“ใครบอกว่าไม่ใช่ล่ะ” คนผู้นั้นพูด “ครานี้ท่านาุโหานไม่ยอมแพ้ จึงขอประลองกับนางอีกครั้งในตอนบ่าย ทุกคนจึงมาชมการแข่งขัน!”
มู่ชิงหว่านหัวเราะ “น่าสนใจ! นางกำนัลคนนั้นชื่ออะไร เป็ใครมาจากไหนหรือ”
คนผู้นั้นครุ่นคิด “ดูเหมือนจะแซ่เฟิง ส่วนชื่ออะไรนั้น ข้าไม่รู้”
มู่ชิงหว่าน “แซ่เฟิงหรือ”
“แต่ข้ารู้จักคุณชายที่มาพร้อมกับนาง!” คนผู้นั้นพูด “เขาเหมือนจะเป็คุณชายรองสกุลมู่ และเป็ศิษย์คนสุดท้ายของจิตรกรเอก มีชื่อเสียงยิ่ง!”
สีหน้าท่าทางของมู่ชิงหว่านเปลี่ยนแปลงไปมา “เ้าจะบอกว่าคุณชายท่านนั้นชื่อ มู่ชิงเซียว ใช่หรือไม่”
คนผู้นั้นพยักหน้า “ใช่ๆๆ คือคุณชายมู่ มู่ชิงเซียว!”
มู่ชิงหว่านถึงโง่งมไปทันที
นางกำนัลคนหนึ่งหรือ นักเดินหมากมือสมัครเล่นคนหนึ่งหรือ ยังมีอีก คนที่มาพร้อมกับนางคือมู่ชิงเซียวหรือ
คนที่เข้าลักษณะนี้ก็มีเพียงคนเพียงคนเดียวมิใช่หรือ
นาง นาง นาง...นางถึงกับเดินหมากล้อมได้
ซ้ำยังเอาชนะยอดฝีมือระดับเจ็ด
จะเป็ไปได้อย่างไรกัน
เหตุใดนางจึงไม่ขึ้น์ไปเลยล่ะ
“คุณหนู ท่านไม่เป็ไรกระมังเ้าคะ สีหน้าของท่านไม่ค่อยดี!” สาวใช้ถามอย่างเอาใจใส่
มู่ชิงหว่านส่ายหน้าหวือ นางพูดกับตนเอง “เป็ไปไม่ได้! จะต้องเป็พี่รองที่คอยช่วยเหลือนางอยู่ ดังนั้นนางจึงชนะการเดินหมาก! ถูกต้อง พี่รองวาดภาพเป็และเดินหมากได้ หากพี่รองเอาจริงขึ้นมาก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะยอดฝีมือระดับเจ็ดไม่ได้! จะต้องเป็เช่นนี้แน่! เฟิงเฉี่ยนนับเป็อะไรได้ ก็แค่นางกำนัลต่ำต้อยคนหนึ่ง! ต่อให้นางทำอาหารได้ รักษาคนได้ ต่อให้นางถอนพิษได้...นางก็ยังเป็เพียงแค่นางกำนัลต๊อกต๋อยคนหนึ่ง เป็ไปไม่ได้ที่นางจะทำเป็ทุกเื่”
นางยิ่งคิดยิ่งโมโห ทั้งๆ ที่ตนเองต่างหากที่มีฐานะเป็ถึงคุณหนูพันชั่งผู้สูงศักดิ์ เหตุใดทุกครั้งที่นางพบเจอเฟิงเฉี่ยน ความโดดเด่นและข้อดีของนางกลับไม่มีเหลือ
ทำอาหารก็สู้นางไม่ได้!
ความรู้ทางการแพทย์สู้นางไม่ได้!
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการถอนพิษ...
เฟิงเฉี่ยนเป็ดาวหายนะในชีวิตของนางโดยแท้ เกิดมาเพื่อเป็ปรปักษ์กับนางอย่างแท้จริง!
สาวใช้เห็นสีหน้าของนางยิ่งย่ำแย่จึงอดที่จะถามขึ้นด้วยความเป็ห่วงไม่ได้ว่า “คุณหนู หรือาแเก่าของคุณหนูกำเริบเ้าคะ ที่นี่มีคนมากหากไม่ระวังอาจจะกระแทกถูกแผลเก่าของคุณหนูได้ พวกเรากลับไปดีหรือไม่เ้าคะ”
มู่ชิงหว่านได้ยินคำว่า “แผลเก่า” สองคำนี้ าแเหมือนจะเ็ปขึ้นมารางๆ ในใจอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจที่พร้อมจะะเิออกมาตลอดเวลา นางแผดเสียงใส่สาวใช้ว่า “เหตุใดข้าต้องไปด้วย ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อเยาะเย้ยนาง ดูว่านางจะแพ้การเดินหมากอย่างไร ดูว่านางจะอับอายขายหน้าไม่มีหน้าพบผู้คนอย่างไร!”
เสียงแผดร้องของนางออกจะดังไปสักหน่อย บริเวณโดยรอบจึงพลันเงียบเสียงลง คนทั้งหมดมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
มู่ชิงหว่านรู้สึกตัวว่าตนเองได้เสียกิริยา สองแก้มพลันรู้สึกร้อนซู่เพื่อไม่ให้ตนเองต้องขายหน้าอีก นางจึงลากสาวใช้เดินไปอีกมุมหนึ่งของห้องโถง
ท่ามกลางฝูงคนไม่ไกลออกไปนัก ลั่วหยิ่งเห็นภาพเหล่านี้อยู่ในสายตาจึงอดที่จะยกมุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มไม่ได้
เขาได้รับพระบัญชาให้มาสะกดรอยตามฮองเฮา เพื่อดูว่านางจะตามหาแมวเทพอย่างไร ใครเลยจะรู้ว่าจะบังเอิญมาพบเห็นฉากนี้เข้า
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ชุมนุมเดินหมาก เขาได้วางหูตาไว้ในที่ลับหลายคนเพื่อทำการคุ้มกันเหนียงเหนียงได้ตลอดเวลา เขาส่งสายตาเป็สัญญาณให้พวกเขา แล้วออกไปจากชุมนุมเดินหมากอย่างรีบเร่งเพื่อกลับไปรายงานต่อฝ่าา
ภายในห้องทรงพระอักษรในตอนนี้ “ทูลฝ่าา ไท่จื่อขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรียกตัว!” เซวียนหยวนเช่อกล่าว
องค์ไท่จื่อน้อยเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรในเวลาไม่นานนัก เท้าเล็กๆ ทั้งคู่วิ่งเหยาะๆ เข้ามาก่อน เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงกฎระเบียบ จึงผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเดินเข้าไปหาเซวียนหยวนเช่อทีละก้าวๆ แล้วถวายบังคมเต็มพิธีการ
“ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อเหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดเรียบๆ “ลุกขึ้นเถิด!”
หลังจากไท่จื่อน้อยลุกขึ้นแล้วก็เอาแต่จับจ้องสายตามองเขาเขม็ง เสียงอ่อนราวกับข้าวเหนียวนั้นดังขึ้น “เสด็จพ่อ พวกเขาล้วนพูดกันว่าเสด็จแม่เดิมพันกับเสด็จย่า หากเสด็จแม่ไม่อาจหาแมวเทพสามหางพบภายในเวลาห้าวัน เสด็จแม่ต้องไปจากวังหลวง นี่เป็เื่จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
พูดแล้วก็กระบอกตาแดงก่ำ
เซวียนหยวนเช่อขมวดคิ้วไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากตรงไหนดี
องค์ไท่จื่อน้อยจวนจะร่ำไห้ออกมาแล้ว เขาวิ่งมาหยุดเบื้องหน้าเซวียนหยวนเช่อพร้อมกับกอดแขนของเขาไว้ “เสด็จพ่อ เย่เอ๋อร์ไม่้าให้เสด็จแม่ไปจากที่นี่! เย่เอ๋อร์ไม่อยากกลายเป็เด็กที่ไม่มีแม่! ฮือๆๆ...”
เซวียนหยวนเช่อขมวดคิ้ว “ร้องไห้ทำไมกัน เสด็จแม่ของเ้ายังไม่ได้ไปจากที่นี่มิใช่หรือ”
องค์ไท่จื่อน้อยปาดน้ำมูกน้ำตา พูดสะอึกสะอื้น “ตอนนี้ยังไม่ไปจากที่นี่ แต่ห้าวันให้หลังอาจจะต้องจากไปนี่นา เสด็จพ่อ เย่เอ๋อร์ขอร้องท่าน อย่าให้เสด็จแม่จากไป ให้นางรั้งอยู่ที่นี่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อมองท่าทางน่าสงสารของเขาแล้วถอนใจเบาๆ เขาลูบศีรษะเล็กๆ นั้น “เื่ของเสด็จแม่เ้ามิได้ง่ายดายเช่นที่เ้าคิด การร้องไห้ไม่อาจแก้ปัญหาได้”
องค์ไท่จื่อเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา ถามอย่างน่าเวทนา “เช่นนั้นต้องแก้ไขอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยวนเช่อไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
ลั่วหยิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกตอนนี้เอง “ถวายบังคมฝ่าา!”
