รอยยิ้มของหลิวเต้าเซียงไม่สามารถหุบลงได้ ขอเพียงเอ่ยถึงเื่แยกบ้าน นางก็ยิ้มจนปากจะฉีกถึงใบหู “ใช่ วันนี้พ่อข้าไปหาคนในหมู่บ้าน บอกว่าจะซ่อมแซมบ้านหลังนั้นอย่างดี จึงต้องซื้ออิฐดิน จุดที่ควรซ่อมแซ่มก็ต้องทำให้ดี”
เมื่อพูดถึงการแยกบ้าน หลิวเต้าเซียงภูมิใจยิ่งนัก คนในครอบครัวของนางคอยผลักดันอยู่เื้ั ทำให้พี่น้องตระกูลหลิวเ่าั้เอ่ยถึงเื่แยกบ้านในที่สุด นางจึงไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
หัวใจของคนเราไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘ผลประโยชน์’
การที่นางทำสําเร็จได้เพราะว่าคนในตระกูลหลิวมองแต่ผลประโยชน์ ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ นี่คงโทษใครไม่ได้!
ป้าหลี่ยิ้ม “เมื่อพูดถึงเื่นี้ ข้าเกือบลืมไปว่าพอได้ยินว่าครอบครัวเ้าจะแยกออกมา ข้าไปค้นเมล็ดพันธุ์ของปีที่แล้วมาหนึ่งห่อ อีกเดี๋ยวเ้าเอากลับไปให้แม่เ้าด้วย ข้าเห็นว่าบ้านเ้าหลังนั้นแม้จะเก่าและต้องซ่อมแซม แต่ดีที่อยู่ริมน้ำ การรดน้ำผักก็สะดวกยิ่งนัก”
“ขอบคุณท่านป้าหลี่ เมื่อวานแม่ข้ายังบอกว่าจะไปถามทุกคนดูว่าบ้านไหนมีเมล็ดผักเหลือเยอะ”
หลิวเต้าเซียงพึงพอใจกับที่ตรงนั้นมาก เนื่องจากตั้งอยู่ริมน้ำและอยู่ไกลจากบ้านหลิวโดยมีแม่น้ำคั่นกลาง ไม่ว่าจะทำการเพาะปลูกหรือหลีกเลี่ยงเื่วุ่นวายของตระกูลหลิวก็นับว่าสะดวกอย่างมาก
ป้าหลี่เป็คนดี หลิวเต้าเซียงเองก็ยินดีที่ท่านแม่มีสหายเช่นนี้
“ป้าหลี่ รอบ้านข้าย้ายไปแล้วมีโรงครัว พวกท่านทั้งครอบครัวต้องไปกินข้าวร้อนๆ ที่บ้านข้าให้ได้นะ”
“ได้เลย!” ดวงตาของป้าหลี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นางหยิบที่ตักผงใส่อาหารไก่ลงไป ตั้งใจจะเอาไปเลี้ยงลูกไก่สี่สิบตัวในบ้าน
ไก่เหล่านี้หลี่ชุ่ยฮัวเลี้ยงไว้ั้แ่ปีที่แล้ว หลังจากขายไปส่วนหนึ่งก็เก็บแม่ไก่ไว้สามตัว ปรากฏว่าก่อนตรุษจีนมีไข่ฟักออกมามากมาย ตอนนี้มีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็ก
ไข่ที่เอาไปแลกเงินมาได้ หลี่ชุ่ยฮัวเอาออกมาทั้งหมด โดยตั้งใจว่าหลังจากการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนผ่านไปจะซื้อข้าวเปลือกมาไว้ที่บ้าน จะได้เอามาเลี้ยงไก่
ไก่จะวางไข่เมื่อได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่เท่านั้น
“เต้าเซียง ตามวิธีการที่เ้าสอน หลังจากที่ไก่ของเราฟักออกมาจากเปลือก มันก็แข็งแรงขึ้นจริงๆ”
ป้าหลี่ไม่เคยคิดว่าการใช้คั่งจะช่วยให้ไก่และลูกไก่มีความอบอุ่น อีกทั้งยังทำให้ไก่เหล่านี้อยู่รอดได้ในเดือนแรก
หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ ผลผลิตของยุคโบราณอยู่ในเกณฑ์ต่ำ จึงยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
ลูกไก่เดิมทีตัวเล็กอยู่แล้ว เมื่อฟักออกมาใน่อากาศหนาว แม้ว่าจะมีแม่ไก่คอยดูแล แต่อัตราการอยู่รอดก็ค่อนข้างต่ำ
นางเข้าใจความสุขของป้าหลี่ การเลี้ยงลูกไก่ให้อยู่รอดได้สำเร็จ ในสายตาของป้าหลี่ นั่นคือเงินทั้งนั้น
“แต่ปีที่แล้วเต้าเซียงเอาไก่ไปขายทั้งหมด มิเช่นนั้นปีนี้ก็คงฟักไข่ได้ไม่น้อย” หลี่ชุ่ยฮัวเอ่ยขึ้น
“ชุ่ยฮัว ครอบครัวของข้ามีที่ดินเพียงสองไร่ แล้วยังมีท่านแม่ ท่านพี่แล้วก็ข้าที่ยังว่างอยู่ ปีนี้บ้านของข้าต้องเลี้ยงไว้มากหน่อย ลำพังจะพึ่งไก่แค่นี้คงวางไข่ได้ไม่มาก อีกอย่างอากาศหนาว หากเลี้ยงที่บ้านเ้า พวกข้าก็คงดูแลไม่สะดวก”
“หืม บ้านเ้าจะเลี้ยงไว้อีกเยอะหรือ? ไก่เหล่านี้ไม่ได้กำไร ว่ากันว่าต้องใช้ข้าวแลกกับไก่เพียงหนึ่งชั่ง หากจะเลี้ยงไก่ให้ดี ก็ต้องเปลืองอาหารไม่น้อย เพราะไก่กินไม่น้อยไปกว่าผู้ใหญ่หนึ่งคน”
แม้ว่าป้าหลี่จะบอกว่าทําเงินได้ แต่ในความเข้าใจของนาง การเลี้ยงไก่ต้องใช้ผักป่าและรำข้าวแทนข้าวเปลือกมากมาย เช่นนี้จึงจะพอมีกำไร
“มั่นใจได้ ข้ามีวิธี นอกจากนี้ครอบครัวของข้าไม่เพียงแต่เลี้ยงไก่เท่านั้น แต่ยังเลี้ยงหมูอ้วนด้วย!”
ตอนนี้หลิวเต้าเซียงคิดว่าไก่นั้นดูแลยากเกินไป จึงวางแผนที่จะเลี้ยงหมูอีก “โอ้ ข้าเกือบลืมเื่นี้ไป พ่อของข้ายังไม่รู้ ข้าต้องรีบกลับไปคุยกับเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ป้าหลี่ก็รีบเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเมล็ดผักที่ห่อไว้ให้นาง และบอกให้นางวิ่งช้าๆ
ทันทีที่พูดจบ เงาของหลิวเต้าเซียงก็หายลับไปจากประตูลานบ้าน
“เด็กคนนี้ใจร้อนจริงๆ”
“ท่านแม่ เต้าเซียงต้องมีแผนของนางเองอยู่แล้ว ท่านแม่ ดูสิ ไก่พวกนี้ดูมีพลังเหลือเกิน”
นับั้แ่มีการให้อาหารไก่พวกนี้ หลี่ชุ่ยฮัวก็ยิ่งไม่กระตือรือร้นกับงานเย็บปักอีก
ในทางตรงกันข้าม หลิวชิวเซียงชอบงานนี้มาก
ป้าหลี่กลอกตามองบนใส่นางและตอบโดยไม่โกรธ “ตกลงใครคือบุตรสาวของข้ากัน”
“ไม่ใช่พี่ชิวเซียงแน่นอน ท่านแม่ ข้ากับท่านคล้ายกันเช่นนี้ ท่านถอดใจจากเื่นี้เถิด”
“เ้าเด็กไม่รู้จักโตคนนี้นี่”
แม่และบุตรสาวกําลังต่อล้อต่อเถียงกันเล่น ในใจก็ยิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
หลิวเต้าเซียงเจอหลิวซานกุ้ยอยู่หน้าบ้านที่เนินตรงข้ามลำธาร
เนื่องจากเื่ราวที่เกิดขึ้นในบ้าน่นี้ หลิวซานกุ้ยจึงขอลากัวซิวฝานเป็การชั่วคราว รอจนกว่าเขาจะซ่อมบ้านเสร็จจึงจะกลับไปเรียนต่ออย่างสงบสุข
กัวซิวฝานประทับใจมากกับวิธีที่เขาจัดการเื่นี้
“ท่านพ่อ กำลังทำอะไรหรือ?”
