นี่เป็ครั้งแรกหลังหลอมจิตสำเร็จที่ซูฉางอันะเิพลังทั้งหมดที่มีออกไปอย่างเต็มที่เช่นนี้
พลังดาบที่ทรงพลังราวกับมีตัวตนและจับต้องได้หมุนวนอยู่รอบตัวซูฉางอันพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซูฉางอันมีสีหน้าราบเรียบและใจเย็นแม้ตรงหน้าจะเป็กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาโจมตีด้วยความทรงพลังราวกับสัตว์ร้ายก็ตาม
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นทั้งเจ็ดก็อยู่ห่างจากซูฉางอันเพียงไม่ถึงเมตรแล้ว ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ซูฉางอันก็เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายในที่สุดเขาะโขึ้นสูงแล้วยกดาบขึ้นเหนือหัวขณะที่ตัวดาบก็เกิดประกายแสงที่แสนแสบตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คำราม!” เขาะเิเสียงดังลั่นพลันพลังแห่งคมดาบและเปลวเพลิงก็ถูกดูดกลับไปรวมกันปานถูกพลังบางอย่างร้องเรียกอย่างกะทันหันเช่นนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวพลังเ่าั้ก็เรียงซ้อนกันอยู่บนคมดาบของซูฉางอันราวกับมีชีวิตจิตใจเป็ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
แสงที่เปล่งประกายออกมาจากคมดาบของเขาสว่างเจิดจ้ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม...
วินาทีนั้น คล้ายกับว่าเวลาถูกหยุดลงทุกคนในห้องโถงต่างก็แหงนหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มที่ยกดาบขึ้นสูงด้วยความตกตะลึงร่างของเขาค่อนข้างผอมบาง ใบหน้าแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการเป็หนอนหนังสือแต่ในขณะเดียวกัน คนผู้นี้ก็ช่างสว่างไสวเหลือเกินเจิดจ้าราวกับดวงดาวบนท้องนภาเลยก็ว่าได้
ภาพเหตุการณ์กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งร่างของซูฉางอันดิ่งลงบนพื้นดินอย่างรุนแรง เขารวดเร็วมากเหลือเกินคล้ายกับฝนดาวตกที่พุ่งตัดผ่านท้องนภาเช่นนั้นยังไม่ทันที่การโจมตีของคนทั้งหลายจะถึงตัวซูฉางอันก็เหวี่ยงดาบลงบนพื้นดินเบื้องหน้าทั้งเจ็ดอย่างแรงแล้ว
ถูกต้องแล้วเป้าหมายของซูฉางอันไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดที่กำลังพุ่งฝ่าอากาศเข้ามาโจมตีแต่เป็พื้นดินต่างหาก
ตู้ม!
เสียงหนึ่งะเิขึ้นกลางโถงใหญ่
คลื่นพลังที่สุดแสนจะมหาศาลกระจายออกไปทั่วบริเวณพื้นโถงที่ทำมาจากหินอ่อนแตกออกจากกันอย่างต่อเนื่องรอยแยกมากมายพุ่งเลื้อยไปรอบด้านปานงูอสรพิษ
ตู้ม!
เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายตาตกตะลึงของฝูงคนภายในห้องโถง พื้นหินที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรรอบตัวซูฉางอันแหลกสลายกลายเป็ผุยผงไปในพริบตาทันใดนั้น โถงขนาดใหญ่ก็มีฝุ่นธุลีลอยคละคลุ้งอยู่เต็มไปหมดเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็จังหวะเดียวกับที่ร่างของคนทั้งหลายลอยถลาออกมาจากฝุ่นละอองแล้วร่วงลงในฝูงชนด้วยสภาพสะบักสะบอมอย่างต่อเนื่อง
ร่างที่ลอยถลาออกมามีทั้งหมดเจ็ดร่างอย่างพอดิบพอดี เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็ยอดอัจฉริยะทั้งเจ็ดที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของอันดับมนุษย์ ซึ่งประลองกับซูฉางอันเมื่อครู่นั่นเอง
ฝูงชนต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งความตื่นตะลึงกันถ้วนหน้าเอาชนะหยวนต้งคุนมาได้ ยังอ้างว่าเป็เพราะหยวนต้งคุนมีฝีมือไม่สมกับระดับพลังได้แต่แม้ยอดฝีมือทั้งเจ็ดจะลงมือพร้อมกันก็ยังถูกซูฉางอันโจมตีจนล่าถอยออกมาได้ภายในกระบวนเดียวเท่านั้นเื่นี้จะอธิบายว่าอย่างไร?
ฝุ่นควันสลายหายไปทุกคนเพ่งมองเข้าไปอีกครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางโถงได้อย่างชัดเจนเสียที
เขาถือดาบเอาไว้ในมือขณะสองขาก็ยืนตระหง่านอยู่บนพื้นที่เสียหายยับเยิน
พลังแห่งคมดาบลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเปลวเพลิงลุกโชน ทำหน้าที่เป็เกราะป้องกันร่างกาย
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาที่คนทั้งหลายด้วยดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยความใสสะอาด
“ถึงตาเ้าแล้ว!” เขาชี้ดาบไปที่ตู้หงฉาง แล้วกล่าวขึ้น
ตู้หงฉางถึงกลับเผลอก้าวถอยกลับไปโดยสัญชาตญาณก่อนหน้านี้เขายังมั่นใจว่าตนสามารถเอาชนะคนตรงหน้าไปได้อย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้ความทรงอำนาจขณะเอาชนะยอดฝีมืทั้งเจ็ดของซูฉางอันทำให้เขาสูญเสียความกล้าที่เคยมีไปเสียสิ้น
“เ้าไม่สู้กับข้ารึ?” ซูฉางอันมองดูตู้หงฉางด้วยคิ้วขมวดมุ่นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตู้หงฉางถึงไม่กล้าสู้กับตน ทั้งๆที่ทุกคนล้วนอยากจะสู้กับตนทั้งนั้น
สายตาของฝูงชนต่างพากันจับจ้องไปที่ตู้หงฉางเป็ตาเดียวซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกอับอายเหลือทน จากการถามตัวเอง เขารู้ว่าหากเมื่อครู่คนที่เผชิญหน้ากับยอดฝีมือเจ็ดคนนั้นเป็ตน ตนย่อมไม่มีทางเอาชนะมาได้เป็แน่ทว่าซูฉางอันกลับเอาชนะคนเ่าั้ได้ในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น มันเร็วมากเร็วจนเขาไม่มีเวลามาครุ่นคิดด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดผู้ที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตถึงมีพลังแข็งแกร่งเช่นนั้นได้ บัดนี้สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจของเขามีเพียงความหวาดกลัวจากห้วงลึกสุดของหัวใจเท่านั้น
ถูกต้อง เขาไม่กล้ารับศึก คำถามของซูฉางอันเป็เหมือนคมดาบที่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงอย่างจังเขาไม่มีความกล้ามากพอจะมองหน้าซูฉางอันตรงๆ ด้วยซ้ำได้แต่ก้มหน้าก้มตาและปิดปากเงียบมีสภาพไม่ต่างไปจากไก่ชนที่สั่นกลัวหลังแพ้ศึกไม่ผิดเพี้ยน
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาทำให้ชายชราถอนหายใจแล้วส่ายหน้าขึ้น ตู้หงฉางเป็ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักปาฮวงในยามปกติ เขาที่มีนิสัยผยองและไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตามักจะข่มขู่ รังแกศิษย์รุ่นเดียวกันอยู่เป็นิจทว่าในตอนนี้ซูฉางอันที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตกลับทำให้เขามีสภาพน่าสมเพชได้ถึงเพียงนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเื่พละพลังและการฝึกฝนวิชาเลย ลำพังแค่ความใจกล้าของซูฉางอันก็เอาชนะตู้หงฉางไปได้มากแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าสำนักปาฮวงแข็งแกร่งพอที่จะชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งของเมืองฉางอันมาจากสำนักเทียนหลานที่ครองตำแหน่งนี้มานานนับร้อยปีได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้เป็มั่วทิงอวี่ตอนนี้ก็เป็ซูฉางอันอีก สำนักเทียนหลานช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ...ชายชรานึกชื่นชมอย่างอดไม่ได้
เขาก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดกับซูฉางอัน “คุณชายซูมีฝีมือเก่งกาจศิษย์หยาบช้าจากสำนักปาฮวงของเราจะกล้า่ชิงตำแหน่งกับคุณชายได้อย่างไร” แม้จะรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ตู้หงฉางแสดงออกมาแต่อย่างไรเสีย เขาก็เป็ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักปาฮวงชายชราจึงจำต้องพูดช่วยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงนั่นเอง
เมื่อได้ยินดังนั้นตู้หงฉางก็ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เขาััได้อย่างชัดเจน ว่าสายตาที่คนรอบด้านมองมามีความหยามเหยียดและดูถูกแฝงอยู่มากมายขนาดไหนเขาเป็ถึงบุตรของเทพนักรบแห่งแผ่นดินต้าเว่ยเคยต้องอัปยศเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน เขากำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังจากกระดูกแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีความกล้าที่จะรับคำท้าประลองจากซูฉางอันอยู่ดี
“ข้าต้องสู้กับเขาให้ได้” หลังฟังจบ ซูฉางอันก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเขาจ้องไปที่ตู้หงฉางซึ่งขณะนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาและปิดปากเงียบไม่แม้แต่จะปรายตามองชายชราเลยด้วยซ้ำ
“เ้า!” ชายชราะเิความโกรธขึ้นมาทันที เขามีตำแหน่งสูงส่งถึงเพียงนี้ที่ผ่านมา เขาเคยพูดกับเด็กรุ่นหลังด้วยน้ำเสียงและคำพูดเช่นนี้เสียที่ไหน ตอนนี้ทั้งที่เขาอุส่าห์ยอมอ่อนข้อเป็ครั้งแรกของชีวิตแล้วแต่ซูฉางอันก็ยังไม่ยอมความอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ
“เ้าหนุ่ม! อย่าบีบคั้นกันมากเกินไป” สายตาของเขาเย็นะเืลงในพริบตาน้ำเสียงเองก็เช่นกัน
ผู้คนรอบๆ มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปตามๆกัน พวกเขารู้เื่ความอำมหิตของชายชรากันหมดทุกคนคนผู้นี้ขึ้นชื่อเื่ความลำเอียงแก่พวกเดียวกันและรักหน้าตาตัวเองเป็ที่สุดทั้งๆ ที่เขายอมอ่อนข้อให้แล้วแต่เ้าหนุ่มซูฉางอันก็ยังไม่พอใจแล้วจบเื่ลงเพียงเท่านี้เกรงว่าเื่ในวันนี้จะจบไม่สวยเสียแล้ว
เมื่อได้ฟังดังนั้นซูฉางอันจึงหันหน้าไปหาชายชราในที่สุดเขามองเข้าไปในดวงตาคมเฉียบของชายจมูกอินทรีอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยงพลันแสงที่ประกายอยู่ในดวงตาของซูฉางอันก็ทำให้ชายชรารู้สึกอึ้งไปอย่างประหลาด
“อาจารย์ของข้าจากไปแล้ว” ซูฉางอันพูดขึ้น เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันของเขาคล้ายกับหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องนภา ทั้งใสสะอาดและเย็นเยียบ
“คนตายไปแล้วที่เหลืออยู่ก็มีเพียงชื่อเสียงเท่านั้น “
“หยามเกียรติเขา ก็เท่ากับปลิดชีวิตข้า!” เสียงของเด็กหนุ่มดังกระหึ่มไปทั่วโถงเขามองไปรอบๆ พลางพูดด้วยเสียงทรงพลัง
