนงง
