“ไม่ว่าเื่ใดก็ไม่อาจปิดบังฮูหยินฉินได้จริงๆ ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะอยากจะร่วมมือกับฮูหยิน” เจียงเฉิงพูดยิ้มๆ
อวิ๋นซีอ้อออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นจึงถามออกไปด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่า ท่านคิดอยากจะร่วมมือกับตระกูลฉินอย่างไร? ”
“ระหว่างทางที่มาข้าได้คำนวณแล้ว ภัตตาคารของตระกูลเจียงในเมืองใหญ่ทั้งหนึ่งร้อยสามสิบกว่าเมืองนั้นจะเปลี่ยนไปใช้โต๊ะไม้หมุนได้นี้ทั้งหมด หากจะซื้อก็จำต้องมีหลายพันทีเดียว มิทราบว่าฮูหยินจะขายให้ข้าด้วยราคาตามท้องตลาดในตอนนี้หรือ? ” เจียงเฉิงผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตานั้นกลับฉายแววเฉลียวฉลาดยิ่ง เขารู้ดีว่าตนนั้นฉลาด แต่คนตรงหน้าผู้นี้ก็มิได้เขลา ถ้าเขา้าสิ่งที่ตนปรารถนา ดูท่าคงจะต้องเหนื่อยสักหน่อยแล้ว
นิ้วของอวิ๋นซีเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เงียบเป็นานถึงได้ตอบคำ “ข้าเคยไปภัตตาคารของพวกท่านมาก่อน อันที่จริงพวกท่านไม่มีความจำเป็ให้ต้องเปลี่ยนโต๊ะทั้งหมดเป็โต๊ะหมุนได้ หากทำเช่นนั้นจะเป็การสิ้นเปลืองเกินไป แต่ท่านสามารถเปลี่ยนไปใช้โต๊ะไม้หมุนได้เฉพาะในส่วนของห้องรับรองส่วนตัวได้ หากจัดแต่งให้งดงาม ดูหรูหรามีระดับสักหน่อย ห้องรับรองส่วนตัวหรูหรานี้ของท่านก็จะเปิดให้เข้าได้เฉพาะคนมีเงิน”
เจียงเฉิงขยับเปลี่ยนท่านั่ง จากนั้นก็แสดงท่าทางสื่อว่า ให้อวิ๋นซีพูดต่อ
อวิ๋นซีกล่าวต่อในทันที “ห้องรับรองหรูหรานี้จะต้องไม่เหมือนห้องส่วนตัวห้องอื่นของพวกท่าน ซึ่งท่านจะสามารถเลือกเก็บเงินเป็ค่าใช้บริการก็ได้ เช่นว่าหากข้าแวะไปกินอาหารในห้องรับรองหรูของพวกท่านแล้ว ท่านก็อาจเก็บค่าเข้าใช้งานครั้งละห้าร้อยตำลึง แน่นอน เื่ที่ท่านจะเก็บเท่าไรข้อนี้ขึ้นอยู่กับพวกท่านเอง ส่วนห้องรับรองหรูที่ว่านี้ ท่านก็สามารถทำขึ้นแค่แห่งละสองถึงสามห้องเฉพาะร้านที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ๆ หรืออำเภอที่มีคนพลุกพล่านมากๆ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว แต่หากไม่อยากใช้วิธีเก็บค่าเข้าใช้งาน พวกท่านก็สามารถกำหนดรายการอาหารที่มีเฉพาะสำหรับห้องรับรองหรูแต่ละห้องได้ ซึ่งรายการอาหารเหล่านี้จะกินได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปนั่งในห้องรับรองนั้นแล้วเท่านั้น เช่นว่า หากเป็ข้า ข้าจะนำรายการอาหารขึ้นชื่อทั้งหลายมารวมเป็ชุดเดียวกัน โต๊ะหนึ่งราคาหนึ่งร้อยตำลึง สองร้อยตำลึง และมีเพียงคนที่สั่งอาหารเป็ชุดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เข้าไปใช้ห้องรับรองหรูเ่าั้ได้”
อาหารชุดแบบนี้สามารถพบเห็นได้บ่อยในโรงแรมหรือภัตตาคารในยุคปัจจุบัน
หากทำสักสองสามห้อง อย่างน้อยๆ เจียงเฉิงก็ต้องสั่งซื้อโต๊ะหลายร้อยตัว ไม่ว่าอย่างไรการทำกิจการร้านอาหารและโรงเตี๊ยมก็จำเป็ต้องมีโต๊ะและเก้าอี้เช่นนี้ ซึ่งคำสั่งซื้อของตระกูลเจียงนับว่าเพียงพอให้โรงไม้ของตระกูลฉินอยู่ไปได้อีกนาน
