หลิวฉีซื่อแผดเสียงดังทันทีว่า “หืม พวกเ้าได้ของดีมามากมาย แต่กลับแอบซ่อนไว้ คงกลัวข้ารู้ล่ะสิ หากไม่ใช่ลุงรองเ้ามีงานเลี้ยงมงคล พวกเ้าก็คงไม่ยอมเอาออกมา”
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนกัน หากท่านย่าชอบ อีกเดี๋ยวข้าจะให้ท่านพ่อส่งมาพร้อมกัน”
ฮ่าๆ ข้ายังกลัวอยู่ว่าเ้าจะไม่หลงกล ตกหลุมพรางลึกดั่งใต้ทะเล
เมื่อนึกถึงกลิ่นของปลาเค็มที่โชยมาแต่ไกล งานเลี้ยงนี้คงมีเื่น่าสนุกแน่!
นางมั่นใจว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ทำปลาเค็มแน่
ชุ่ยหลิวตื่นตาตื่นใจ ปลาทะเล? สาหร่ายทะเล?
นางเคยได้ยินฮูหยินใหญ่กล่าวว่า ปลาทะเลก้างน้อย รสชาติสดใหม่ เมื่อเอาซี่โครงหมูต้มกับอาหาร รสเลิศอย่าบอกใคร
เมื่อนึกถึงอาหารสองจานนี้บนโต๊ะแต่งงานของนาง ต่อไปหากนางมีโอกาสกลับไปที่จวนตระกูลลหวงจะได้เอาไปโอ้อวดให้สมใจ
มุมปากของหลิวซานกุ้ยกระตุกเล็กน้อย บุตรสาวคนรองนั้นร้ายกาจนัก ปลานั่นอร่อยก็จริง แต่หากจัดการไม่ดี...
เขานึกถึงกลิ่นเท้าที่เหม็นคลุ้งไปทั่วบนโต๊ะงานเลี้ยง ภาพนั้นจะงดงามเพียงใด เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด!
หลิวเต้าเซียงมองดูพวกนางที่ทำท่าเอาเปรียบได้สมใจ จึงนึกดูแคลนยิ่งนัก!
สายตาของหลิวหลี่ซื่อมองไปที่หลิวเต้าเซียงอย่างละเอียด ไม่รู้เพราะเหตุใด นางจึงไม่ได้เตือนหลิวฉีซื่อกับชุ่ยหลิว
หลิวเต้าเซียงเดาว่านางต้องรู้เื่กลิ่นของปลาเค็มแน่นอน หรือบางทีเพราะนางก็คือภรรยาเอกเหมือนกัน เื่ทีนางจิ้งจอกอยากปีนขึ้นเตียงสามี ล้วนเป็เื่ที่สมควรรบราฆ่าฟัน
“ท่านแม่ ข้ายินยอมยกไก่สิบตัว เป็ดสิบตัว แล้วก็สาหร่ายทะเลแห้งสามชั่ง ปลาเค็มห้าชั่ง” หลิวซานกุ้ยเอ่ยถึงตรงนี้ก่อนจะหันไปมองหลิวสี่กุ้ย แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเ็ป “พี่ใหญ่ แม้ว่านี่จะเป็เื่ส่วนตัวของครอบครัวพี่รอง เพียงแต่ ชีวิตของพวกเราพี่น้องก็ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ อย่างที่ท่านแม่กล่าว ตอนนี้พี่รองไม่ได้เป็เหรัญญิกแล้ว ในบ้านจึงต้องพึ่งพาท่านพ่อท่านแม่ในการเลี้ยงปากท้อง เมื่อเกิดเื่ ข้าที่เป็น้องชายก็คงทำได้เพียงเท่านี้”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลิวสี่กุ้ยกระตุก นี่คือน้องสามที่เป็ดั่งพระโพธิสัตว์ของเขาจริงหรือ? คนที่กำลังขุดหลุมพรางให้เขา ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้คือน้องสามจริงหรือ? ไม่จริง!