“ลูกรัก เหตุใดเ้าจึงมาที่นี่?”
หลิวซานกุ้ยกําลังใช้จอบขุดหน้าดินอยู่ในสวนจนรากวัชพืชพลิกขึ้นมา เขากวาดรากเ่าั้ออกไปอีกทาง จากนั้นก็ใช้จอบเคาะดินบนนั้นออกมา “สองวันนี้มีแดดแจ้ง พ่อจึงรีบกำจัดวัชพืชเหล่านี้ไปบางส่วน อีกเดี๋ยวรอทำพื้นให้เรียบก็จะได้ตากข้าวเปลือก”
“อื้ม ท่านพ่อ ข้ามาดูว่าบ้านของเราใหญ่แค่ไหน”
หลิวซานกุ้ยหยุดใช้จอบในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวคนรองของเขาที่สูงขึ้นมาอีกหลายนิ้ว ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “เ้า้าทำสิ่งใดอีก?”
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “เรามีที่นาสองไร่ไม่ใช่หรือ ข้ากำลังคิดว่าปีที่แล้วข้าเลี้ยงไก่ที่บ้านป้าหลี่ได้ดี จึงอยากดูว่าบ้านหลังนี้ใหญ่แค่ไหน สามารถเลี้ยงไก่ได้หรือไม่ อีกอย่างท่านแม่ข้าเป็ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงหมู อีกเดี๋ยวไปซื้อลูกหมูมา เมื่อถึงฤดูร้อนท่านพ่อค่อยไปจับปลา เท่านี้บ้านเราก็น่าจะพออยู่กันได้”
“เ้าไม่ไปตระเวนรับไก่และไข่แล้วหรือ?” หลิวซานกุ้ยรู้ว่าบุตรสาวของตนหลักแหลมมีไหวพริบ จึงอยากรู้ว่าเหตุใดนางจึงปล่อยงานนี้อย่างง่ายดาย
“ท่านพ่อ อีกไม่กี่ปีข้าไม่คิดว่าจะทำงานนี้คนเดียวต่อ สู้เลี้ยงไก่ที่บ้านให้เยอะหน่อย เช่นนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะได้วางใจด้วย”
หลิวซานกุ้ยยิ้ม “เ้านี่ รู้เื่เกินไปแล้ว เดิมทีพ่อกับแม่คิดว่าปีนี้จะไม่ให้เ้าออกจากบ้านไปทำงานเ่าั้อีก ตอนนี้ชีวิตของเราก็พอไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเ้าก็...หากเ้าอยากเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูอยู่บ้าน ข้าจะให้คนมาช่วยทำคอกด้านหลังให้ อ้อ ลืมบอกเ้าไป ด้านหลังยังมีที่ดินรกร้างราวสามไร่กว่า เป็ของปู่ข้า เพียงแต่ทำการเกษตรไม่ได้ แต่สามารถสร้างบ้านหลังใหญ่ แล้วล้อมรั้วที่ดินสามไร่นั้นได้”
“สามไร่กว่า?” หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าสามไร่นั้นใหญ่แค่ไหน นางส่ายหัวและไปดูที่สวนหลังบ้าน อืม ค่อนข้างกว้าง แต่กว้างเพียงใด นางเองก็บอกไม่ถูก
นางหันหลังให้ตัวบ้าน ด้านขวาคือแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลออกไป ริมน้ำอีกฝั่งก็คือหมู่บ้านสามสิบลี้ ส่วนด้านซ้ายก็คือที่ดินรกร้างสามไร่กว่า รั้วไม้ที่กั้นอยู่สูงพอกันกับคน สภาพที่ทรุดโทรมนั้นบ่งบอกว่าไม่มีคนมาดูแล
ถัดจากรั้วไม้จะเห็นที่ดินด้านนอก เพียงแต่ที่ดินสามไร่กว่าตรงหลังบ้านดูกว้างกว่า ด้านข้างที่ดินผืนนั้นเป็เนินเขาเล็กๆ พอข้ามเนินไปก็เป็หลังเชิงเขา
หลิวซานกุ้ยเดินผ่านตัวบ้านมายังหลังบ้านตามบุตรสาว จากนั้นชี้ไปทางหินที่แตกละเอียดแล้วเอ่ย “นี่คือที่ดินผืนหนึ่ง หากเพาะปลูกคงไม่ได้ พ่อคิดว่าอีกเดี๋ยวจะรื้อรั้วออกมา แล้วใช้หินร่วนเ่าั้ทำเป็กำแพงบ้าน”
หลิวเต้าเซียงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่นางไม่ได้สนใจ เพียงแค่ชี้นิ้วไปทางรั้วไม้แล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ เราสามารถซื้อที่ดินรกร้างไว้ได้หรือไม่?”
หลิวซานกุ้ยไม่กระจ่างจึงถามต่อ “เ้าจะเอาที่ดินรกร้างมากมายไปทำอะไร? พ่อคิดว่า ต่อไปจะสร้างกำแพงขึ้นมา แล้วทำประตูเล็กไว้ด้านข้าง ถึงตอนนั้นจะได้ขึ้นเนินเขาไปหาของป่า”
“ข้าก็คิดว่า้าซื้อที่ไว้ ถึงเวลาจะได้ทำเล้าไก่กับคอกหมูไว้ตรงนั้น”
นางไม่สามารถบอกเื่โรคระบาดหรือมลพิษกับหลิวซานกุ้ยได้
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แพงนัก เราซื้อไว้เถิด ท่านพ่อดูสิ หากว่าสร้างกำแพงตรงนั้น ต่อไปเกิดบ้านเรามีเงิน ก็จะได้ขยายตัวบ้านให้กว้างออกไปได้อีก”
หลิวซานกุ้ยมองลงมาที่บุตรสาว ฉับพลันสมองก็แล่น ที่ดินกว้างขนาดนี้ต้องสร้างบ้านจิ้นย่วนกี่ทางเข้ากัน!
