เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนสำนักศึกษาจะเปิดภาคเรียน ระหว่างนั้นิเยี่ยจึงพาิหยวนตระเวนไปทั่วเมืองเจี้ยนคัง ไก่นึ่งคืออาหารที่ประมุขตระกูลหวังโปรดปรานที่สุด คุณชายรองตระกูลเซี่ยชื่นชอบสุราเป็ชีวิตจิตใจ ผงห้าศิลาจากหอหลางหยาคุณภาพดีที่สุด หาก้าผงเซียวเหยาต้องไปที่ร้านตรงข้ามภัตตาคารชุนเฟิง ตรงนี้คือเขตหวงห้าม เข้าได้เฉพาะเชื้อพระวงศ์ ตรงนั้นคือป่าช้าที่เต็มไปด้วยกองกระดูกคนจน เื่น้อยใหญ่รายละเอียดยิบย่อยในเมืองหลวงถูกถ่ายทอดแก่ิหยวนจนหมดสิ้น
“เยี่ยเก้อเอ๋อร์” ิหยวนเหลือบตามองอีกฝ่าย จงใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนคนมีอายุ “ก่อนข้าจะออกเดินทาง ท่านลุงฝากข้ามาถามเ้า”
ิเยี่ยดึงหน้าเข้มพร้อมโค้งคำนับแบบขอไปที ยามนี้เป็ยุคสมัยที่บิดากับบุตรปฏิบัติต่อกันเหมือนขุนนางกับกษัตริย์จึงต้องมีพีธีตรอง “ใต้เท้าท่านพ่อโปรดถามมาได้เลย”
“เล่าเรียนมาเป็ปี อ่านตำราไปแล้วกี่วัน?”
“ลูกเรียนหนักทุกวัน ความรู้ค่อนข้างก้าวหน้ามากขอรับ” ิเยี่ยตอบเสียงเคร่งขรึม ยืดตัวตรง ยักคิ้วหลิวตาเย้าแหย่ิหยวน “คนในสำนักศึกษากลางนิสัยใจคอเป็อย่างไรเ้าไม่รู้หรือ? อย่าหาว่าข้าโม้ พวกคุณชายทั้งหลายเทียบข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หากจะพูดถึงในแง่ของความรู้ คนที่อ่านคัมภีร์เมิ่งจื่อจบแล้วนั้นมีไม่กี่คน ในบรรดาศิษย์ในสำนัก ข้าจัดว่าอยู่แถวหน้า ตอนสอบพวกเขายังอยากลอกข้า สรุปก็คือข้าทั้งรู้จักธรรมเนียมจารีต ทั้งยังมีความรู้ความสามารถโดดเด่น ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ิหยวนได้แต่กลอกตา “ถูกต้องๆ คุณชายสามพูดถูกทั้งหมด”
หลังจากเที่ยวชมเมืองหลวง ิเยี่ยก็จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ภัตตาคารชุนเฟิง โดยมีแขกเป็บรรดาหนุ่มน้อยอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด บรรยากาศงานเลี้ยงจึงครึกครื้นมาก หลังแขกทุกคนมากันพร้อมหน้า ิเยี่ยก็ทำหน้าที่แนะนำพวกเขาทีละคน “ท่านนี้คือคุณชายเฉา เฉินหลิวอ๋องคือท่านลุงของบิดาเขา”
เฉาอู๋จวี้ส่งยิ้มให้ิหยวน “น้องชายเดินทางมาไกลคงเหนื่อยไม่น้อย”
วางตัวดีสงวนท่าทีกริยาวาจา ทั้งบุคลิกและกิริยาท่าทางสุขุมนุ่มลึกดูเป็ผู้ใหญ่ ทว่าิหยวนก็มิได้แปลกใจ แม้วันเวลาจะผันผ่านมาหลายร้อยปี ถึงกระนั้นความเป็คนในราชวงศ์ในชาติก่อนก็ยังคงอยู่ การระมัดระวังคำพูดและการกระทำนั้นคือหนึ่งในวิธีการปกป้องตนเอง
“ท่านผู้นี้คือคุณชายหม่าน นามว่าหม่านหรง อายุสิบเจ็ด เป็ทายาทลำดับที่สิบเจ็ด เราจึงเรียกเขาว่าหม่านสือชี บรรพบุรุษของเขาเป็ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง ซึ่งก็คือหม่านไทเว่ยในราชวงศ์ก่อน”
แม้หม่านหรงอยู่ในท่านั่งคุกเข่า ทว่าความสูงของเขาก็ยังโดดเด่นที่สุดในบรรดาคุณชายทั้งหมด เขาดูสูงส่งจนผู้คนต้องตกตะลึง ิหยวนสะดุ้งโหยง เพราะเขายื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเรียกสติ ก่อนจะหัวเราะพร้อมบ่น “ไม่เอาน่าๆ ตอนนี้ข้าเป็เพียงคุณชายตกอับ ขอบคุณน้องสามิที่ยังให้เกียรติเชิญข้ามาร่วมดื่มกิน แล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงบรรพบุรุษข้าแล้ว ข้าทำตัวไม่ถูก น้องสามิอยู่ที่นี่มาปีกว่า เอาแต่พูดถึงหยวนเก้อเอ๋อร์ จนพวกเราอยากเจอเ้าเต็มทน อยากเห็นผู้อัจฉริยะว่าหน้าตาเป็เช่นไร ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
ิหยวนชอบท่าทางร่าเริงสดใสของคนผู้นี้ แต่พอถูกเขาเยินยอปานนั้น ิหยวนก็พลันหน้าแดง รีบวาดมือโค้งคำนับ “ชมเกินไปแล้ว เยี่ยเก้อเอ๋อร์คงคิดถึงบ้านถึงลืมน้องชายไม่ลง” ิหยวนประสานมือคารวะ “ิหยวนก็แค่บัณฑิตทั่วไป มิได้มีสามหัวหกแขน [1]”
“หยวนเก้อเอ๋อร์ ไยเ้าต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้” หม่านหรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางกวาดตามองคนตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะเอ่ยชม “สรุปแล้วเป็อัฉริยะจริงด้วย”
คนที่เหลือล้วนเป็ลูกหลานตระกูลชนชั้นกลาง คนหนึ่งแซ่หวัง นามว่าหวังอี้จือ ิเยี่ยไม่ได้ลงรายละเอียดเื่ภูมิหลังของเขา ทั้งยังไม่ได้ชี้แจงว่าอี้จือเป็ชื่อหลักหรือชื่อรอง ไม่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนแซ่หวังผู้เรืองนามคนนั้นหรือไม่ เขาไม่เอ่ยถึง ไม่ควรเอ่ยถึง ิหยวนยิ่งไม่คิดจะถาม ทั้งยังแสร้งทำเป็ไม่รู้
ิหยวนอายุน้อยที่สุดตามที่คาดไว้ เขาจึงต้องรินเหล้าให้บรรดาคุณชายทีละคนๆ พวกเขาล้วนเป็เด็กหนุ่ม กินดื่มสนทนาด้วยกันสักพักก็เริ่มสนิทสนมคุ้นเคย หัวข้อสนทนามีั้แ่เื่บทกวี บทเพลง ไปจนถึงข่าวสารบ้านเมือง แม้ระดับความรู้ยังไม่สูง ทว่าพวกเขาไม่ใช่บัณฑิตพูดจาเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อยไร้สาระเท่านั้น
ิหยวนพยักหน้าชื่นชมิเยี่ย ิเยี่ยก็ยิ่งภูมิอกภูมิใจที่ตนเองมีความสามารถในด้านจดจำผู้คน ท่าทางเขาดีใจจนหางกระดิก
ร่ำสุราสนทนาพาทีได้พักหนึ่ง จู่ๆ ิเยี่ยก็เอ่ยถึงเื่วันก่อน ปรากฎว่ารถม้าที่ถูกเซี่ยฮุยขี่ม้าชนจนเสียหลักเป็ถึงรถม้าของรองเสนาบดีในราชสำนัก กระทำการอุกอาจมาก
“เกิดเื่ขนาดนี้ไม่มีผู้ใดร้องเรียนเลยหรือ?” ิหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ร้องเรียน?” ทุกคนหลุดหัวเราะ “ร้องเรียนคุณชายเซี่ยหรือร้องเรียนเซี่ยไท่ฟู่ ข้าเตือนเ้าไว้ก่อนเลยว่าให้หลีกเลี่ยงคนผู้นี้ให้ถึงที่สุด เขาคือคุณชายสูงศักดิ์อันดับหนึ่ง”
ิหยวนเกิดความอยากรู้อยากเห็น “ท่านเอาแต่พูดว่า ‘อันดับหนึ่ง' เหมือนกำลังเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงใครบางคนอยู่ตลอด ยังมีผู้ใดอีกหรือ?”