จากนั้น เขาก็มองไปที่ชายชราแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ดังนั้นข้าต้องสู้กับเขาให้ได้” ครั้งนี้เขายกดาบในมือขึ้น พลันพลังแห่งคมดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็หมุนวนอยู่รอบตัวดาบในที่สุด ชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบางคนนี้ก็เผยเขี้ยวเล็บต่อหน้าทุกคนเป็ครั้งแรก
ชายชรามีสีหน้าบูดบึ้งลงเรื่อยๆเขาััได้ว่าซูฉางอันไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็น ดูจากภายนอกแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีส่วนที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลยคล้ายเป็เพียงหนอนหนังสือธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น หากไปยืนรวมอยู่ในฝูงคนไม่มีทางที่ใครจะสังเกตเห็น หรือมองเขาเป็ครั้งที่สองอย่างแน่นอนทว่าความจริงแล้ว เขาอ่อนนอกแข็งใจ นิสัยลึกๆ ของเขามีความดื้อรั้นที่ยากจะควบคุมแฝงอยู่
เขาพูดอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ “งานหลอมดาวมีกฎระเบียบของงานที่ผ่านมา มีเพียงคนอื่นๆ เท่านั้น ที่สามารถท้าประลองกับจอมดาราได้ ไม่เคยมีจอมดาราคนไหนท้าประลองกับผู้มาร่วมงานสักคนอีกอย่าง เื่การประลองเป็เื่ที่ต้องยินยอมกันทั้งสองฝ่ายแล้วเ้าจะดื้อด้าน ทำตามใจตัวเองได้อย่างไร”
เขากัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุดัน เห็นได้ชัดว่าคนชราพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกโกรธของตัวเองอย่างสุดความสามารถแล้วหากซูฉางอันยังไม่รักดี ไม่ยอมอ่อนข้ออีกล่ะก็ เช่นนั้นเขาจะไม่สนเื่กฎระเบียบและจัดการสั่งสอนเ้าหนุ่มคนนี้อย่างสาสมเลย
“ศิษย์น้อง!” เพราะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่น่าตึงเครียดราวกับลูกะเิที่อาจถูกจุดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงเดินแหวกออกมาจากฝูงคนนาง้าจะกล่อมให้ซูฉางอันยอมความนั่นเอง ตาแก่คนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะต่อกรได้ ด้วยพลังที่มีในตอนนี้หรอกนะ
ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรซูฉางอันก็เอ่ยปากขึ้นเสียก่อน
เขาพยักหน้าแล้วพูดเสียงแ่ราวกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง “ที่เ้าพูดก็มีเหตุผล” ราวกำลังเคร่งเครียดกับอะไรบางอย่างซูฉางอันเกาหลังหัวตัวเอง จากนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ดูเหมือนนั่นจะผิดกฎจริงๆ ”
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เบาใจได้ในที่สุดนางล่ะกลัวว่าศิษย์น้องคนนี้จะใจร้อนจนไปมีเื่มีราวกับชายชราตรงหน้าเสียจริง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นความโกรธบนใบหน้าชราจึงทุเลาลงในที่สุด
“แบบนี้ก็แสดงว่าข้าเป็จอมดาราแล้วใช่ไหม?” จู่ๆซูฉางอันก็ประกายความสดใสขึ้นทางใบหน้า แล้วกล่าวถามขึ้น
“อืม ในเมื่อไม่มีใครกล้าท้าประลองอีกเ้าก็คือจอมดาราอย่างแท้จริงแล้ว” ชายชราตอบออกไปอย่างไม่ได้คิดทว่าทันทีที่พูดจบ เขาก็หัวใจกระตุกวูบ แย่แล้ว...
“ในเมื่อได้เป็จอมดารา ตามกฎแล้วสำนักปาฮวงต้องทำตามคำข้อของข้าหนึ่งข้อใช่หรือไม่?”