เซวียนหยวนเช่อเงยหน้า “เป็อย่างไร”
ลั่วหยิ่งรายงานสถานการณ์ “ทูลฝ่าา กระหม่อมได้ทำตามพระบัญชา ให้หลิวต้าซือนำเบาะแสของแมวเทพบอกกล่าวแก่ฮองเฮา ตอนนี้เหนียงเหนียงอยู่ในชุมนุมเดินหมากเทียนหยวนพ่ะย่ะค่ะ นางตามหาหานไท่ฟู่พบแล้ว เพียงแต่...”
“เพียงแต่อันใด” เซวียนหยวนเช่อถาม
ลั่วหยิ่ง “เพียงแต่ดูเหมือนระหว่างเหนียงเหนียงและหานไท่ฟู่จะมีเื่เข้าใจผิดกันอยู่ เวลานี้คนทั้งสองกำลังเดินหมากอยู่ในชุมนุมเดินหมากพ่ะย่ะค่ะ เป็การประลองเพียงครั้งเดียวรู้ผลแพ้ชนะ!”
องค์ไท่จื่อน้อยรีบเช็ดน้ำตาจนแห้ง ดวงตาของเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “เสด็จแม่เดินหมากกับหานไท่ฟู่หรือ”
ลั่วหยิ่งพยักหน้ายิ้มๆ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ทูลไท่จื่อ ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังสามารถเอาชนะหานไท่ฟู่สองกระดานติดๆ กันพ่ะย่ะค่ะ!”
ริมฝีปากขององค์ไท่จื่ออ้าออกเป็วงกลม “เสด็จแม่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว”
ลั่วหยิ่งหัวเราะ “ได้ยินว่ากระดานที่สอง เหนียงเหนียงยังต่อให้หานไท่ฟู่สองก้าวพ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากขององค์ไท่จื่อกลมกว้างยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะใส่ไข่ไก่ได้ฟองหนึ่ง “เสด็จแม่เก่งกาจเหลือเกิน!”
ครั้งนี้กระทั่งเซวียนหยวนเช่อก็ยังต้องเลิกคิ้ว ทว่าเขาไม่พูดจา
ลั่วหยิ่งพูดต่อ “เหนียงเหนียงนัดหมายประลองกับหานไท่ฟู่อีกครั้งในตอนบ่าย! เมื่อสักครู่ที่กระหม่อมกลับมา การเดินหมากยังไม่เริ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ภายในชุมนุมเดินหมากเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนล้วนให้ความสนใจการเดินหมากกระดานนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาทั้งคู่ขององค์ไท่จื่อทอประกายวาบ เขากระตุกแขนเสื้อของเซวียนหยวนเช่อ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ พวกเราไปดูเถิด ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เย่เอ๋อร์อยากไปดูเสด็จแม่เดินหมาก!”
เซวียนหยวนเช่อส่ายหน้าทันที “ไม่ได้! ในชุมนุมเดินหมากคนมากเกินไป เ้าไปไม่ได้!”
ใบหน้าเล็กๆ นั้นยู่เป็ก้อนกลมๆ องค์ไท่จื่อน้อยผิดหวังอย่างที่สุด
เซวียนหยวนเช่อมองเขาครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่เ้าชมการเดินหมากที่นี่ได้!”
“ที่นี่หรือ” องค์ไท่จื่อน้อยเบิกตากลมโตด้วยความแปลกใจ
เซวียนหยวนเช่อส่งสายตาให้กับลั่วหยิ่ง ลั่วหยิ่งชะงักไปอึดใจหนึ่งแล้วรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ไม่นานนัก ภายในห้องทรงพระอักษรปรากฏกระดานหมากกระดานหนึ่ง บรรดาขันที องครักษ์ล้วนวิ่งไปมา นับั้แ่ห้องทรงพระอักษรถึงประตูวัง ตั้งแถวระยะทุกสิบก้าวจะมีขันทีหนึ่งคน เพื่อรายงานการเคลื่อนไหว นอกประตูวังมีทหารม้าหน่วยหนึ่งพร้อมออกเดินทางตลอดเวลา
เฟิ่งเฉี่ยนไม่รู้เลยว่าการเดินหมากกระดานนี้ของตนเกือบจะทำให้เมืองมู่หยางทั้งเมืองพลิกคว่ำคะมำหงาย
นางในตอนนี้กำลังเหวี่ยงแขนและนวดไหล่อยู่ในห้องพิเศษอย่างสบายอกสบายใจ