มู่อวิ๋นจิ่นกลับไปที่ห้องด้วยไร้ความง่วงหงาวหาวนอน นั่งลงที่เก้าแี้ ยกมือลูบแก้มทั้งสองข้าง
จื่อเซียงช่วยรินน้ำขาส่งให้มู่อวิ๋นจิ่น “คุณหนู เมื่อครู่บ่าวได้ยินแม่นมเสิ่นเล่าว่า องค์หญิงห้าไปอยู่ที่บ้านตระกูลเซียวแล้วเ้าค่ะ”
“ห๊ะ? ไปจริงๆ เหรอ? มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างแปลกใจ”
“ใช่เ้าค่ะ ตระกูลเซียวเตรียมจัดงานแต่งในวันพรุ่งนี้อย่างยิ่งใหญ่เ้าค่ะ” จื่อเซียงเล่า
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับทราบ และยิ้มจางๆ “พูดก็พูดเถอะ คนอย่างฉู่ชิงเฉียงไม่ได้กระดูกแข็งปรอก หากไร้ราชวงศ์คอยหนุนหลัง ก็ต้องหาที่พึ่งใหม่”
“คุณหนูหมายความว่ายังไงนะเ้าคะ?” จื่อเซียงเริ่มงุนงงกับสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูด
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก”
ทั้งสองคนคุยเล่นอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งด้านนอกมีเสียงเคาะประตูที่รีบร้อนดังขึ้น จื่อเซียงจึงวิ่งไปเปิดดู
บ่าวใช้จึงวิ่งเข้ามารายงาน “พระชายา ในวังส่งคนมารายงาน ฉินไท่เฟยอย่างอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ฉินไท่เฟยอยากพบหน้าพูดคุยกับพระชายาเพคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นวางถ้วยน้ำชาอย่างไม่ร้อนรน จากนั้นลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดใหม่
นางเลือกชุดกระโปรงสีน้ำเงินอ่อน นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ให้จื่อเซียงช่วยเกล้าผมให้
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินทางเข้าวังได้
ห้องที่อยู่เยื้องกันก็เปิดประตู ด้วยได้ทราบข่าวนี้อย่างกะทันหัน ฉู่ลี่จึงสวมชุดที่เป็ทางการ
จื่อเซียงมองดูฉู่ลี่เห็นริมฝีปากของเขาบวมแดงขึ้นมา แล้วมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นก็ถึงบางอ้อ หัวเราะคิกคักผู้เดียว
มู่อวิ๋นจิ่นกับฉู่ลี่ต่างหันมามองจื่อเซียงพร้อมกัน
จื่อเซียงเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าก้มตา มิกล้าเอ่ยคำใด
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปพูดน้ำเสียงขึงขังข้างหูฉู่ลี่ “เ้าก็จะเข้าวัง?”
ฉู่ลี่พยักหน้าแทนคำตอบ
“เช่นนั้นก็ได้ด้วยกัน” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากขึ้น แม้รู้สึกเขินอายกันและกันอยู่
ฉู่ลี่ตอบรับ และเลือกมองไปที่ประตูด้านนอกเรือนลี่เฉวียน
ติงเซี่ยนกับจื่อเซียงเดินตามข้างหลัง ถึงแม้ทั้งสองจะเดินใกล้ชิดกัน แต่ว่าดูจากระยะห่างช่างแตกต่างกว่าเมื่อก่อน วันนี้ทั้งสองคนเกือบเป็ของกันและกันแล้ว
ดูจากสถานการณ์แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานับจากนี้ ห้องที่เรือนลี่เฉวียนอาจว่างขึ้นคนหนึ่งเป็ได้
……
บนรถม้า มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงพนักด้วยความรู้สึกง่วงเกิดขึ้น
นางหลับตาพยายามคิดในใจถึงเื่ที่ฉินไท่เฟยอยากพบหน้าพูดคุย และหลังจากที่แตกหักกับพวกนางแล้ว นางก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดของฉินไท่เฟยอีกแม้แต่น้อย
ในวันนี้เดินทางมาดูใจ คาดว่าคงไม่มีเื่ดีอย่างแน่นอน
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นตลอดทางที่นั่งรถม้า ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เ้าเป็ห่วงเื่อะไร?”
มู่อวิ๋นจิ่นเหล่ตาเบะปาก สงสัยฉู่ลี่ยังไม่รู็จักธาตุแท้ของฉินไท่เฟย จึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไร แค่เป็ห่วงสุขภาพของฉินไท่เฟย”
ฉู่ลี่ได้แต่แย้มยิ้มอ่อนๆ หันหน้าไปอีกทาง
……
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินทางมาถึงตำหนักของฉินไท่เฟย ทุกคนในห้องต่างนั่งกันสงบ ไม่มีพูดคุยกันแม่แต่คำใด
“คารวะองค์ชายหก คาระวะพระชายาหก” แม่นมชวีทำความเคารพทั้งสอง
จากนั้นแม่นมชวีหันมายิ้มให้ฉู่ลี่ “ไท่เฟยอาการหนัก และอยากคุยกับพระชายาหกเป็การส่วนตัวสักหน่อย ขอเชิญองค์ชายหกมารอห้องด้านข้างก่อนเ้าค่ะ”
“อืม” ฉู่ลี่เอ่ยเสียงเรียบ
มู่อวิ๋นจิ่นมองฉู่ลี่ แล้วถอนหายใจ “เ้ากำลังรอข้า?”
“ใช่แล้ว” ฉู่ลี่เผยยิ้มจางๆ
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปในตำหนักของฉินไท่เฟย ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปด้านข้างเตียงฉินไท่เฟย เห็นนางมีสีหน้าดีขึ้นกว่าครั้งก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เ้ามาแล้ว” ฉินไท่เฟยที่นอนอยู่บนเตียง เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า เอี้ยวไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง มองดูฉินไท่เฟย “สีหน้าดีขึ้นกว่าครั้งก่อนมาเลยเพคะ”
“เหอะๆๆ อายเจียรู้ว่าเวลาของตัวเองเหลือเพียงไม่กี่วันแล้ว” ฉินไท่เฟยหัวเราะขึ้น
“ตามหาหม่อมฉันมีเื่อันใดเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นเปิดประเด็น
ฉินไท่เฟยมองดูมู่อวิ๋นจิ่นอยู่นาน ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ยังจำวันนั้นได้ไหม ที่ให้อายเจียช่วยเ้าเื่ปัญหาระหว่างจวนอัครเสนาบดีมู่กับจวนฉิน?”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับแล้วมอง3 01อยู่อย่างนั้น
“วันนั้น อายเจียกับฝ่าาสนทนากันอยู่นาน จนเลยเถิดไปถึงเื่ที่ยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท……” น้ำตาฉินไท่เฟยเอ่อล้นออกมา
พอได้ยินคำว่า “รัชทายาท” มู่อวิ๋นจิ่นนิ่งตัวแข็ง พยายามเก็บอารมณ์ไว้ “จากนั้นละเพคะ?”
“จากนั้น อายเจียก็ใช้ชีวิตเป็เดิมพัน บีบให้ฝ่าาออกราชโองการแต่งตั้งยังไงล่ะ” ฉินไท่เฟยพูดไปไอไป ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชา
มู่อวิ๋นจิ่นจึงหันไปหยิบมายื่นให้
ฉินไท่เฟยพยายามฝืนดื่ม จากนั้นเอ่ยต่อไปว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่า ฝ่าาทรงเลือกใครเป็รัชทายาท?”