หลิวหลี่ซื่อที่อยู่ข้างๆ แอบดึงแขนเสื้อของหลิวสี่กุ้ย แล้วชูสองนิ้วให้เขา
หลิวสี่กุ้ยตอบทันที “สิ่งที่น้องสามพูดนั้นถูกต้อง เพียงแต่ลูกๆ ในครอบครัวข้าก็โตแล้ว ล้วนพึ่งพาข้าเพียงคนเดียว น้องรองมีเื่ดี ข้าที่เป็พี่ใหญ่ก็ต้องแสดงน้ำใจ แม้ว่าตอนนี้น้องรองจะอยู่ว่างในบ้าน แต่ก่อนหน้านี้ก็เป็เหรัญญิกมาหลายปี ปีหนึ่งก็ได้เงินสิบถึงยี่สิบตำลึง ข้าเชื่อว่าในมือน้องรองก็น่าจะยังพอมี เอาแบบนี้ น้องสามออกเป็ค่าอาหาร ข้าจะออกเงินให้สองตำลึง เพิ่มค่าเหล้าไป น้องรองจะได้ไม่ต้องเป็กังวลเื่งานเลี้ยง”
หลิวเหรินกุ้ยแอบสืบมาลับๆ ปีที่แล้วครอบครัวหลิวซานกุ้ยขายไก่ไปหลายพันตัว แล้วก็หมูอีกสองร้อยตัว จะไม่มีเงินได้อย่างไร!
เขาลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็ของจางกุ้ยฮัว
“พี่ใหญ่ ข้ามีภรรยาและลูกๆ ที่ต้องเลี้ยง หรือว่าเงินเดือนของท่านมีเหลือเก็บทุกเดือนหรือ?” หลิวเหรินกุ้ยเป็คนเ้าเล่ห์ เขาเพียงแค่ถามกลับ หลิวสี่กุ้ยก็ไม่กล้าเอ่ยเื่นี้อีก
แต่หลิวสี่กุ้ยไม่ใช่คนที่จะยอมถอยง่ายๆ จึงผลักไสเื่นี้ไปที่ตัวหลิวซานกุ้ย “คำพูดน้องรองก็ไม่ผิด พี่ใหญ่เข้าใจได้ สถานการณ์ครอบครัวข้าก็เป็เช่นนี้ ลืมไปว่าบ้านเ้าเองก็มีบุตรชายเล่าเรียนถึงสองคน”
หลิวเต้าเซียงนั่งอยู่เฉยๆ จนเริ่มทนไม่ไหว แอบกระตุกแขนเสื้อของหลิวซานกุ้ย ลุงใหญ่กับลุงรองของนางเฉไฉได้เก่งกาจยิ่งนัก
หลิวซานกุ้ยกระแอมและไม่สนใจทั้งสองคน เพียงแต่เอ่ยถามกับหลิวต้าฟู่ “ท่านพ่อ ท่านว่าข้าออกมากพอหรือยัง?”
สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องเอ่ยถึงบรรดาคนรวย ลำพังบ้านเซียงเซินทั้งหลายจัดงานก็เพียงแค่ใช้ของเหล่านี้
หลิวฉีซื่อเชิดหน้าแล้วรีบตอบขึ้นมาก่อน “จะพอได้อย่างไรกัน ต้องให้สินสอดเป็เงินทองกับผ้าต่างๆ แก่ชุ่ยหลิวอีก เ้าไปเตรียมผ้าไหมหูโจวสี่ม้วนกับเงินยี่สิบตำลึงเป็สินสอด!”
หลิวซานกุ้ยมองไปที่มารดาตนเอง รู้สึกเพียงหัวใจที่เย็บเฉียบ
“ท่านแม่ เหตุใดไม่ปล้นลูกไปเลยเล่า?”
หลิวฉีซื่อยกเปลือกตาที่เหี่ยวย่นขึ้น “เ้าเลี้ยงไก่ตั้งห้าหกพันตัว แล้วก็หมูอีกสองร้อยตัว ข้าไม่เชื่อว่าเ้าจะควักของเหล่านี้ออกมาไม่ได้”
นางวางแผนไว้แล้วขอเพียงของมาถึงมือ ก็จะเลือกผ้าไหมเพียงสองม้วนจากสี่ม้วนยกให้ชุ่ยหลิว แล้วให้เงินสองตำลึงเป็สินสอด ถึงอย่างไรก็เป็เพียงสาวใช้ที่มีสัญญาผูกขาด
ถ้าไม่ใช่เพราะหลิวฉีซื่อ้าให้นางต่อสู้กับหลิวซุนซื่อ นางจะไม่ควักสักแดงเดียว แล้วส่งชุ่ยหลิวให้หลิวเหรินกุ้ยเปล่าๆ ด้วยซ้ำ
“นางเฒ่า หุบปาก เ้ารองแต่งอนุ ไม่ใช่เ้าสาม หนังหน้าแก่ๆ ของเ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่?”
หลิวต้าฟู่โกรธมากจนหน้าดำเหมือนซีอิ๊วขาว ในวัยหนุ่ม ภรรยารักในเงินทองสมบัติ แต่ก็ไม่ได้ไร้ยางอายเช่นนี้ แต่ยิ่งแก่ตัวขึ้นก็ยิ่งทวีความรุนแรง
“ตกลงตามนี้ พวกสาหร่ายทะเลกับปลาเค็มพวกเ้าไม่ต้องเอามา เอาแค่ไก่สิบตัว เป็ดสิบตัวก็พอ” เขาสรุป
“ได้อย่างไรกัน?” หลิวฉีซื่อยังอยากเก็บสาหร่ายทะเลกับปลาเค็มไว้ เพื่อนำไปเยี่ยมเยียนบรรดาฮูหยินเซียงเซินบางส่วน
ตอนนี้ในมือนางมีเงินไม่กี่ตำลึง หากไม่ไปหาเงินจากข้างนอก ครึ่งปีแรกจะทนอยู่ได้อย่างไร
รายได้จากการเกี่ยวข้าวต้องรอจนถึงเดือนหก รายได้จากบ้านจวงจื่อในปีนี้ยังคาดหวังไม่ได้ ไม่เพียงแต่ปีนี้ กระทั่งปีหน้าก็เช่นกัน หลิวฉีซื่อคิดว่าตนเองต้องกัดฟันออกไปหาเงินเองอีกสองปี ต่อไปก็จะกลายเป็หญิงชราที่ร่ำรวยใช้ชีวิตสุขสบายแล้ว
หลิวต้าฟู่ตอบด้วยความรำคาญ “ขืนเ้ายังพูดอีก ข้าจะให้ซานกุ้ยเอามาแค่ไก่สิบตัว เป็ดก็ไม่ต้องเอา”
ดีที่คำพูดเหล่านี้ได้ผลชะงัด
หลิวฉีซื่อไม่ส่งเสียงใดๆ เพียงแต่เอ่ย “เพราะว่าในบ้านก็ต้องร่วมเทศกาลปีใหม่ และใช้ข้าวสารเยอะ ในเมื่อเป็เื่มงคล เช่นนั้นก็ต้องเลือกจัดในเดือนมงคล ั้แ่วันที่หนึ่งถึงแปดห้ามฆ่าสัตว์ วันฤกษ์ดีคงต้องเลือก่วัน จนถึงวันที่สิบห้า”
แม้ว่าพ้นวันที่สิบห้าไปจะเป็อีกเดือนหนึ่ง แต่ทุกบ้านก็สามารถเริ่มงานไร่นาได้แล้ว ส่วนคนที่กลับมาปีใหม่ที่บ้าน ก็พากันแยกย้ายไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรและกลับบ้านฝั่งแม่กันหมด
ดังนั้นหลิวต้าฟู่จึงอยากเลือกเวลานี้ พอคิดๆ แล้วก็เอ่ยอีกว่า “หรือไม่ วันขึ้นบ้านใหม่ของเราก็จัดวันเดียวกันไปเลย!”
เดิมทีหลิวฉีซื่อ้าคัดค้าน แต่ต่อมาคิดดู ครอบครัวแยกกันแล้ว หากจัดสองงานพร้อมกันจะได้ออกค่าใช้จ่ายในคราวเดียว และได้รับน้ำใจจากทั้งสองงาน นางก็สามารถรับสินน้ำใจเป็สองเท่าตัว...
หลิวฉีซื่อคิดถึงเงินจนแทบคลั่ง...
เมื่อตัดสินใจเื่นี้ หลิวซานกุ้ยก็พาสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงกลับไปทานอาหารกลางวันช้า ส่วนบ้านเดิมนอกจากหลิวต้าฟู่แล้ว ก็ไม่มีใครรั้งพวกเขาสามคนให้อยู่ทานข้าวด้วยกัน
ตอนที่หลิวต้าฟู่เอ่ยรั้ง หลิวซานกุ้ยเองก็หวั่นไหวบ้าง ถึงอย่างไรก็เป็บิดามารดาแท้ๆ ปีใหม่ทั้งที เขาก็อยากอยู่กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา
อย่างไรก็ตาม หลิวฉีซื่อทำหน้าบึ้งตึงและวางมาดนิ่งไม่ไหวติง
เมื่อนางไม่เอ่ยปากให้ใครไปทำกับข้าว จึงไม่มีใครกล้าไป
หลิวหลี่ซื่อทำเหมือนไม่เกี่ยวกับตนและทำหน้าเชิด
ชุ่ยหลิวแอบชิงชังที่ครอบครัวหลิวเต้าเซียงนั้นใจแคบ นึกเกลียดที่พวกนางไม่ยอมควักเงินและผ้าไหมหูโจวเป็สินสอด เพราะว่าสินสอดนั้นเป็เงินที่นางสามารถใช้เป็เงินยาเซียงในอนาคตได้
หลังจากวันนั้น หลิวซานกุ้ยก็ยุ่งอยู่กับการพาสองพี่น้องไปตระเวนเยี่ยมเยียนญาติมิตรสหาย จนถึงวันที่สิบสี่เดือนหนึ่งจึงได้มีเวลาว่างสืบถามเื่ของบ้านเดิม
หลังจากที่มารดาของหวงเสียวหู่กลับมา จึงอาศัย่ระหว่างเดือนมงคลทำพิธีน่าจี๋ [1] และได้มอบเครื่องประดับให้หลิวชิวเซียงมากมาย ทั้งยังมีผ้าไหมต่างๆ นานารวมถึงขนมเปี๊ยะมงคล เทียนมงคล หมูและแพะ เป็ต้น
ส่วนขนมเปี๊ยะมงคล จางกุ้ยฮัวรับหน้าที่ให้สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงเรียกเด็กๆ ในหมู่บ้านมาแบ่งขนมกันไป เป็การเสริมความมงคล เพื่อจุดประสงค์ของการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
นางได้ยินจากว่าที่พี่เขยหวงเสียวหู่ว่า ชุ่ยหลิวถึงขั้นทำเอาคนแตกตื่น นางให้หลิวเหรินกุ้ยไปหาหลี่เจิ้ง เพื่อช่วยให้นางซื้อที่นาดีแปดไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่ในหมู่บ้านสามสิบลี้เป็สินเ้าสาว
จากนั้นหลิวซุนซื่อก็ซื้อที่นาดีสิบไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่เป็สินเ้าสาวเช่นกัน รวมกับของเดิมทั้งหมดที่มีเป็ที่นาดีสิบสี่ไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่
ในวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง หลิวเหรินกุ้ยให้หลิวจื้อไฉมาเชิญครอบครัวหลิวซานกุ้ยไปร่วมงานเลี้ยง แต่ทันทีที่หลิวจื้อไฉเปิดเข้าประตูมาก็เอ่ย “ก็แค่นางบ่าวที่มีสัญญาผูกขาด ยังคิดจะให้อาสามให้เกียรตินาง นางเป็อนุแบบไหนกัน”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าต่อไปที่บ้านเดิมตระกูลหลิวคงมีเื่คึกคักน่าดู ทว่านี่ไม่เกี่ยวกับนาง
หลิวซานกุ้ยใช้ข้ออ้างว่าอาจารย์กัวเชิญเขาไปงานสังสรรค์โคลงกลอนกับสหาย ส่วนจางกุ้ยฮัวยังอยู่เดือน สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงเองก็คร้านจะไป หลิวจื้อไฉจึงกลับไปรับหลิวจื้อเป่ากับหลิวจูเอ๋อร์มา บอกว่าขอทานข้าวกับทางนี้สักวัน
ส่วนหลิวซุนซื่อได้ยินว่ากลับไปพักที่บ้านมารดาสองวัน
ครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยกลับไปที่ตัวเมืองจังหวัดั้แ่เช้าวันที่สิบ ส่วนหลิววั่งกุ้ยก็หอบผ้าหอบผ่อนและข้าวของกลับไปพักที่บ้านเช่าข้างสถาบันเอกชนั้แ่เมื่อวาน
หลิวเต้าเซียงประเมินว่าหลิววั่งกุ้ยคงจำบัญชีแค้นนี้ไว้ฝังใจ แต่เื่นี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับนาง
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ คนในหมู่บ้านต่างก็ลือกันว่าชุ่ยหลิวนั้นไม่เป็มงคล แม้ว่าปกติทุกคนกินปลาทะเลเค็มจะมีกลิ่นคาวสักหน่อย แต่ไม่มีกลิ่นเท้าเหม็นแบบนี้ ว่ากันว่า่เช้าวันนี้ ทั่วทั้งบ้านมีแต่กลิ่นเท้าเหม็น กลิ่นนั้นสร้างความกระอักกระอ่วนยิ่งนัก...
หลิวเต้าเซียงยักไหล่ นางเพียงแค่อยากแสดงความรังเกียจต่อหลิวฉีซื่อเท่านั้น
พริบตาเดียวก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แผนการหาเงินของหลิวเต้าเซียงเริ่มปฏิบัติการได้แล้ว
หลิวซานกุ้ยนึกถึงนิสัยของหลิวฉีซื่อ จึงตัดสินใจยังไม่สร้างบ้านใหม่ แต่ซื้อที่ดินตรงเนินระหว่างูเาจำนวนสิบไร่ไว้ แล้วให้คนฉาบกำแพง ครั้งนี้เขา้าแยกเล้าหมูออกไปต่างหาก และล้อมให้อยู่ในที่ดินผืนนั้น
เมื่อพ้นเดือนหนึ่งก็เริ่มดำเนินการ หลิวซานกุ้ยเล่าเรียนกับกัวซิวฝานไปด้วย และอาศัย่ที่น้ำในลำธารยังไม่ขึ้นเพื่อรื้อสะพาน จากนั้นก็สร้างสะพานขนาดความกว้างสองคันรถม้าที่หน้าบ้านตนเอง
เดือนสิบสองปีที่แล้วตอนที่เกาจิ่วมารับของ ประจวบเหมาะกับ่ที่หิมะลงพอดี สะพานลื่นและเดินทางไม่สะดวก มีเกวียนวัวเกือบล้มลงไปในลำธาร โชคดีที่คนบังคับเกวียนวัวเป็ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ จึงไม่ได้เกิดเื่อันใด
เมื่อเล้าหมูของครอบครัวหลิวเต้าเซียงสร้างเสร็จ สะพานไม้ก็เสร็จพอดี หลิวเต้าเซียงจึงประกาศว่า
ในเดือนมีนาคม่ฤดูใบไม้ผลินี้ จะขอรับซื้อลูกไก่ในปริมาณมาก ราคาตัวละสามอีแปะ ชาวบ้านในหมู่บ้านสามสิบลี้มีสิทธิพิเศษก่อน!
ชาวบ้านในหมู่บ้านสามสิบลี้ได้รับข่าวแต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแค่รอนางเอ่ยปาก มีคนที่ฟักไข่รอไว้สองเดือนและรีบนำมาแลกเงิน เดิมทียังมีคนที่รอดูว่าจะแลกเงินได้จริงหรือไม่ เมื่อเห็นว่าแลกได้จริง ไม่ว่าในบ้านมีไก่ฟักไข่หรือไม่ ก็จะไปเก็บพันธุ์ไข่มาหมด ส่วนแม่บ้านที่มีไหวพริบก็วิ่งโร่กลับมาบ้านเพื่อไปเอาไก่พันธุ์กับไข่พันธุ์มา
หลิวเต้าเซียงไม่คิดว่าไก่ของครอบครัวนั้นจะต้องมาจากการฟักไข่เองทั้งหมด จึงมีการรับซื้อ ทำให้หมู่บ้านสามสิบลี้ที่เดิมทีเหมือนจะเหี่ยวเฉาตายก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
“น้องรอง บ้านเรารับลูกไก่ไว้ไม่น้อยแล้ว เ้าเองก็มีสั่งไว้ด้วยไม่ใช่หรือ?” หลังจากนั้นหนึ่งเดือน หลิวชิวเซียงยืนอยู่ในเล้าไก่และกำลังปล่อยพวกมันให้ออกมารับแสงแดด
-----
เชิงอรรถ
[1] พิธีน่าจี๋ 纳吉 น่า-จี๋ คือหนึ่งในหกพิธีรีตองของการสมรสในประเทศจีน ซึ่งน่าจี๋คือหลังจากที่ฝ่ายชายได้ทำการขอวันเดือนปีเกิดแล้ว จากนั้นก็จะเรียนแจ้งข่าวดีมงคลให้แก่ฝ่ายเ้าสาว พร้อมกับจัดเตรียมของขวัญในการหมั้นหมาย