ชั่วขณะหนึ่ง มู่อี๋เสวี่ยได้ยินเสียงนี้ราวกับได้ยินเสียง์ ทั้งสีหน้าและภายในหัวใจของนางล้วนเขินอายและมีความสุขจนทำอะไรไม่ถูก
เนื่องจากในขณะนี้ หัวใจของมู่อี๋เสวี่ยกำลังเต้นแรง นางเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโง่เขลาแล้ว นางรู้สึกปลื้มปีติราวกับความฝัน
เป็จริงอย่างที่คาดไว้...ฉีอ๋องไม่เพียงแต่จำนางได้เท่านั้นจริงๆ แต่ยังมีความประทับใจที่ดีต่อนางอีกด้วย และมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่มีอยู่เพียงน้อยนิด
และบัดนี้ฉีอ๋องทรงเรียกนางอย่างสนิทสนม
มู่อี๋เสวี่ยแทบรอไม่ไหวที่จะปล่อยมือขององค์หญิงอันหย่าออก
แขนขององค์หญิงอันหย่าที่ถูกมู่อี๋เสวี่ยจับไว้เพียงหลวมๆ คลายออก องค์หญิงอันหย่าเดินโซเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ และถามเสียงต่ำว่า “อี๋เสวี่ย เ้ากำลังทำอะไร?”
แต่มู่อี๋เสวี่ยไม่ได้ยินเสียงของนางเลย หรือไม่ก็ได้ยินแต่นางไม่สนใจ
ในยามนี้มู่อี๋เสวี่ยถูมือของนางอย่างประหม่าและลังเล
สักพักนางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างเขินอาย
ชุดท่อนบนแต่งด้วยชุดที่มีสีสันงดงาม ปักตกแต่งด้วยดอกโบตั๋นสีแดงขนาดใหญ่ที่หน้าอก มีรอยแยกที่ดูเย้ายวนซึ่งทำให้มองเห็นเนินอกได้อย่างชัดเจน ผิวที่สวยใสราวกับหยก อีกทั้งยังมีความชุ่มชื่น ราวกับว่าหากบีบลงไปจะมีน้ำหยดออกมาได้
มู่จื่อหลิงจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางหุบปากและพยายามกลั้นยิ้มของตนเอาไว้ แต่นางก็ยังเกือบจะพ่นน้ำลายออกมาจากปากที่ถูกปิดเอาไว้จนสนิทของตนอยู่ดี
นางตัวแข็งค้างด้วยความตกตะลึง นางไม่เคยรู้ว่ามู่อี๋เสวี่ยมีรูปร่างที่ดีเช่นนี้มาก่อน แต่ดีเช่นนี้ก็น่ากลัว ร่างกายที่มีเสน่ห์เช่นนี้ผู้ใดเล่าจะสามารถควบคุมมันได้?
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะชมเชยรูปร่างที่ดีของมู่อี๋เสวี่ย แต่นางกลับได้รับการจ้องมองอย่างคนมีชัยเหนือกว่าจากมู่อี๋เสวี่ยกลับมาแทน
มู่อี๋เสวี่ยยิ้มอย่างเ็าให้กับมู่จื่อหลิง และบอกให้รู้ผ่านสีหน้าว่า ‘มู่จื่อหลิง เ้าต้องตายแน่แล้ว’
มู่จื่อหลิงสับสนกับการจ้องมองด้วยสายตาที่มืดมนของมู่อี๋เสวี่ย
หญิงผู้นี้ภูมิใจในสิ่งใด? นางยังไม่ตาย เหตุใดถึงมองนางด้วยสายตาเช่นนั้น? มู่จื่อหลิงยังคงมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยด้วยความสงสัย
เห็นเพียงมู่อี๋เสวี่ยที่กำลังจัดท่าทางให้น่ามอง เน้นตนเองให้แสดงถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหลด้วยความอุดมสมบูรณ์ที่น่าภาคภูมิใจของตน ทั้งยังบิดบั้นท้ายของนางอย่างเขินอายและเดินไปทางหลงเซี่ยวอวี่...
