พานซานทำงานอะไรกันแน่
ใครสามารถตามหาตัวพานซานได้บ้าง?
ตระกูลโจวออกหน้าไม่ได้ เช่นนั้นคังเหว่ยเล่าทำได้หรือเปล่า?
ถ้ามีใครสามารถตามหาพานซานเจอก็คงจะเป็คังเหว่ย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ตัดสินใจเองโดยพลการ เพราะเธอบอกความคิดของตนกับโจวกั๋วปิน
“ฉันอยากลองถามคังเหว่ยดูค่ะ คุณอาโจวคิดว่าดีไหมคะ”
ลูกชายตระกูลคังคนนั้นน่ะหรือ?
โจวกั๋วปินรู้ดีว่าคังเหว่ยใช้ชีวิตไปวันๆ สัญชาตญาณของเขาบอกว่าหากให้คังเหว่ยช่วยคงพังไม่เป็ท่าอย่างแน่นอน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมั่นใจในตัวคังเหว่ย “คุณอาโจวคงไม่ได้เจอคังเหว่ยมานานควรมองเขาใหม่นะคะ ตอนนี้คังเหว่ยไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว เทียบกับตอนฉันเพิ่งรู้จักเขา เขาเปลี่ยนไปเยอะมากทีเดียวค่ะ”
เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะเปลี่ยนเป็ชายหนุ่มได้อย่างไรกัน
นี่ไม่ได้หมายถึงการนำความบริสุทธิ์ของตนไปมอบให้สหายหญิงคนไหนแล้วถึงจะกลายเป็ชายหนุ่มเสียหน่อย
คนบางคนอายุสิบกว่าปีก็ต้องแบกรับภาระของที่บ้านแล้ว แม้รูปร่างหน้าตาจะยังคงเป็แค่เด็กน้อย ทว่าภายนอกดูเป็เด็กก็จริงแต่ความจริงเป็ผู้ใหญ่มีถมไป
ขณะที่คนบางคนนั้นลุ่มๆ ดอนๆ มาทั้งชีวิต แต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรับผิดชอบคืออะไร คอยแต่จะเกาะพ่อแม่ เกาะเมีย จากนั้นก็เกาะลูกกิน
คนพวกนี้ต่อให้เส้นผมกลายเป็สีขาวโพลน ก็ไม่อาจเรียกว่าลูกผู้ชายได้
เมื่อก่อนคังเหว่ยมักจะทำตัวเหลวไหล ตอนนี้แม้แต่หัวหน้างานของเขาก็ยังคิดว่าเขาเป็พวกไม่เอาไหน อย่างไรก็ตามนั่นเป็เพราะเมื่อก่อนคังเหว่ยยังไม่เจอสิ่งที่ตัวเองชอบ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่า่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้คังเหว่ยเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน จากขายบุหรี่จนกระทั่งหันมาทำธุรกิจวัสดุก่อสร้าง นับั้แ่วันที่เขาตัดสินใจว่าจะปรับปรุงบ้านให้ครอบครัว คังเหว่ยก็เริ่มแบกรับภาระของครอบครัวมากขึ้น
หาเงินได้ กล้าตัดสินใจ ดูน่าเชื่อถือขึ้น ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเธอสามารถเชื่อใจเขาได้ นี่คือความเชื่อมั่นที่คังเหว่ยสร้างขึ้นมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกว่า และเห็นได้ชัดว่าสำหรับโจวกั๋วปิน เซี่ยเสี่ยวหลานก็มีความน่าเชื่อถือเช่นกัน เธอบอกว่าคังเหว่ยสามารถจัดการเื่นี้ได้ โจวกั๋วปินก็ยินดีเชื่อในการตัดสินใจของเธอ
เมื่อได้รับการเห็นชอบจากโจวกั๋วปิน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเดินทางไปหาคังเหว่ย
โชคดีที่่นี้คังเหว่ยอยู่ปักกิ่งพอดี ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่เผิงเฉิง เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงสองวันก็อยากนัดเซี่ยเสี่ยวหลานมากินข้าวด้วยกัน แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งเสียจนไม่มีเวลาว่างมาเจอเขา
พอได้ยินเซี่ยเสี่ยวหลานเรียก คังเหว่ยจึงรีบมาหาทันที ทั้งยังพาเส้ากวงหรงมาด้วย
“พี่สะใภ้ เื่ของเธอกับตระกูลจี้นี่มันอย่างไรกัน ทำไมฉันได้ยินว่าตระกูลจี้ทำตัวน่ารังเกียจ ถ้าลูกชายตระกูลนั้นทำตัวไม่ดี ฉันช่วยสั่งสอนให้เอาไหม”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย! ฉันช่วยพูดแทนเธอต่อหน้าคุณอาโจว ชมว่าเป็ผู้ใหญ่ที่สามารถพึ่งพาได้ ยังไม่ทันไรจะปล่อยให้เธอทำเสียเื่ได้อย่างไรกัน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกไม่ถึงว่าเส้ากวงหรงจะมาด้วยเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เล่าเื่ของโจวเฉิงในทันที เื่นี้คนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี จะพูดไม่ดูตาม้าตาเรือเพียงเพราะเส้ากวงหรงสนิทกับโจวเฉิงไม่ได้
“่นี้ทบทวนบทเรียนเป็อย่างไรบ้าง”
เส้ากวงหรงทำสีหน้าหน้าห่อเหี่ยว “อย่าพูดถึงเลย ถ้าอยากสอบเกาเข่าปีหน้าจริงๆ ฉันว่าฉันคงไม่รอดแน่!”