“คืออย่างนี้…” ิเยี่ยเตรียมเล่าเื่ท่าทางขยันขันแข็ง แม้เื่เรียนเขาจะไม่ถนัด แต่เื่ชาวบ้านนั้นเขาเชี่ยวชาญอย่างถึงที่สุด เขาจึงเริ่มเทถั่วหมดกระบอกทันที
ยามนั้นตระกูลใหญ่ปกครองร่วมกับราชวงศ์ ฮ่องเต้ต้องอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลใหญ่ หากไม่ได้รับการยอมรับจากคนเ่าั้ แม้จะได้ครองบัลลังก์ ทว่าขาบัลลังก์หาได้มั่นคงไม่ จึงไม่ใช่เื่แปลกที่หลายราชวงศ์จะอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี ขุนนางตระกูลใหญ่ที่สืบทอดอำนาจหลายชั่วอายุคนนั้นมีไม่น้อย ทว่าตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในยามนี้มีเพียงสองตระกูลก็คือหวังและเซี่ย
“เ้าเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘จือหลันหายากไม้ยกงามจากตระกูลเซี่ย หยกทองล้ำค่ากองเต็มหน้าจวนตระกูลหวัง นกเหยี่ยวนับร้อยบินสู่รังตระกูลหวน ราษฎรหลายครัวเรือนในเมืองสือโถว’ หรือไม่?”
กล่าวขานกันมาเช่นนี้ ทว่าั้แ่การยกทัพบุกทางเหนือได้รับความแพ้พ่าย หวนกงสิ้นชีพในสนามรบ อำนาจของตระกูลหวนจึงเสื่อมถอย ยามนี้อำนาจที่มีจึงเทียบกับตระกูลเซี่ยและหวังไม่ได้ แต่ก็ยังจัดอยู่ในระดับรองลงมาเช่นเดียวกับตระกูลฉี เซวีย เฉา และตระกูลอื่นๆ ยังมีเหล่าตระกูลที่มีสถานะไม่ชัดเจน แต่มั่นคงและอยู่มานานอย่างตระกูลเยี่ยน หลู หนิง เฉิง และอีกหลายสิบหลายร้อยตระกูลที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ล้วนแล้วแต่มีบรรพบุรุษเป็บุคคลสำคัญในอดีต
“ยังมีคุณชายผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่ง สถานะสูงส่งเสียยิ่งกว่าสูงส่ง แต่คนผู้นี้ไม่จำเป็ต้องหลบเลี่ยง...”
“ผู้ใด?”
