ระหว่างการเดินทางจากวังปีศาจที่อยู่ทางด้านนี้ไปยังดินแดนซากกระดูกจากใต้ไปเหนือจำต้องผ่านดินแดนปีศาจสี่แห่ง ได้แก่ ดินแดนเปลี่ยวร้าง เมืองบาดาลดินแดนแห่งความตาย และดินแดนซากกระดูก
เมื่อกล่าวถึงแผนผังของโลกใบนี้แล้ว ยังดีที่ผมเคยวาดแบบร่างมาก่อนหากไม่พูดถึงรายละเอียดก็ยังสามารถรู้ได้ว่าที่ใดเป็ที่ใดโลกปีศาจทางด้านนี้ไม่ว่าจะเป็ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์หรือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติก็ล้วนเลวร้ายกว่าโลกผู้ฝึกตนมากยกตัวอย่างเช่น ดินแดนเหมันต์และดินแดนแห่งดวงอาทิตย์ทั้งเก้าล้วนอยู่ทางฝั่งโลกปีศาจเมื่อเวลานานเข้าก็จะกลายเป็โลกสองขั้วระหว่างน้ำแข็งและไฟไปโดยปริยาย
วังปีศาจของอวี๋เคอถูกสร้างโดยเลี่ยงสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายทั้งสองโดยเฉพาะความจริงแล้วการผลัดเปลี่ยนของฤดูกาลก็ถือเป็เื่ปกติ เมื่อเทียบกันแล้วดินแดนแม่น้ำแห่ง์ที่อยู่ใกล้กับดินแดนแห่งดวงอาทิตย์ทั้งเก้าทางทิศตะวันออกที่สุดดินแดนเปลี่ยวร้างที่รายล้อมอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศเมืองบาดาลและดินแดนเืมรณะที่อยู่นอกเขตใจกลางโลกปีศาจนั้นทรหดกว่ามาก
หากจะบอกว่าแม่น้ำแห่ง์เรียกว่าแม่น้ำโลกันตร์ก็ไม่ใช่เื่เกินเลยอะไรทหารเผ่าปีศาจขุดคูน้ำรอบกำแพงเมือง ทำให้ด้านในอุดมไปด้วยน้ำบวกกับสร้างค่ายกลเพื่อป้องกันความร้อนอีกด้วย ซึ่งในระยะยาวน้ำในคูน้ำดูเหมือนจะดูดซับเอาปราณไฟไป โดยมีแสงสีส้มและสีแดงลอยปรากฏอยู่บนผืนน้ำราวกับว่าเปลวไฟกำลังไหลวนอยู่ในนั้น เรียกได้ว่าเป็ทัศนียภาพที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งตอนที่ซ่งฉียวนปลอมตัวเป็ชาวเผ่าปีศาจแล้วพาฮาเร็มมาล่าสมบัติที่แม่น้ำแห่ง์ก็ยังตั้งใจตักน้ำในแม่น้ำแห่งนี้บรรจุไว้ในขวดกลับไปด้วย เพื่อให้หญิงคนสนิทพอใจ
และแน่นอนว่านี่เป็เื่ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าตอนนี้เ้าเด็กบ้าคนนี้ยังคงนอนหลับสบายอยู่ในรถม้าของผมเส้นทางในการกลายมาเป็มหาปราชญ์ผู้เมตตาในอนาคตนั้นยังอีกยาวไกลอีกอย่างการมาของผมในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเล่นสนุก การตามหาบัวหิมาลัยสองหัวมาให้เขายังไงก็ยังเป็สิ่งสำคัญที่สุดเื่สนุกกับสิ่งสวยงามเหล่านี้ รอให้ถึงตอนส่งเขาไปหาหร่วนสือจิ่วที่สำนักฉิงชางก่อนแล้วค่อยมาเล่นสนุกกับอาจิ่วดีกว่า
ใช้เวลาตอนที่อยู่ในรถม้าผมนำอิฐบนหลังคาที่สลักเนื้อหาครึ่งแรกของตำรา “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน”มาจัดวางให้เรียบร้อย โดยใช้คาถาประทับพวกเขาลงไปบนหน้าตำราซึ่งสามารถเชื่อมผสานกันกับภาพเศษตำราที่เยี่ยวั่งจือมอบให้ซ่งฉียวนได้พอดีจากนั้นก็ล้วงเอาของสะสมวิชายุทธ์ในแหวนหยกของอวี๋เคอออกมาแล้ววางกองผสมกันเตรียมรอให้ถึงเวลาที่จะให้ซ่งฉียวนเลือกมันด้วยตัวเองไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็จะเลือก “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” แน่นอนส่วนอันอื่นคือสิ่งที่มีไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดให้ดูจำนวนเยอะก็เท่านั้น
ตราของหินสีดำที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือยังคงไร้การเคลื่อนไหวใดๆมันนิ่งสงบราวกับตายจาก สิ่งนี้ตัดขาดจากตัวตนใน “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ”ของผม ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรกันแน่ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยมันทิ้งไว้แบบนี้เสียเลย
จากนั้นจึงเอื้อมมือขึ้นไปลูบหน้าตัวเองไปมาผมรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย เมื่อกลับไปก็จำต้องสวมหน้ากากแล้ว ผมคืออวี๋เคอไม่ใช่เยี่ยวั่งจือการเล่นละครสวมบทบาทโดยการสวมรอยเป็คนอื่นนั้นช่างทรมานเหลือเกินหรือว่าการสวมหน้ากากจะค่อนข้างเหมาะกับผมมากกว่าเพราะสามารถบดบังสายตาอันร้อนแรงจากคนอื่นได้ด้วยอย่างไรเสียใบหน้านี้ก็มีความงดงามเอนไปทางจุดจุดจริงๆ ...
