เยว่ซินเหยาเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ดวงตาของมู่เฟิงก็หม่นแสงลงเล็กน้อย และเพียงไม่นานเขาก็ส่ายหน้าเป็คำตอบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ใสกระจ่างผ่านช่องว่างระหว่างแมกไม้ที่ปกคลุม เขาครุ่นคิดเล็กน้อยถึงค่อยกล่าวว่า “ั้แ่ข้าเกิดมา ข้าก็ไม่เคยพบหน้าท่านแม่มาก่อน แต่ความอ่อนโยนของท่านแม่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของข้าเสมอมา ข้าเติบโตภายใต้การดูแลของท่านพ่ออยู่ในกองทัพ แต่ต่อมาท่านพ่อของข้าก็เสียชีวิตลงในสนามรบเพื่อบ้านเมือง”
เสียงของมู่เฟิงแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน เผยให้เห็นร่องรอยของความโดดเดี่ยวและความเศร้าสร้อย
เมื่อได้เห็นท่าทีทุกข์โศกของอีกฝ่าย เยว่ซินเหยาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่นางกล่าวถึงเื่นี้ “ข้าขออภัยด้วย...”
“ไม่เป็ไร ข้าชินแล้ว”
มู่เฟิงส่ายหน้า ก่อนจะถามกลับว่า “แล้วท่านเล่า ข้าคิดว่าเทพธิดาซินเหยาคงจะไม่ใช่คนทั่วไปเป็แน่”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ เยว่ซินเหยาก็วางจานหยกลง ก่อนจะเช็ดมือและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยพบท่านแม่ของข้ามาก่อนเช่นกัน นางเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดข้า ข้าเกิดในครอบครัวใหญ่ ท่านพ่อของข้าเป็หัวหน้าเผ่า นับั้แ่ยังเด็กข้าไม่เคยต้องกังวลเื่อาหารการกินหรือว่าเื่เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่เลยแม้แต่น้อย หลายคนต่างก็อิจฉาข้า เพียงแต่ข้าไม่เคยมีความสุขกับสิ่งเหล่านี้เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็พลันนึกขึ้นมาได้เช่นกัน เขาจึงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเกิดมาในตระกูลใหญ่เหมือนกัน แม้ว่าข้าจะได้รับการปรนเปรอจากสิ่งที่คนทั่วไปไม่มีวันได้รับ แต่ภาระหน้าที่ที่ข้าต้องแบกรับเอาไว้นั้นก็เป็สิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน”
“หึๆ แม้เ้าจะอายุยังน้อย แต่ประสบการณ์คงมีไม่น้อยทีเดียว”
เยว่ซินเหยายิ้มบาง
“ข้าล้วนเคยประสบมาด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงเข้าใจมันเป็อย่างดี"
มู่เฟิงส่ายหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เยว่ซินเหยาพยักหน้า ก่อนจะเสตามองไปทางเสี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้าง นางกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เ้าไปหางูเจียวตัวนี้มาจากที่ใด? ในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้ งูเจียวเป็สิ่งที่พบเห็นได้ยากมาก”
เสี่ยวเทียนมองเยว่ซินเหยาอย่างหวาดกลัว จากนั้นมันก็ครางเสียงต่ำออกมา มันหดตัวเล็กลงก่อนจะเลื้อยไปโอบรอบแขนของมู่เฟิง
“เ้างูน้อยตัวนี้วิวัฒนาการมาจากงูเหลือม”
มู่เฟิงยกมือขึ้นลูบเสี่ยวเทียนที่เกาะอยู่บนแขนของเขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ ช่างบังเอิญนัก ข้ามีเคล็ดวิชาอยู่บทหนึ่งเรียกว่า ‘เคล็ดวิชาวิวัฒน์ั’ เหมาะให้มันฝึกฝนเป็อย่างยิ่ง ในเมื่อได้พบกันแล้วก็นับว่าเป็วาสนา เช่นนั้นวันนี้ข้าจะส่งมอบมันให้กับเ้างูน้อยตัวนี้ก็แล้วกัน”
เยว่ซินเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ชี้นิ้วเรียวขาวราวกับหยกไปที่เสี่ยวเทียน แสงของจิติญญาสีทองสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นและพุ่งไปยังศีรษะของเสี่ยวเทียนทันที
“จิติญญาถ่ายทอด”
มู่เฟิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นภาพนี้
การถ่ายทอดความทรงจำไปยังห้วงความคิดของผู้อื่นโดยตรงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานทั่วไปจะสามารถทำได้
ตอนที่ซีเยว่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่างๆ ให้เขาล้วนใช้วิธีการแบบนี้เช่นกัน
“ขอบคุณเทพธิดาซินเหยา”
มู่เฟิงประสานมือกำหมัดและคำนับไปทางเยว่ซินเหยา
เยว่ซินเหยาเพียงพยักหน้ารับอย่างเรียบเฉย จากนั้นนางก็ยื่นมือไปหาเสี่ยวเทียน มันจึงเลื้อยขึ้นมาบนแขนของเยว่ซินเหยาอย่างเชื่อฟัง