“ตกลง ข้าจะกลับไปคุยกับหลี่เจิ้ง ซื้อไว้ก็ดี ถึงตอนนั้นค่อยทำประตูไว้ข้างเนินเขา ปล่อยให้ไก่อยู่ตรงนั้นจะได้ไม่ขวางหูขวางตาด้วย”
เขาอยู่ในหมู่บ้านมานานรู้ว่าชาวบ้านคิดอย่างไร หากทุกคนมีชีวิตที่ไม่ดีก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่หากหนึ่งในนั้นมีความรุ่งเรืองขึ้นมากะทันหัน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะอึดอัดใจก็เป็ได้
ก่อนที่ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยจะจัดการเื่ราวทุกอย่างได้จริงๆ หลิวเต้าเซียงจึงได้แต่เก็บเงินแล้วร่ำรวยอย่างเงียบๆ ห้ามทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไป
หลิวซานกุ้ยจัดการเื่นี้ได้ไม่เลว วันรุ่งขึ้นก็นำข่าวดีมาบอกแก่ครอบครัว
ตอนนี้ครอบครัวได้แยกกันแล้ว ครอบครัวฝั่งเขาจึงไม่ต้องก่อไฟทำอาหารอีกต่อไป หลิวซานกุ้ยได้เสบียงมาจากหลิวต้าฟู่ที่ใช้กินได้ครึ่งปี เพราะบ้านเขายังต้องซ่อมแซมและสร้างกำแพง เื่นี้ต้องหาคนมาช่วย จึงต้องทำอาหารรองรับคนเ่าั้ไว้ด้วย
หลิวต้าฟู่จึงให้เขาขนเสบียงไปเยอะหน่อย หลิวฉีซื่อเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เอาเก้าอี้เล็กมานั่งดูตรงบันได
เพราะเกรงว่าหลิวซานกุ้ยจะขนข้าวเปลือกไปเกินแม้เพียงหนึ่งเม็ด
ขณะนี้ทั้งครอบครัวกำลังกินอาหารกลางวันกัน มีเนื้อหมูเค็มผัดถั่วแขกแห้งหนึ่งจาน ผักกาดดองเปรี้ยวหนึ่งจาน และแกงไข่ใส่ดอกต้นหอม มีกับข้าวสองอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง ทั้งครอบครัวได้กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อจางกุ้ยฮัวได้ยินเื่นี้ก็ถึงกับอึ้งไป แล้วจึงเอ่ยถาม “เหตุใดจึงต้องซื้อที่ดินอาศัยเพิ่ม?”
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ลูกรองเราบอกว่าอยากเลี้ยงหมูกับไก่มากกว่านี้ แต่ก็รังเกียจกลิ่นเหม็นของมัน จึงคิดว่าอยากเลี้ยงหมูกับไก่ไว้ตรงด้านข้างเนินเขา”
อย่าเห็นว่าเนื้อหมูผัดแล้วหอมเพียงใด แต่มูลของมันมีกลิ่นเหม็นยิ่งนัก ขอเพียงลมพัดเบาๆ ก็ได้กลิ่นลอยมาแต่ไกล
“ท่านพ่อ ถึงตอนนั้นเราก็ขุดบ่อมูลหมูไปทางหลังเนินเขา ให้คอกหมูอยู่ห่างจากบ้านเรามากที่สุด เหม็นเกินไปคงไม่ดี”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่ากลิ่นที่เหม็นหึ่งจะทำให้นางกินไม่ดี และนอนไม่ดี!
หลิวซานกุ้ยนึกถึงตำราเคล็ดลับต่างๆ ที่เคยอ่านในบ้านอาจารย์กัว เขาจำได้ว่าหนึ่งในเล่มนั้นบันทึกเื่ราวการสร้างคอกหมูไว้ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เื่นี้ข้ารู้ คราวก่อนที่อ่านเจอในตำรา บอกว่าให้ใช้แผ่นหินทำเป็ราง นำมาต่อกันเป็ทอดๆ อย่าให้มีช่องโหว่ จากนั้นให้มูลหมูไหลลงไปในบ่อมูล แต่เช่นนั้นจะเปลืองเงินเกินไป ข้ากำลังคิดว่า ถึงตอนนั้นให้เอาหินร่วนมาทำ หากทำให้รัดกุมหน่อยก็คงไม่ต้องกลัวว่ามันจะตัน”
หลิวเต้าเซียงคิดดู สิ่งนี้ไม่ต่างจากคูน้ำของโลกยุคปัจจุบันเลยนี่นา
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาแผ่นหินมาใส่ด้วย แม้ว่ามันจะใช้เงิน แต่ก็พอได้”
นางไม่้าให้เวลาทานอาหารที่หอมกรุ่น แต่เมื่อมีลมพัดมา อ้าปากก็มีแต่กลิ่นเหม็นลอยเข้าปากแทน
-----