เมื่อเห็นมู่อี๋เสวี่ยเดินบิดเอวของนางไปหาหลงเซี่ยวอวี่ทีละก้าว ใบหน้าขององค์หญิงอันหย่าก็ยิ่งดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น
ใบหน้าที่ซีดราวกับกระดาษ ยามนี้ยิ่งซีดจนไม่ต่างจากคนตาย
นางเกือบจะคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังเรียกหามู่อี๋เสวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง
เพราะหลงเซี่ยวอวี่ก็เอ่ยปากพูดในยามที่มู่อี๋เสวี่ยถามเสร็จ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดว่าเขากำลังเรียกหามู่อี๋เสวี่ย
แต่หลงเซี่ยวอวี่ผู้เ็าและเย่อหยิ่งอยู่เสมอจะเรียกมู่อี๋เสวี่ยเช่นนี้ มันเป็ไปได้หรือ? มันน่าเหลือเชื่อ
ดังนั้น หลังจากนั้นองค์หญิงอันหย่าจึงมีสติมากขึ้น
ดวงตาที่สงบของนางซึ่งดูเหมือนจะคั่นด้วยชั้นที่ยกขึ้นเล็กน้อยจนเห็นดวงตาสองชั้น ค่อยๆ มองตามหลงเซี่ยวอวี่ในยามนี้อย่างเงียบๆ และนุ่มนวล...
นางมั่นใจว่าเขาไม่ได้เรียกมู่อี๋เสวี่ย
แต่หลงเซี่ยวอวี่กำลังยิ้มให้กับมู่จื่อหลิงอยู่หรือ? ปรากฏว่านามที่เขาเรียกก็คือมู่จื่อหลิง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ องค์หญิงอันหย่าก็นึกขึ้นได้ว่าจากแนวสายตานี้ สายตาของหลงเซี่ยวอวี่ก็จับจ้องไปที่มู่จื่อหลิงเสมอั้แ่ต้นจนจบ
ฮ่า ฮ่า มู่จื่อหลิง มู่จื่อหลิงอีกแล้ว
องค์หญิงอันหย่ายิ้มเยือกเย็นในใจ ภายในใจนางอิจฉาอย่างยิ่ง มู่จื่อหลิง หญิงผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใดกัน?
เพราะเหตุใด เหตุใดจึงสามารถทำให้เขายิ้มได้? เหตุใดเขาถึงเรียกนางด้วยความรักใคร่เช่นนั้น
ใบหน้าขององค์หญิงอันหย่าสงบลง กำปั้นใต้แขนเสื้อของนางกำแน่น และนางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ในใจได้
เมื่อเห็นว่ามู่อี๋เสวี่ยเป็เหมือนนกยูงที่เย่อหยิ่งและเหนียมอาย เดินเชิดหน้าขึ้นสูงตรงไปหาหลงเซี่ยวอวี่ มู่จื่อหลิงจ้องมองอย่างว่างเปล่า ร่องรอยแห่งความสงสัยปรากฏขึ้นในใจของนาง
นางงงมาก หญิงผู้นี้ไม่บ้าแน่หรือ? นางกำลังเตรียมจะไปเปิดการแสดงที่ไหนอีก?
หรือว่าเมื่อเห็นว่าไม่อาจโน้มน้าวด้วยคำพูดได้ นางจึงเตรียมการเพื่อใช้การกระทำแทนหรือ? การเคลื่อนไหวนี้ช่างยั่วยวนใจ!
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งมู่จื่อหลิงก็เข้าใจแล้ว
ช่างกล้า ช่างกล้าจริงๆ มู่อี๋เสวี่ยคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่เรียกหานางหรือ? ยามนี้นางกำลังจะ...
ใช่แล้ว สกุลของมู่อี๋เสวี่ยก็คือมู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นนางไม่อาจรับรองได้ว่าหญิงโง่ผู้นี้จะไม่เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เมื่อคิดถึงเื่นี้ โธ่...หน้าของมู่จื่อหลิงเปลี่ยนเป็สีแดง นางรู้สึกอึดอัดมาก!