ิหยวนสังเกตเห็นว่าพอิเยี่ยพูดถึงคนผู้นี้ ทุกคนในที่นี้ต่างยกยิ้มเหมือนเข้าอกเข้าใจเป็อย่างดี
“คุณชายฉางผิง นามว่าหยางจวิน”
ิหยวนตัวแข็งทื่นทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ฉางผิง…ชื่อนี้…
ทว่าหยางจวินไม่ได้แซ่เว่ย แต่ก็เป็เชื้อพระวงศ์ มารดาคือองค์หญิงใหญ่ในราชวงศ์ก่อน และเป็พระปิตุจฉาของฮ่องเต้ในยามนั้น
นางอภิเษกครั้งแรกกับอันกั๋วโหว ทว่าอันกั๋วโหวอายุสั้น จากไปทั้งที่ยังไม่มีบุตรสืบสกุล นางจึงอภิเษกใหม่กับหย่งหนิงโหวที่เป็ม่ายเหมือนกัน เป็ตำแหน่งที่บุตรชายคนโตในตระกูลหยางได้รับการสืบทอดกันมา ยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ หยางจวินผู้เป็โอรสขององค์หญิงใหญ่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็ฉางผิงป๋อ เป็ที่เื่ลือกันว่าฮ่องเต้องค์ก่อนทรงอุ้มหยางจวินในยามนั้นเพื่อเลือกชื่อบรรดาศักดิ์ด้วยตนเอง พอเขาจับได้คำว่าฉางผิง ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ทรงยินดีปรีดากล่าวชื่นชมเขาว่าเลือกได้ดี อายุยืนยาว ใต้หล้าสงบสุข [2]
มีข่าวลือว่าเมื่อหยางจวินเติบโตจะได้รับตำแหน่งโหว ทว่าหลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเื่นี้อีก
หม่านหรงคลี่ยิ้ม “เดิมทีข้าก็บอกให้พี่เยี่ยส่งเทียบเชิญให้เขาด้วย แต่พี่เยี่ยก็ไม่ยอมส่ง ความจริงแล้วท่านป๋อน้อยก็ไม่ได้เ้ายศเ้าอย่างอันใด ชอบทำความรู้จักสหายใหม่เสียด้วยซ้ำ หลายคนที่นี่ก็สนิทสนมกับเขาดี หากเขามาล่ะก็จะต้องครึกครื้นยิ่งกว่านี้แน่”
“เหอะ! คนผู้นั้นทำตัวเหมือนท่านป๋อน้อยที่ใดกัน” คนในโต๊ะต่างหัวเราะร่า
มีเพียงิหยวนที่ทำหน้างง ิเยี่ยจึงหันมาบอกเขาว่าพอได้พบคนผู้นั้นแล้วจะเข้าใจเอง เอ่ยจบก็หันกลับไปคุยกับหม่านหรง “ไม่รู้ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะใด อีกอย่างตอนนี้เขาคงไม่อยู่ในเมืองเจี้ยนคัง”
ทุกคนหัวเราะทันที ที่แท้ิเยี่ยไม่เชิญก็เพราะเหตุนี้
“เขาช่างเป็คนที่แปลกประหลาดยิ่งนัก อย่าว่าแต่สำนักศึกษาหลวง แม้แต่สำนักศึกษากลางหากอยากเข้าศึกษาก็ใช่ว่าจะเข้าได้ง่ายๆ ทว่าเื่นี้ไม่ใช่ปัญหากับคนที่มีสถานะอย่างเขา สำนักศึกษาหลวงนั้นเก่าแก่และมีมานานหลายร้อยปี แม้มีการเปิดให้สอบเข้า แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สอบผ่าน คุณชายฉางผิงผู้นี้ไม่สนใจระบบฉาจวี่ เลือกที่จะปิดบังชื่อแซ่สมัครสอบด้วยตนเอง ใช้เวลาอยู่สามปี ในที่สุดก็สอบผ่าน พอตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยก็สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนทั้งเมืองเจี้ยนคัง ต่างยกย่องชื่นชมเขา ผลคือเรียนได้สองเดือนก็ลาออก พร้อมทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค‘ชื่อเสียงนั้นเป็เท็จ ไม่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง’ ก่อนจะทิ้งพู่กันหันไปจับดาบขี่ม้ามุ่งหน้าสู่กองทัพเป่ยฝู่”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] สามหัวหกแขน (三头六臂) หมายถึง มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนทั่วไป
[2] อายุยืนยาว ใต้หล้าสงบสุข (岁岁长平,天下长平) เนื่องจากชื่อฉางผิง (长平) ฉางมีความหมายว่ายาวหรือยาวนาน ส่วนผิงมาจากคำว่าผิงอัน (平安) มีความหมายว่าสงบสุข ราบรื่น หรือความสันติ