เยว่ซินเหยาลูบมือลงบนตัวของเสี่ยวเทียน ก่อนจะกล่าวกับมู่เฟิงว่า “เื่ราวของโลกใบนี้ เ้าเข้าใจมันมากแค่ไหนอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากได้ยินคำถามนี้แล้ว มู่เฟิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ท่านหมายถึงแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่? ข้าไม่ค่อยรู้เื่อะไรมากนัก แต่ข้ารู้ว่าดินแดนเป่ยหยวนแห่งนี้เป็เพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งบนแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่เท่านั้น อาณาเขตของแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่นั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีข่าวลือว่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตาน ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจบินผ่านแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่ได้ทั้งหมด”
“ถูกต้องแล้ว โลกแห่งนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่เ้าจะสามารถจินตนาการได้ อันที่จริงแล้วแผ่นดินใหญ่เป๋ยอู่เองก็เป็แค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งของโลกใบนี้เท่านั้น เ้าก็จงเพียรพยายามให้มาก สักวันหนึ่งเ้าจะสามารถออกไปจากสถานที่อันเล็กกระจ้อยแห่งนี้และสามารถมองดูท้องฟ้าอันกว้างของโลกภายนอกได้”
เยว่ซินเหยากล่าวถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา
“ขอรับ ภายในใจข้านั้นมีความทะเยอทะยานอยู่มาก จะต้องไม่หยุดอยู่แค่ที่นี่อย่างแน่นอน สักวันหนึ่งข้าจะเหยียบไปให้ถึงเก้า์ชั้นฟ้า ชมทัศนียภาพที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก”
ดวงตาของมู่เฟิงเผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึก
“จงจดจำความฝันของเ้าเอาไว้ให้ดี ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่คนผู้นั้นอายุเท่ากับเ้า เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘สักวันหนึ่งแม้แต่์ก็จะไม่อาจผูกมัดข้าเอาไว้ได้ ผืนปฐีก็จะไม่อาจกดทับข้าเอาไว้ได้ ผู้คนก็จะไม่อาจรังแกข้าได้อีกต่อไป’ และเขาก็สามารถทำมันได้สำเร็จในท้ายที่สุด เขากลายเป็บุคคลที่ทรงพลังอันดับหนึ่งของใต้หล้านี้ มนุษย์ ต้องมีความฝันอันยิ่งใหญ่จึงจะสามารถเดินไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น”
“ลูกผู้ชายต้องมีความทะเยอทะยานที่จะทำลายเจตจำนงของ์”
เยว่ซินเหยากล่าวต่อ
“ลูกผู้ชายต้องมีความทะเยอทะยานที่จะทำลายเจตจำนงของ์...”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง เหมือนว่าประโยคเมื่อครู่จะสามารถจุดไฟแห่งความทะเยอทะยานในมุมหนึ่งของจิตใจของเขาได้
“คนที่ท่านกล่าวถึงเขามีนามว่าอะไรหรือขอรับ? คนที่แข็งแกร่งเป็อันดับหนึ่งของใต้หล้า หรือว่าเขาจะเป็ราชันของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
เยว่ซินเหยายิ้มก่อนจะกล่าวว่า “เขามีนามว่าลั่วอวี่ ทุกคนล้วนเรียกขานเขาว่าท่านลั่ว ราชันของแผ่นดินใหญ่อย่างนั้นรึ? ดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้ยังไม่คู่ควรกับเขาด้วยซ้ำ เขาคือบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า เป็บุรุษที่ได้รับความเทิดทูนเป็อย่างมาก”
ในคำพูดของเยว่ซินเหยาแฝงไว้ด้วยความชื่นชมและเคารพเทิดทูน
“ท่านลั่ว ลั่วอวี่…”
มู่เฟิงพึมพำกับตัวเอง จดจำชื่อนี้เอาไว้ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเื่นี้ เพราะคนผู้นี้ยังห่างไกลจากตัวเขามากเกินไป แม้ในใจของเขาจะมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด แต่เขาก็ต้องยืนอยู่ในหลักของความเป็จริง
“ปลาที่มีชีวิตย่อมต้องไหลทวนกระแสน้ำ ปลาที่ไหลตามกระแสน้ำมีเพียงปลาตายเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์ล้วนต้องต่อสู้ดิ้นรน มู่เฟิง อย่าได้กล่าวโทษความอยุติธรรมและความขรุขระบนเส้นทางของเ้าเลย บางทีสักวันหนึ่งเ้าอาจจะพบว่าเส้นทางที่มีขึ้นมีลงเหล่านี้ของเ้าคือแรงขับเคลื่อนให้เ้ามีความก้าวหน้า ขอเพียงเ้าอย่าหลงลืมความตั้งใจแรกเริ่ม และอย่าหวั่นเกรงต่อความลำบากก็พอ”
เยว่ซินเหยาวางเสี่ยวเทียนลงก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น นางทิ้งประโยคนี้ให้มู่เฟิงได้ขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างลึกซึ้ง จากนั้นร่างบางข้างกองไฟก็พลันอันตรธานหายไป เหลือไว้เพียงเสียงที่ดังก้องภายในป่า
“เทพธิดาซินเหยา?”