“วันนี้ไท่เฟย้าสื่ออะไรเหรอเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นหมดอารมณ์อดทนอดกลั้น ด้วยกลิ่นยาในห้องทำเอานางเวียนหัวไปหมดแล้ว
ฉินไท่เฟยยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอีกครั้ง ฝืนยิ้มอย่างสุดกำลัง ส่งสายตามาที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยมีนัยยะบางอย่าง
“อายเจียให้ฝ่าาแต่งตั้งองค์ชายสี่ฉู่เย่เป็รัชทายาท”
ในหัวของมู่อวิ๋นจิ่นกลับว่างเปล่าลง นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย
ฉินไท่เฟยคอยกันฉู่ลี่ทุกวิถีทาง ย่อมไม่มีเหตุผลใดให้เขาเป็รัชทายาท
เพียงแต่ไม่รู้ว่า หากฉู่ลี่ทราบเื่นี้เข้า ในใจจะคิดเช่นไร จนถึงตอนนี้นางเองก็ยังไม่เข้าใจในตัวฉู่ลี่ทั้งหมด
“ไม่เพียงเท่านี้……” ฉินไท่เฟยเสริมขึ้นอีก
“ไท่เฟยยังทำอะไรอีกหรือเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นพลันเกิดความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญฉินไท่เฟยจากใจ
ฉินไท่เฟยกวักมือเรียกให้เข้าใกล้ “เ้าช่วยประคองอายเจียขึ้นหน่อย นอนอย่างเดียวรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน”
มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือเข้าไปประคองฉินไท่เฟยขึ้นมานั่ง แต่ฉินไท่เฟยกลับคว้าคอนางเอาไว้
จากนั้น ฉินไท่เฟยกระซิบข้างหูเสียงต่ำแสบหู “ไม่เพียงเท่านี้ อายเจียยังมีโองการลับ หลังจากที่อายเจียจากไปแล้ว โองการลับนี้จะถูกส่งไปที่อารณาจักรซีหยวน ถึงตอนนั้นทุกคนจะรู้กันทั่วว่า แม่ของฉู่ลี่เป็ปีศาจ และฉินมู่เยว่ก็เป็ปีศาจเช่นกัน”
“ทั้งสองคนนี้เป็คนใกล้ชิดของฉู่ลี่ เ้าลองคิดดู หากคนอื่นทราบเื่นี้เข้าจะคิดอยังไงกับฉู่ลี่?”
มู่อวิ๋นจิ่นปล่อยฉินไท่เฟยนอนราบบนเตียงดังเดิม เลื่อนมือไปบีบไหล่ของนางไว้แน่น ราบกับจะบีบให้กระดูกแตกเป็เสี่ยงๆ “เพื่อบุตรชายของไท่เฟย ไท่เฟยยอมทำลายหลานแท้ๆ”
ดูเหมือนฉินไท่เฟยไม่รับรู้ถึงความเ็ป ใบหน้าที่ซีดเซียวตอนนี้กลับเผยยิ้ม “จิ่นเอ๋อร์ อายเจียเป็แม่คน รอให้เ้าเป็แม่คนก่อน ย่อมเข้าใจสิ่งที่อายเจียทำไปทั้งหมด”
“โองการลับอยู่ที่ไหน? รีบมอบให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้!” มู่อวิ๋นจิ่นปล่อยมือและเริ่มเปิดเตียงนอเสาะหา
หลังคาหากที่เตียงจนทั่วแล้ว ก็เริ่มไปหาภายในตำหนักทุกซอกทุกมุม
“ไม่ต้องเปลืองแรงให้เสียเปล่าหรอก เ้าคิดว่าอายเจียจะเก็บของสำคัญเช่นนี้ไว้ที่ตัวอย่างนั้นหรือ?” ฉินไท่เฟยมองมู่อวิ๋นจิ่นที่หาของชิ้นนั้นอย่างใจร้อน
มู่อวิ๋นจิ่นหันกลับมาด้วยสายตาพิฆาตที่สามารถฆ่าคนได้ จนมือทั้งสองข้างกำแน่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ฉู่ลี่เคารพท่านเหมือนท่านแม่แท้ๆ สรุปแล้วต้องทำยังไง ไท่เฟยถึงได้เรียกโอการลับกลับมา?”
“จิ่นเอ๋อร์ เ้าเอ่ยเช่นนี้ ด้วยห่วงอนาคตตนเอง หรือห่วงอนาคตฉู่ลี่กันแน่?” ฉินไท่เฟยจับสังเกตสีหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักนิ่ง ครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง “เอาโองการลับออกมาเถอะเพคะ!”