ทุกวันที่มองตัวเองในกระจกผมคิดอยู่ตลอดว่าหากอวี๋เคอเป็ผู้หญิงก็คงจะต้องเป็เทพธิดาของผมอย่างแน่นอนจากนั้นจึงดึงเสื้อคลุมสีแดงเข้มบนร่างของตัวเองออกอย่างเบามือ ผมแอบตัดสินใจแล้วว่าเมื่อกลับไปจะต้องหาซื้อเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาขนาดนี้อีก เพราะมันทั้งแดงแล้วก็ออกสาวเกินไป
ขณะที่กำลังจมอยู่ในจินตนาการอยู่นั้นเด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างก็พลิกตัวมาจับชายเสื้อสีแดงของผมเอาไว้กำมันเข้าไปในฝ่ามือ นอนด้วยท่านี้จนหลับสบายยิ่งกว่าเดิม
ผม “...”
“นายท่าน นายท่านข้าหิวแล้ว! ” ผ้าม่านรถม้าถูกแหวกเปิดออกอย่างกะทันหันจากด้านนอกลมหนาวพัดปะทะเข้ามาที่ใบหน้า ผมเบี่ยงตัวไปบังร่างของซ่งฉียวนเอาไว้โดยสัญชาตญาณแล้วสบเข้ากับสายตาอันน่าสงสารของอาจิ่ว ผมจนปัญญาแล้ว “ตอนนี้ถึงที่ใดแล้ว? ”
“นายท่าน! อีกประเดี๋ยวก็จะถึงแดนแห่งความตายแล้ว!อยากไปหาดอกเบญจมาศน้อยหรือไม่? ข้าได้รับอนุญาตให้ไปกินมื้อใหญ่กับเขาที่นั่นพอดี!”
เมื่อพูดถึงเื่กินดวงตาของอาจิ่วก็เป็ประกายขึ้นในทันใด ปีกเล็กๆ กระพืออย่างร่าเริงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว รถม้าของผมก็เดินทางมาเกือบจะสี่วันแล้วผมไม่ได้รู้สึกหิวอะไรมาก ปกติผมจะกินของว่างและดื่มชาที่กู้จิ่นเฉิงเตรียมไว้ให้และไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ส่วนอาจิ่วมักจะออกไปหาอาหารด้วยตัวเองจากนั้นจึงรีบกลับมาหาผม
โอกาสที่จะให้เขาได้กินอาหารมื้อใหญ่อย่างสบายอกสบายใจจริงๆนั้นไม่มีเลย มิหนำซ้ำงูั์ที่ผมเคยสัญญากับเขาเอาไว้ก็ยังไม่ได้นำมาให้เขาอีกเด็กคนนี้แค่น้อยใจอยู่พักเดียวแล้วก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลยช่างทำให้รู้สึกสงสารเสียจริง
“เอาล่ะเช่นนั้นพวกเราหยุดพักที่เมืองชายแดนของแดนแห่งความตายกันเถิด”ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้หวังตัวจวี๋อยู่ที่ไหน แต่ผมไม่อยากเจอเขาในตอนนี้อย่างแน่นอนความสามารถในการหยั่งรู้ของคนผู้นี้น่ากลัวเกินไปอีกทั้งยังชำนาญในการจับผิดอีกด้วยจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับจุดยืนของเขา ดังนั้นการเผชิญหน้ากับเขารังแต่จะทำให้ผมรู้สึกปวดหัว
“ได้สิ! ”เมื่ออาจิ่วได้ยินว่าในที่สุดก็หยุดพักได้แล้ว จึงรีบมุดออกจากรถม้า แล้วสั่งให้สิงโตสองหัวปีกเพลิงที่น่าสงสารบินร่อนลงไปกระทั่งผมสามารถรับรู้ได้ถึงการสั่นะเืของตัวรถเล็กน้อย ทั้งหมดเป็เพราะอาจิ่วตื่นเต้นมากเสียจนทำให้เ้าสิงโตใ
รถม้าขนาดมหึมาจอดอยู่ในป่านอกเมืองสิงโตสองหัวปีกเพลิงกระดิกหางไปมา จากนั้นจึงพับปีกเก็บเข้าไปก่อนจะก้าวฝีเท้าเดินไปยังประตูเมือง เมื่อผู้ตรวจการเข้าเมืองมองเห็นตราสัญลักษณ์หงส์เพลิงสีดำตรงด้านข้างของรถม้าก็รู้ได้เลยว่ารถคันนี้มาจากวังปีศาจคนที่อยู่ด้านในเป็คนของอวี๋เคอ จึงไม่กล้าเมินเฉยรถม้าของผมจึงผ่านเข้ามาจนเกือบจะถึงหน้าโรงเตี๊ยมกลางเมืองได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ผมใช้วิชาพรางตัวปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้แล้วจึงอุ้มซ่งฉียวนลงจากรถ ก่อนจะตบไปที่หัวของสิงโตเบาๆ สองครั้งมันเข้าใจความหมายในทันที ผงกหัวของตัวเองให้ผมเล็กน้อย แล้วหมุนตัวลากรถวิ่งจากไปโดยอีกสองวันจะกลับมารอพวกเราที่นี่
อาจิ่วแปลงกายเป็นกกระจอกตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ผมอย่างว่าง่ายในหมู่พวกเราโดยรวมแล้วก็ไม่ได้ดูเด่นสะดุดตานัก ผมกระแอมไอซ้ำไปมา แล้วขอห้องพิเศษกับเถ้าแก่ที่ออกมาต้อนรับอีกทั้งยังบอกให้เขาทำเมนูเนื้อที่ขึ้นชื่อของร้านมาส่งให้ที่้าด้วยพร้อมกับขออ่างน้ำร้อนมาหนึ่งใบ เพื่อจะอาบน้ำให้เ้าเด็กจิ๋ว
หลายวันที่ผ่านมาเด็กคนนี้ได้ดูดซับฤทธิ์ยาของผลคืนิญญาเข้าไปเยอะมาก สิ่งสกปรกทั้งหมดในร่างกายซึมผ่านออกมาทางชั้นิัหากไม่ล้างออกอีกเดี๋ยวก็คงเหม็น
ขณะที่ขึ้นไป้าก็บังเอิญได้ยินเสียงแขกที่ดื่มเหล้าอยู่ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมคุยกันถึงการต่อสู้ที่แม่น้ำแห่ง์ว่าผมเก่งกาจอย่างนั้นอย่างนี้ใช้พลังไล่ตะเพิดผู้ฝึกตนทุกคนจนถอยร่นกันไปทั้งสำนักด้วยตัวคนเดียวพร้อมทั้งหัวเราะเยาะสำนักผู้ฝึกตนเ่าั้ว่าขี้ขลาดเพียงใดผมฟังแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก ในใจบอกว่าพวกเขาพูดเกินจริงจนเกินไปลูบปลายจมูกไปมา ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดไปทันที
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เก็บกวาดได้สะอาดเรียบร้อยมากผมวางซ่งฉียวนลงบนเตียง กำลังจะออกไปแอบย่องตีงูั์ในป่านอกเมืองสักสองสามตัวและสุดท้ายก็นำกลับมาให้อาจิ่วได้ตื่นเต้นดีใจ
ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นซ่งฉียวนที่นอนหลับมาตลอดทางก็ลืมตาขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และกำลังจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมแล้วก็เห็นว่ามุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปิดปากก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา“ท่านอาจารย์ ข้าฟื้นแล้วขอรับ”
นี่คือภาพลวงตาของผมใช่ไหม? ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันดูแปลกไป?