ทังหงเอินกับจี้หย่าหย่าร้างกันมานานถึงสิบสองปี คุณตาจี้คืออดีตพ่อตาของทังหงเอิน
เมื่อคุณตาจี้เสียชีวิต แม้เขาจะไม่ได้ร่วมพิธีไว้อาลัยและพิธีฝังศพ แต่เขาไปเคารพสุสานเพื่อแสดงถึงความอาลัยได้ ถือเป็การแสดงเจตนารมณ์ของตนเท่าที่เขาจะสามารถทำได้
ตอนเขายังไม่ได้หย่ากับจี้หย่า ผู้เฒ่าจี้คือผู้าุโที่ทังหงเอินให้ความเคารพเป็อย่างมาก
ทว่าหลังหย่าร้าง คนตระกูลจี้เปลี่ยนท่าที่ที่เคยปฏิบัติกับเขาไปจนหมดสิ้น แม้แต่ผู้เฒ่าจี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ทังหงเอินไม่อยากขุดคุ้ยเื่ในอดีต เื่มันผ่านไปเป็สิบปีแล้ว จะมาตัดสินถูกผิดก็คงลำบาก เขาไม่อยากคาดหวังกับผู้อื่น เพียงทำในสิ่งที่ตนสมควรทำก็พอแล้ว
—-----------------------------------------------------
กรุงปักกิ่ง
เฉินซีเหลียงเพิ่งเคยนั่งเครื่องบินครั้งแรก
ที่จริงด้วยฐานะของเถ้าแก่เฉิน เวลาเดินทางไกลจะนั่งเครื่องบินตลอดย่อมไม่ะเืเงินในกระเป๋าสตางค์ แต่ตั๋วเครื่องบินหาซื้อได้ยากเหลือเกิน ค่านิยมเดิมๆ ก็แก้ยากเช่นกัน ทุกคนหาเงินมาได้อย่างยากลำบาก เสื้อผ้าขายส่งหนึ่งชุดทำกำไรแค่ไม่กี่หยวนเท่านั้น นั่งเครื่องบินหนึ่งครั้งต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่หากเลือกเดินทางด้วยรถไฟ จากหยางเฉิงมาที่ปักกิ่งนั้นใช้เวลานานเกินไป!
ในที่สุดเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยอมร่วมทุนทำแบรนด์เสื้อผ้าสตรีกับเขาแล้ว เฉินซีเหลียงรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่อยากนั่งรถไฟเพราะใช้เวลานานเกินไป จึงขอให้คนช่วยซื้อตั๋วเครื่องบินไปปักกิ่งให้สักใบ หลังได้รับโทรเลขจากเซี่ยเสี่ยวหลาน เขาก็เร่งเดินทางมากรุงปักกิ่งโดยเร็วที่สุด
หลังลงจากเครื่องบิน เขาก็ถูกสายลมหนาวของลานจอดเครื่องบินทำเอาสั่นไปทั้งตัว
ชาวหยางเฉิงปรับตัวรับกับสภาพอากาศหนาวเย็นของทางเหนือได้ยาก ตอนนี้ในสมองของเฉินซีเหลียงมีเพียงความคิดเดียวคือ ที่ปักกิ่ง่ฤดูหนาวไม่เหมาะกับการขายเสื้อคลุมกันหนาวทั่วไป เสื้อบุคอตตอนกับเสื้อขนเป็ดต่างหากที่ควรนำมาจำหน่ายอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะเสื้อขนเป็ดที่อบอุ่นและเบากว่าเสื้อบุคอตตอน
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าขนเป็ดที่นำมาใช้ยังไม่ละเอียดพอ ให้เฉินซีเหลียงหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ เช่นนั้นถ้าขนเป็ดที่ยัดใส่ตัวเสื้อไม่มีก้านขน เสื้อขนเป็ดก็จะถูกเรียกว่า ‘เสื้อบุขนสัตว์’ และเสื้อตัวหนึ่งอาจจะใช้ขนเป็ดเพียง 100 กรัมเท่านั้น แต่ให้ความอบอุ่นได้มากกว่าเสื้อบุคอตตอนที่ทั้งหนาและหนักอย่างแน่นอน
นี่คือปัญหาด้านเทคนิคของด้านอุตสาหกรรม ความจริงแล้วแบรนด์สินค้าที่ยังไม่ทันได้ก่อตั้งไม่จำเป็ต้องคิดไกลถึงเพียงนั้น แต่หากแบรนด์ไหนได้เทคโนโลยีที่คนอื่นไม่มี นั่นก็จะกลายเป็จุดเด่นของแบรนด์ ดังนั้นนี่คือเื่ที่สมควรคิดไว้มิใช่หรือ?
เฉินซีเหลียงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานเรียกว่า ‘อำนาจในการแข่งขันของแบรนด์สินค้า’ มาโดยตลอด เขารู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีความรู้กว้างขวางเหลือเกิน นักศึกษามหาวิทยาลัยฉลาดแบบนี้กันทุกคนเลยหรือ ทว่าเฉินซีเหลียงรู้จักนักศึกษาที่ฉลาดล้ำเลิศอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานแค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะปล่อยมือจากเธอเป็อันขาด
จากสถานการณ์ปัจจุบัน การขายส่งอาจจะทำเงินได้มากกว่าการทำแบรนด์เสื้อผ้าสตรี เพราะการขายส่งเสื้อผ้าไม่จำเป็ต้องพิจารณาอะไรมากมาย
ทว่าคนเราควรวางแผนเผื่ออนาคต และควรมี ‘ความฝัน’ บ้าง เฉินซีเหลียงรักธุรกิจเสื้อผ้า แน่นอนว่าเขามีความฝันอยากเป็นักออกแบบ และอยากสร้างธุรกิจเป็ของตัวเอง!
เดินออกไปไหนก็จะถูกคนเห็นเป็พวกนักธุรกิจ ถูกข้าราชการดูแคลน ความรู้สึกเช่นนี้มันแย่เหลือเกิน เป็เถ้าแก่ค้าส่งหาได้แค่เงินทอง แต่ของที่ไม่ใช่เงินอย่างสถานะทางสังคมเล่า? เฉินซีเหลียงคิดไปคิดมา เหอฉงเซิงพี่เขยเขาใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาเงินเดือนเพียงอย่างเดียว รายได้ห่างไกลจากเขานัก แต่สถานะทางสังคมของเหอฉงเซิงกลับอยู่สูงกว่าเขามาก เพราะเหอฉงเซิงเป็เ้าของโรงงานผลิตเสื้อผ้า อีกทั้งต้องดูแลพนักงานมากมาย และเขาเป็ ‘เ้านาย’ !
จะให้เฉินซีเหลียงกลับไปทำงานที่โรงงานคงไม่มีทางเป็ไปได้ เพราะเขาไม่สามารถขาดเงินได้ แต่ถ้าอยากได้สถานะทางสังคมด้วยควรทำอย่างไร... ก็ต้องเปลี่ยนจากการค้าส่งมาทำแบรนด์ของตัวเอง เป็นักอุตสาหกรรม ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม เสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ หาใช่เป็เพียงพ่อค้าธรรมดาสามัญ การทำเช่นนี้จะทำให้เขามีสถานะทางสังคม
“ฟังจากที่พูดมา ในที่สุดคุณก็สามารถขจัดม่านหมอกที่บดบังตาออกไปจนหมดแล้วสินะ”
ทั้งสองคนได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด บอกเล่าความคิดของตัวเองอย่างชัดเจน ด้านหน้าเฉินซีเหลียงกับเซี่ยเสี่ยวหลานมีสมุดวางอยู่คนละเล่ม ในนั้นเขียนเต็มไปด้วยความคิดยิบย่อยต่างๆ
สถานที่สนทนาไม่ใช่ร้านอาหารเล็กๆ หน้าหัวชิงอีกต่อไป
เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีที่ให้ไป ทว่าตอนนี้เธอมีบ้านที่สือช่าไห่แล้ว เมื่อมีบ้านเป็ของตัวเองย่อมคุยงานสะดวกยิ่งขึ้น
บ้านยังไม่ได้รับการเก็บกวาด เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ซื้อโต๊ะตัวใหม่มาตัวหนึ่งเพื่อวางเตาผิง บนเตามีกาน้ำวางอยู่เพื่อต้มน้ำชา สภาพแวดล้อมในการคุยงานดีกว่าโต๊ะมันแผลบในร้านอาหารมากโข
เงียบสงบไม่มีคนรบกวน แถมยังไม่ต้องกลัวถูกคนที่มหาวิทยาลัยมาเจอเข้า เมื่อพูดคุยกันได้อย่างไร้กังวล ความคิดย่อมพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำไหล
เซี่ยเสี่ยวหลานอธิบายความแตกต่างระหว่าง ‘นักเก็งกำไร’ กับ ‘นักอุตสาหกรรม’ ให้เฉินซีเหลียงฟัง
อยากรวยชั่วข้ามคืนนั้นค่อนข้างง่าย สิ่งใดทำเงินได้ก็ขายสิ่งนั้น ด้วยความสามารถของเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอไม่จำเป็ต้องพยายามอะไรมาก เมื่อถึงเวลาเหมาะสม สิ่งไหนทำเงินได้ก็ลงทุนในสิ่งนั้น การลงทุนเื่นี้เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่โง่บอกปฏิเสธออกไป แต่นอกเหนือจากนั้นล่ะ เธอคงไม่เกิดใหม่มาเพื่อเป็แค่นักเก็งกำไรอย่างแน่นอน
เป็นักอุตสาหกรรมทำเงินสู้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็สู้การเป็ดาราไม่ได้เช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นทำไมทุกคนไม่พยายามเข้าวงการบันเทิงกันให้หมดเล่า หรือเพราะวงการภาพยนตร์ยังทำกำไรไม่มากพอ นั่นเพราะยามเซี่ยเสี่ยวหลานมีเงินก็แค่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ แล้วนอนรอให้ราคามันขึ้นตามกลไกตลาด แบบนั้นไม่สบายที่สุดหรอกหรือ?
แล้วนักอุตสาหกรรมล่ะ ใครจะเป็คนทำ!
ความคิดเหล่านี้เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้เมื่อ่ที่ผ่านมา
หลังผ่านวิกฤติชีวิตมาได้ เธอก็อยากพิสูจน์ตัวเอง มาเยือนยุคสมัยนี้ทั้งทีก็ควรทำอะไรเพื่อบ้านเมืองบ้างสิ
ทั้งคู่คุยกันอยู่นาน เปิดอกบอกเล่าความคิดของตนอย่างหมดเปลือก
“ฉันเห็นด้วยกับการทำแบรนด์สินค้า แต่ฉันยังต้องเรียนหนังสือคงจะทุ่มเทเวลาให้การสร้างแบรนด์ทั้งหมดไม่ได้ อย่างมากฉันคงเป็ได้แค่ที่ปรึกษา คุณ้าเงินทุนก้อนแรกเท่าไร ฉันสามารถลงทุนให้ได้”
ไม่ว่าจะเป็ธุรกิจไหน การเริ่มจากศูนย์ย่อมยากลำบากอย่างแน่นอน หากเซี่ยเสี่ยวหลานมีเวลา ทำไมถึงต้องร่วมทุนกับเฉินซีเหลียงด้วยเล่า สู้เขี่ยเฉินซีเหลียงทิ้งแล้วทำเองไม่ดีกว่าหรือ สบายตัวกว่ามาก แต่เรี่ยวแรงของคนเรามีจำกัด การเรียนมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกับการเรียนมัธยม หัวชิงไม่มีทางยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนด้วยตัวเอง... เมื่อเธอเลือกเรียนสถาปัตยกรรมแล้วก็เท่ากับว่า เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สามารถแอบอู้ระหว่างการเป็นักศึกษาได้
ไหนจะร้านวัสดุก่อสร้าง ทำไมเธอถึงให้ไป๋เจินจูไปเปิดแผงขายของที่เผิงเฉิง นั่นก็เพราะคนคนเดียวไม่สามารถหาเงินจากทั้งโลกได้
กิจการทุกประเภทล้วนทำเงินได้ แต่เธอมีแค่คนเดียว เธอไม่ได้มีสิบแขนสิบขา เวลาและเรี่ยวแรงของเธอนั้นมีจำกัด เื่บางเื่หากมอบหมายให้คนอื่นได้ก็ควรทำ การทำให้เพื่อนของตนกลายเป็คนรวยไม่ใช่เื่ร้าย หากทุกคนช่วยๆ กันหาเงินย่อมไม่เจอทางตันอย่างแน่นอน!
เฉินซีเหลียงเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะต้องมาดูแลงานเต็มตัว ให้เธอเป็ ‘ที่ปรึกษา’ ก็ไม่เลวเหมือนกัน คอยตัดสินแนวทางของกิจการ ถึงเวลาสำคัญเฉินซีเหลียงจะได้มีคนคอยปรึกษาก่อนตัดสินใจ เื่นี้เฉินซีเหลียงคิดไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้เขาบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานลาออกจากหัวชิงแล้วไปทำงานกับเขาทุกวัน?
เฉินซีเหลียงไม่กล้าหน้าด้านขนาดนั้น
เงินลงทุนก้อนแรกคือสี่แสนหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานกับเฉินซีเหลียงลงขันกันคนละครึ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยาก่ชิงอำนาจบริหารกิจการ เธอคงไม่ไปบริหารงานเองแน่นอน อีกทั้งเฉินซีเหลียงมีทรัพยากรในธุรกิจเสื้อผ้ามากกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ดูเื่งานบริหารทั่วไป ดังนั้นเธอจึงขอถือหุ้นเพียง 45% ส่วนเฉินซีเหลียงนั้นถือหุ้น 55%
ทั้งสองคนทุ่มเทให้ ‘Luna’ มากแค่ไหน ก็จะได้กำไรมาเป็ค่าตอบแทนมากแค่นั้น
เธอไม่ได้ให้เงินสองแสนหยวนทั้งก้อนกับเฉินซีเหลียงในคราวเดียว นอกจากนี้เฉินซีเหลียงยังต้องทำการจดทะเบียนบริษัทและตราสินค้า มีงานอีกหลายอย่างที่เขาต้องดำเนินการ ตอนนี้เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว หาก Luna ้าวางขายเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าเกรงว่าคงไม่ทัน อย่างเร็วคงพอทันขายเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน!
“หน้าร้านของพวกเราควรเปิดที่ไหนดี?”
ร้านเสื้อผ้าสตรีระดับกลาง?
เซี่ยเสี่ยวหลานถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม ก่อนหน้านี้ที่ตนทำการสำรวจตลาดเพื่อเปิดร้านเสื้อผ้าของตัวเอง มันคือการเตรียมงานให้กิจการของเฉินซีเหลียงโดยแท้... ไม่สิ นี่คือกิจการของเธอกับเฉินซีเหลียง และเงินทุนเป็ของโจวเฉิง ดังนั้นเงินที่หามาได้ก็เป็ของโจวเฉิงเช่นกัน ทว่าความภาคภูมิใจในการก่อตั้งแบรนด์เป็ของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างแน่นอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้