มู่เฟิงลุกขึ้นยืนและกวาดตามองไปรอบๆ แต่ภายใต้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนนี้ ร่างของสาวงามได้หายไปแล้ว
“สตรีผู้นี้ช่างแปลกนัก...”
มู่เฟิงพึมพำ จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิลงข้างกองไฟเพื่อมองดูภาพลายเส้นต่อ
แต่ภายในใจของเขากลับไม่อาจสงบลงได้
“ปลาที่มีชีวิตย่อมต้องไหลทวนกระแสน้ำ ปลาที่ไหลตามกระแสน้ำมีเพียงปลาตายเท่านั้น ต้องต่อสู้และดิ้นรน...”
มู่เฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้าในยามค่ำคืน เขายื่นมือออกไปคว้าจับดวงดาว จากนั้นมุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
“สักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็บุคคลที่สามารถคว้าจับดวงดาราและจันทราได้"
“ฝึกฝนให้หนัก อย่าได้ทะเยอทะยานจนเกินตัว”
ทันใดนั้นเสียงเ็าของซีเยว่ก็ก้องขึ้นมาในหัวของมู่เฟิง
“เยว่เอ๋อร์ เ้าไม่ได้หลับอยู่หรอกหรือ”
มู่เฟิงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“หลับอะไร ข้าตื่นนานแล้ว เพียงแต่พลังิญญาของสตรีเมื่อครู่ผู้นั้นแข็งแกร่งมาก ข้าจึงไม่ได้ส่งเสียงออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงการรับรู้ของนาง”
ซีเยว่กล่าวเสียงเรียบ
“โอ้ เ้าพอจะดูออกหรือไม่ว่านางเป็ใคร? สตรีผู้นี้ลึกลับมาก อีกทั้งนางยังเคยพบมารดาของข้ามาก่อนด้วย”
มู่เฟิงถามขึ้นด้วยความสนใจ
“ไม่รู้สิ ข้าไม่สามารถตรวจสอบนางได้ แต่คิดว่านางคงไม่ใช่มนุษย์”
ซีเยว่กล่าว
“ไม่ใช่มนุษย์...”
มู่เฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะเขาเองก็ไม่ถือว่าเป็เผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วเช่นกัน
“ว่าแต่เยว่เอ๋อร์ เ้ารู้จักท่านลั่วหรือไม่?”
มู่เฟิงถามขึ้นอีกครั้ง
“แน่นอนว่าต้องรู้จัก แต่การดำรงอยู่ของบุคคลระดับนั้นอยู่ไกลจากตัวเ้ามากเกินไป เวลานี้เ้าควรจะเอาเวลาไปคิดถึงวิธีที่จะทะลวงขึ้นสู่ระดับหนิงกังจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ตอนนี้เขายังมองไม่เห็นเค้ารางของวรยุทธ์ระดับหนิงกังเลยแม้แต่น้อย
“เคล็ดวิชาชูร่าสามารถกลั่นพลังกังชี่ออกมาภายในร่างกายของเ้าได้ นอกจากนี้เ้ายังสามารถดึงเอาสายเืชูร่ามากลั่นเป็พลังธาตุพิเศษของพลังกังชี่ได้อีกด้วย ตอนนี้เ้าฝึกฝนจนถึงระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าแล้ว เ้าสามารถลองกลั่นพลังกังชี่ออกมาภายในร่างกายของเ้าได้”
ซีเยว่กล่าวขึ้น