เมื่อเจียงเฉิงได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “แผนการของฮูหยินฉินนับว่าเยี่ยมยอดจริงๆ ” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าภัตตาคารของตระกูลเจียงนั้นยังขาดอะไรไปอยู่ และเป็ตอนนี้เองที่ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจแล้ว การจับรายการอาหารต่างๆ มาจัดรวมกันเป็ชุด? ความคิดเช่นนี้เขาไม่เคยมีมาก่อนเลย
“เป็อย่างไร ท่านจะสั่งซื้อหรือไม่? ” อวิ๋นซียิ้มบางๆ ถาม
เมื่อเจียงเฉิงได้ยินก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา “ฮูหยินฉิน เดิมทีผู้น้อยแซ่เจียงคิดอยากจะมาที่นี่ด้วยตนเองสักครา เพื่อหวังจะดูว่า นายท่านฉินจะยั้งมือไว้ไมตรีให้สักหน่อยหรือไม่ คิดราคาโต๊ะเ่าั้ให้ข้าในราคาที่ถูกลงกว่าราคาตั้งต้นหน่อย ดูท่า ตอนนี้ยังไม่ทันได้ต่อรองราคา ผู้น้อยแซ่เจียงกลับรู้สึกว่า ฮูหยินพูดมาตั้งมากมายเพียงนี้คงกำลังหลอกล่อให้ผู้น้อยหลงเข้าไปในกับดักของท่านแล้ว”
อวิ๋นซียิ้มบางๆ จิบชา จากนั้นก็พูดอย่างเรียบเฉย “แน่นอนว่าข้าต้องให้ราคาที่ถูกกว่าอยู่แล้ว อย่างไรเสียท่านก็เป็ลูกค้ารายใหญ่ เช่นนี้แล้วกัน โต๊ะเก้าอี้ครบชุด ราคาปกติจะอยู่ที่ตัวละหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง หากว่านายท่านเจียง้าละก็ โต๊ะร้อยตัว ข้าลดให้ห้าเปอร์เซ็นต์ ห้าร้อยตัวขึ้นไป ข้าลดให้สิบเปอร์เซ็นต์ แต่หากพันตัวขึ้นไป ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ตอนที่เจียงเฉิยงได้ยินคำว่า ‘ห้าเปอร์เซ็นต์’ ของนางก็ถึงกับโง่งมไป และเป็เวลาเดียวกันกับที่อวิ๋นซีเพิ่งคิดได้ว่าตนเผลอใช้ศัพท์ของยุคปัจจุบันเข้ามา นางจึงรีบอธิบายแจกแจงกับเขาว่าการลดราคาแต่ละเปอร์เซ็นต์หมายความว่าอย่างไร
เมื่อเจียงเฉิงได้ฟังก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันที อวิ๋นซีเห็นท่าทีเขาเช่นนี้ จึงได้เริ่มพูดต่อ “จริงๆ แล้วยามที่นายท่านเจียง้าจะขายข้าวหรืออาหารในภัตตาคารยังสามารถลดราคาให้ลูกค้าเก่าหรือลูกค้าประจำได้ด้วยการจัดให้มีบัตรสมาชิก และการที่คนเ่าั้้าทำบัตรสมาชิกสักใบก็ต้องใช้เงินไม่กี่ตำลึงเพื่อแลกมา ในวันหน้ายามที่พวกเขามาหาซื้ออาหารในร้านของท่านก็จะสามารถได้รับส่วนลดจากราคาเต็มให้ถูกลงอีกหน่อย เช่นนี้เมื่อเวลานานไป ท่านก็จะได้ลูกค้าเก่ามากขึ้น”
อวิ๋นซีมองดูท่าทีตกอกใของเจียงเฉิงก็ทำเพียงยิ้มบางๆ ส่งกลับไป การที่นางยอมบอกเื่เหล่านี้แก่เขาก็เป็เพราะการค้าที่นาง้าจะทำนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกิจการใดๆ ของอีกฝ่าย ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่มีความ้าทับซ้อนกัน การบอกสิ่งที่ตนรู้ สิ่งที่ตนเข้าใจให้กับเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการทำให้อีกฝ่ายติดค้างน้ำใจ เหตุใดในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ตัวนางจักไม่ทำเล่า?
เจียงเฉิงมองไปยังอวิ๋นซีก็เห็นเพียงสีหน้านางที่เรียบเฉย ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าฮูหยินฉินผู้นี้้าสิ่งใด เขาขบคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “แล้วถ้าหาก ข้า้านำโต๊ะไม้หมุนได้จากโรงไม้ของฮูหยินฉินไปขายที่อื่นเล่า ไม่ทราบว่าฮูหยินฉินจักตกลงหรือไม่? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ขบคิด จากนั้นก็ยิ้มตอบ “แน่นอนว่าตกลง แต่อันดับแรกท่านจักต้องจ่ายค่าตัวแทนจำหน่ายก่อน ผู้นำตระกูลเจียงน่าจะเข้าใจดี หากไม่มีการยอมรับจากตระกูลฉินของข้า ไม่ว่าใครก็ตามที่จะผลิตหรือขายโต๊ะเหล่านี้ล้วนเป็การขัดต่อพระบัญชาของหานอ๋อง และจักต้องได้รับโทษสูงสุดทั้งสิ้น”
เจียงเฉิงขบคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วจึงถามต่อ “ท่าน้าค่าตัวแทนจำหน่ายเท่าไร” ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าใจในความหมายของนางทั้งหมด แต่ก็ไม่ยากที่จะเดาได้ว่า สิ่งๆ นั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเงิน
อวิ๋นซีขบคิด จากนั้นก็ยิ้มตอบ “หมื่นตำลึงต่อสัญญาสองปี ข้าจะให้ท่านในราคาที่ถูกกว่าราคาขายสามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนราคาที่ท่านจะสามารถขายออกไปได้นั้นจะต้องเป็ราคาเดียวกันกับของเรา และสองปีให้หลัง หากท่านยัง้าเป็ตัวแทนจำหน่ายแห่งแคว้นหนานเย่าต่อ ก็จำต้องจ่ายแยกต่างหาก”
เจียงเฉิงและพ่อบ้านมีสีหน้าท่าทางไม่ต่างกัน ทันทีที่ได้ยินว่าหมื่นตำลึง บุรุษทั้งสองต่างพากันสูดหายใจเข้าลึก สตรีผู้นี้พูดจาใหญ่โตเกินไปแล้ว
“จริงๆ แล้วหากท่านคิดจะลงทุนกับเรา ก็หาได้ขาดทุนเลยสักนิด เพราะว่าโรงไม้ตระกูลฉินของเราไม่ได้มีแค่โต๊ะไม้หมุนได้เพียงอย่างเดียว” เมื่อพูดจบ อวิ๋นซีก็ลุกขึ้นยืนพูดกับเจียงเฉิงว่า “เรายังมีสินค้าอื่นอีกด้วย ท่านลองดูแล้วค่อยคิดต่อเถิดว่า จะขาดทุนหรือไม่”
เมื่อพูดจบ นางก็เดินนำเจียงเฉิงไปยังห้องทำงานในจวนฉิน เจียงเฉิงไม่ได้เข้าใจในความหมายและการกระทำนี้ แต่ก็ตัดสินใจที่จะเดินตามเข้าไป เพราะเขาเองก็อยากรู้มากเช่นกันว่า สตรีผู้นี้มีสิ่งใดที่ตนไม่รู้อีก
ตอนที่อวิ๋นซีเดินไปถึงห้องทำงานนั้น นายช่างทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวกับนางด้วยท่าทีเคารพนบนอบ “ฮูหยิน โต๊ะน้ำชาและเตียงสองชั้นประกอบเสร็จแล้วขอรับ”
นางอมยิ้มพยักหน้า “ลำบากทุกท่านแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้คนจัดเตรียมของว่างไว้ให้พวกเ้า เช่นนั้นก็ไปพักผ่อน ดื่มน้ำชา กินของว่างสักครู่ก่อนเถิด”
เมื่อนางพูดจบก็เห็นเจียงเฉิงกำลังลูบไล้เตียงสองชั้นเ่าั้พอดิบพอดี ในสายตาเขาปรากฏแววตื่นตะลึง “ฮูหยินฉิน นี่คือ...”
อวิ๋นซีเดินไปข้างกายเขาแล้วรีบตอบ “นี่คือเตียงสองชั้น ทั้งบนและล่างสามารถนอนได้ทั้งสิ้น หากไม่อยากได้เตียงสองชั้นก็สามารถเปลี่ยนชั้นล่างให้เป็โต๊ะหนังสือ แล้วค่อยสร้างชั้นหนังสือขึ้นมาเพิ่ม เพื่อทดแทนเตียงชั้นล่าง เมื่อเป็เช่นนี้ ้าให้คนนอน ด้านล่างสามารถทำงานได้ นี่เรียกได้ว่าหนึ่งอย่างได้ประโยชน์สองสถาน”
เจียงเฉิงมองเตียงสองชั้นพลางฟังอวิ๋นซีอธิบายเื่โต๊ะน้ำชาต่อ เขาไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอย่างไรดี เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เขาล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน นี่มันแปลกใหม่เกินไป
“สิ่งเหล่านี้ข้าล้วน้าผลิตออกมาขาย” นางยิ้มมองไปยังเจียงเฉิง “อีกทั้ง หลังจากนี้ยังจะมีสินค้าอื่นตามออกมาอีก”
“ฮูหยินฉิน ผู้น้อยแซ่เจียงขอถามสักเล็กน้อย หากข้าได้เป็ตัวแทนจำหน่าย ในวันหน้าท่านจะลดราคาลงมาเพื่อแข่งขันกับข้าหรือไม่? ” นี่คือสิ่งที่เจียงเฉิงเป็กังวล