ฉินไท่เฟยหัวเราะเยาะขึ้น “อายเจียใกล้จะสิ้นลมใจ ไม่กลัวเ้าข่มขู่หรอก”
“มู่อวิ๋นจิ่น ที่อายเจียเรียกเ้ามาในวันนี้ เพื่อ้าบอกเื่นี้ล่วงหน้า เพื่อให้เ้าได้ััรสชาติแห่งความสิ้นหวังจนปัญญา” ฉินไท่เฟยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว สายตาไร้ความกังวล
“ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา อายเจียไม่สมหวังที่จะได้ขึ้นตำแหน่งฮองเฮา แต่ก่อนจะสิ้นใจ เห็นคนรอบตัวหวาดกลัวอาณาจักรซีหยวนเหมือนเสือร้าย อายเจียในฐานะแม่คนหนึ่งทำได้เต็มที่ในส่วนที่แม่คนหนึ่งจะทำให้ลูกชายได้แล้ว ”
“เชื่อหรือไม่นั้น ฉู่เย่ต้องเข้าใจในความหวังดีของอายเจีย ส่วนฉู่ลี่ก็ย่อมเข้าใจความลำบากใจของอายเจียเช่นกัน”
มู่อวิ๋นจิ่นหมดคำพูดที่จะคุยกับฉินไท่เฟย จิตใจของนางในเวลานี้ จับจ้องไปกับเื่ของโองการลับ หรงเฟยเป็คนที่ฉู่ลี่เคารพรักที่สุด หากโองการลับนั้นชี้ว่าหรงเฟยเป็ปีศาจ ไม่รู้ว่าฉู่ลี่จะรู้สึกเช่นไร
ถึงตอนนั้น ตำแหน่งรัชทายาทไปอยู่ในมือคนอื่น กับเื่ท่านแม่แท้ๆ ถูกปรักปรำเป็ปีศาจ ไม่รู้ว่าจะเป็การโจมตีที่หนักอึ้งมากเพียงใด
“ขอบพระทัยที่ไท่เฟยบอกเื่นี้ด้วยความจริงใจ หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นอำลาเสร็จก็รีบวิ่งไปที่ประตู ทิ้งท้ายประโยคสั้นว่า “รีบตายๆ ซะเถอะ มีชีวิตอยู่ก็แปดเปื้อนที่นี่สกปรกไปหมด”
ต่อจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเดินออกไป
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นจากไปแล้ว ฉินไท่เฟยมองคานที่อยู่้า แสยะยิ้มพึมพำกับตนเอง “จิ่นเอ๋อร์ โองการลับเมื่อครู่ข้าแต่งหลอกเ้า แต่โองการลับจริงอยู่ที่นี่ต่างหาก”
ฉินไท่เฟยควักกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นจากอก คลี่เปิดออกดูพบข้อความด้านในเขียนว่า “มู่อวิ๋นจิ่น เ้าไม่ใช่เืเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของจวนอัครเสนาบดีมู่ แต่เป็ลูกลับๆ ที่เกิดจากสตรีอันดับหนึ่งของอาณาจักรหนานถิง ที่ชื่อว่าเจียงชิงเสวี่ย”
……
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเดินออกจากตำหนักฉินไท่เฟยแล้ว สีหน้าของนางซีดขาวในทันใด ยิ่งเห็นฉู่ลี่ที่นั่งรออยู่ด้านนอกเกิดความรู้สึกไม่เป็ธรรมขึ้น
“เ้าเป็อะไรไป?” ฉู่ลี่ลุกขึ้นมากยืนใกล้ๆ มู่อวิ๋นจิ่น พลางยื่นมือไปดึงนางมาโอบกอดไว้
การโอบกอดที่มาแบบตั้งตัวไม่ทัน ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นจิตใจสงบลง มู่อวิ๋นจิ่นคิดหนักอยู่ว่าเื่นี้ควรบอกฉู่ลี่ให้รู้ตัวล่วงหน้าก่อนได้ดีไหม
“เป็อะไรไป?” ฉู่ลี่ก้มหน้าลงมาถามอีกครั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา “ไม่มีอะไร พวกเรากลับจวนกันเถอะ”
“ได้” ฉู่ลี่กุมมือนางเดินไป
มู่อวิ๋นจิ่นใช้โอกาสที่จับมือฉู่ลี่เล่าขึ้นว่า “หากฉินไท่เฟยไม่ไหวแล้ว เ้าจะเสียใจไหม?”
“ไม่แม้แต่น้อย เกิดแก่เจ็บตายเป็ธรรมชาติของชีวิต” ฉู่ลี่หน้านิ่ง
“เช่นนั้นก็ดี” มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจโล่งอก ก่อนเอ่ยขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้สดๆ ร้อนๆ “เ้าพาข้าไปวัดสุ่ยอวิ๋นเถอะ!”