เื่นี้เดิมทีเส้ากวงหรงก็โลกสวยเกินไป เขาทำงานมาตั้งกี่ปีแล้ว อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร ตอนนี้กลับคิดอยากไปสอบแข่งกับคนอื่น ทันทีที่เขาเห็นเอกสารทบทวนบทเรียนแล้วก็ได้แต่ทำหน้างง
“ฉันจะขอให้คนเอาสมุดบันทึกของฉันมาให้เธอ อย่างไรก็อ่านมันไปก่อนแล้วกัน”
หากไม่ได้จริงๆ ค่อยหาวิธีอื่น
ความจริงเซี่ยเสี่ยวหลานรู้เื่หนึ่งจากปากอาจารย์หลินว่าหลังปีใหม่หัวชิงอาจจะเปิด ‘สถาบันเพื่อการศึกษาต่อ’ ซึ่งก็คือการเลื่อนระดับของวุฒิการศึกษา หากเส้ากวงหรง้าวุฒิการศึกษา อาจจะไม่ต้องสอบเกาเข่าแล้วก็เป็ได้ จากวุฒิการศึกษาระดับวิชาชีพสามารถเลื่อนไปเป็ระดับวิชาชีพชั้นสูง แล้วค่อยมาต่อปริญญาตรี ถ้าหัวชิงเปิดสถาบันเพื่อการศึกษาต่อจริงก็เท่ากับเป็ผู้เปิดทางเลือกใหม่ เป็มหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศจีนที่ลงมือปฏิบัติจริง
สหายเสี่ยวเส้าตอนนี้ยังคงพยายามทบทวนบทเรียนอยู่ ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่อยากทำลายความกระตือรือร้นของเขา
หลังทั้งสามคนกินข้าวเสร็จ เส้ากวงหรงก็มองออกว่า บางทีวันนี้ตนอาจจะไม่ควรตามมาด้วย หลังจ่ายเงินเสร็จเขาจึงบอกว่าต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือ
พอเหลือกันแค่สองคน เซี่ยเสี่ยวหลานถึงเล่าเื่ที่โจวเฉิงถูกกักตัวเพื่อสอบสวนให้คังเหว่ยฟัง คังเหว่ยตะลึงตาค้างอยู่สักพัก ก่อนจะสบถออกมา
“พี่พานซานจะค้าของเถื่อนได้อย่างไรกัน!”
ค้าของเถื่อนทำเงินได้หรือ? แน่นอนว่าได้
แต่เงินนี้เป็เงินเปื้อนเื ตอนหลิวหย่งเป็พ่อค้าขายของเถื่อนตัวเล็กๆ ยังเกือบถูกคนฆ่าตาย แก๊งค้าของเถื่อนขนาดใหญ่มีคนตายเป็เื่ปกติ อย่างไรพอมีคนตายก็เพียงจับโยนทิ้งทะเลให้ปลากินศพไม่ให้เหลือซาก ส่วนกระดูกก็จะจมอยู่ใต้ท้องทะเล กลายเป็ ‘ผู้หายสาบสูญ’ ไปตลอดชีวิต
พี่พานซานแค่หน้าตาดูโหดไปหน่อย แต่ความจริงเขาเป็คนใจอ่อน
คังเหว่ยคิดว่าต่อให้เขาค้าของเถื่อนก็ไม่มีทางทำที่ประเทศจีนอย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานทำหน้าเอือม “เธอหมายความว่าเขาสามารถทำที่ฮ่องกง ไต้หวัน หรือไม่ก็ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างนั้นรึ”
คังเหว่ยเสียงเริ่มแ่ลง
“...ไม่ได้หรือ”
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จะตอบเขาอย่างไรเหมือนกัน
ถ้าพานซานอยากทำธุรกิจนี้ข้างนอก เช่นนั้นเขาก็จะถูกหมายหัวมิใช่หรือ
จะบอกว่าพานซานเป็พวกบูชาเงินก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เขาขับรถคันเก่า เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ได้ดูดีอะไร โจวกั๋วปินบอกว่าพานซานได้รวบรวมกลุ่มทหารปลดประจำการ อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่ทำแค่เพื่อประโยชน์ของตัวเองอย่างแน่นอน
คนที่จิตใจดีและเอื้อเฟื้อ ส่วนมากจะถูกความใจดีของตนผูกมัด เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเหนื่อยแทนพานซานเหลือเกิน
เป็นักธุรกิจที่เหม็นกลิ่นเงินไปทั้งตัวอย่างเธอสบายกว่ามาก
คังเหว่ยหลังรู้เื่นี้ก็นั่งไม่ติด เขาติดต่อพานซานผ่านโทรศัพท์ไม่ได้เช่นกัน ดูเหมือนเขาจะต้องไปที่แถบชายฝั่งสักรอบ
“ฉันจะลองหาตั๋วเครื่องบินวันพรุ่งนี้ดู จะให้คำตอบกับเธอโดยเร็วที่สุด”
โจวเฉิงคอยช่วยเหลือเขามาตลอด ตอนนี้ถึงตาเขาต้องช่วยโจวเฉิงบ้างแล้ว คิดได้ดังนั้นคังเหว่ยก้รู้สึกกระตือรือร้นเป็อย่างยิ่ง
สุดสัปดาห์นี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก ่บ่ายเธอไปส่งแม่กับย่าอวี๋ที่สถานีรถไฟ ทั้งคู่มาปักกิ่งหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว ตอนมาคือช่วยปลายเดือนธันวาคมของปี 1984 ตอนกลับคือวันที่ 3 มกราคม 1985 ถือว่าพวกเธอได้ฉลองปีใหม่ที่กรุงปักกิ่งด้วยกัน
วันปีใหม่ของปี 1985 เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกอะไรเป็พิเศษ คิดย้อนดูแล้วมีหลายวันมานี้แต่เื่วุ่นๆ แม้แต่งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ของมหาวิทยาลัยเธอก็ไม่ได้เข้าร่วม
หลังส่งหลิวเฟินกับย่าอวี๋แล้ว บ้านที่สือช่าไห่ก็เงียบเหงาเหลือเกิน
บ้านที่มีคนอยู่ถึงจะอบอุ่น
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกว่าคืนนี้คงได้พักเสียที แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินซีเหลียงจะนั่งรถไฟสามสิบกว่าชั่วโมงจากหยางเฉิงมายังปักกิ่ง
เฉินซีเหลียงคิดว่าหากอธิบายผ่านโทรศัพท์คงไม่ชัดเจน และไม่สามารถแสดงความรู้สึกผิดของตนให้เซี่ยเสี่ยวหลานรับรู้ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานโทรมาถามเื่งานทว่ากลับถูกเมียของเขาโวยวายใส่ เฉินซีเหลียงยังหนุ่มยังแน่น แต่เกือบโมโหจนเส้นเืในสมองแตกตาย
เขาทะเลาะกับเมียอย่างรุนแรง ทว่ายังไม่วายรีบนั่งรถไฟมาปักกิ่ง
“คุณผู้หญิงเซี่ย เื่นี้เป็การเข้าใจผิดจริงๆ...”
เฉินซีเหลียงยืนอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ หน้ามหาวิทยาลัย จมูกของเขาแดงเพราะความเหน็บหนาว เซี่ยเสี่ยวหลานโบกมือไปมา “หยุดๆๆ เื่ครอบครัวคุณฉันไม่อยากฟัง ฉันแค่อยากถามว่าการร่วมงานของพวกเรายังเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“เหมือนเดิมสิ ครั้งนี้ฉันเอาเอกสารต่างๆ มาให้เธอตรวจดูด้วย ฉันเดินเื่เอกสารใกล้เสร็จแล้ว ทั้งยังไปที่เซี่ยงไฮ้มาแล้วด้วยเช่นกัน หน้าร้านที่หยางเฉิงจะเช่าเมื่อไรก็ได้ ขอแค่เธอบอกมาแบรนด์ Luna ก็จะสามารถเปิดกิจการได้ทันที!”
เซี่ยเสี่ยวหลานอ่านเอกสารทั้งหมดที่เฉินซีเหลียงนำติดตัวมาด้วย
“คุณมาปักกิ่งก็ดีเหมือนกัน ผู้จัดการใหญ่อู่ช่วยพวกเราหาหน้าร้านแล้ว ฉันคิดว่าเหมาะสมดีทีเดียว อย่างไรก็ตามทางที่ดีคุณควรไปดูด้วยตัวเองสักครั้ง แน่นอนว่าการตกแต่งร้านจะต้องเหมือนกัน ให้คนเห็นแล้วรู้ทันทีว่าเป็ร้านเดียวกัน แต่ถ้าเื่ปัญหาภายในครอบครัวของคุณยังแก้ไขไม่ได้... การร่วมงานของเราอาจจะมีปัญหาในภายหลัง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้