มู่จื่อหลิงกุมท้องของตนไว้ด้วยมือทั้งสองข้างจนแน่น แม้ว่านางจะไม่หัวเราะออกมาดังๆ แต่ท้องของนางก็ยังเป็ตะคริวจากการหัวเราะ
อันที่จริง มู่จื่อหลิงสงสัยมาตลอดว่าเหตุใด หลงเซี่ยวอวี่ถึงเรียกนางด้วยสกุลแทนนามจริงโดยตรง แต่คำถามนี้...นางจะไม่ถาม
แต่การแสดงความโง่อันเกิดจากชื่อนี้ก็ตลกเกินไป นางไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับมู่อี๋เสวี่ยจริงๆ
ผู้ใดจะคิดว่าจะมีเหตุการณ์ที่น่าทึ่งเช่นนี้?
มู่จื่อหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่แหลมคมของมู่อี๋เสวี่ย แล้วหันมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่อีกครู่หนึ่ง ในใจของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ทันใดนั้นนางก็ตั้งตารอปฏิกิริยาที่สง่างามของหลงเซี่ยวอวี่ ในยามที่ต้องรับมือกับมู่อี๋เสวี่ยผู้มีเสน่ห์และเร้าใจว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ในทางกลับกัน หลงเซี่ยวอวี่ก็มองมาที่นางครู่หนึ่งโดยไม่กะพริบตาเช่นกัน ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้มึนเมาซึ่งส่งออกมาจากดวงตาของเขา
มันช่างน่าหลงใหล ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาพบสิ่งผิดปกติหรือไม่และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ยามที่มู่อี๋เสวี่ยอยู่ห่างจากหลงเซี่ยวอวี่ประมาณหนึ่งมี่ [1] นางก็เริ่มพูดด้วยเสียงที่แ่เบาและนุ่มนวล “ท่านอ๋อง ข้า...”
เพียงแต่ว่ามู่อี๋เสวี่ยไม่อาจจะจบคำพูดของนางได้ หลงเซี่ยวอวี่ผู้ยังคงมองไปที่มู่จื่อหลิง จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน และเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง
จากความสามารถดั้งเดิม ทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่เคลื่อนไหวอย่างไร
แม้แต่มู่จื่อหลิงที่จ้องมองเขาตลอดเวลา ก็เห็นเพียงภาพติดตาของแขนเสื้อที่ลอยผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม...
หลังจากนั้น ก็ไม่เห็นอะไรอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้คนรู้สึกใ เป็การพลิกฉากครั้งใหญ่ มู่จื่อหลิงตกตะลึง
นางอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้หลงเซี่ยวอวี่อย่างรุนแรงอยู่ภายในใจ คำสามคำก็ปรากฏขึ้นในความคิดของนาง หล่อ ะเิ ยอดเยี่ยม!
ในอดีต นางเคยได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อกล่าวถึงอยู่บ้าง เป็การกล่าวถึงวิธีที่หลงเซี่ยวอวี่โยนผู้หญิงที่เข้าหาเขาออกไป
ในเวลานั้น ฝีปากของหลงเซี่ยวเจ๋อพูดจาไพเราะมาก เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำ ราวกับผู้ฟังจะสามารถเห็นมันได้ด้วยตาของตน
ตอนแรกนางไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก นางไม่คิดว่ามันเป็เื่ผิดปกติ และคิดว่านางได้ยึดติดกับคนผู้นี้ทั้งยังทำตัวราวกับนักเลงหัวไม้ใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางจึงไม่เชื่อเื่นี้แม้แต่น้อย
แต่ยามนี้เมื่อได้มาเห็นเหตุการณ์จริง ความรู้สึกนั้นแตกต่างกันมาก!
แน่นอนว่าการกระทำของฉีอ๋องนั้นรวดเร็ว โเี้ เด็ดขาด ทั้งไร้ความปรานี ไม่ธรรมดา และทรงพลังจนเกินไป!
ในทางกลับกัน เมื่อมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยในยามนี้ ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในยามนี้ มู่อี๋เสวี่ยเป็เหมือนตุ๊กตาจากเศษผ้าหลากสีสัน ก่อตัวสมบูรณ์แบบบนท้องฟ้าที่สดใสและโบยบินขึ้นสูง
โบยบินไปไกลแสนไกลแล้ว...
มีเสียงโครมครามดังขึ้น ตุ๊กตาเศษผ้าสีสันสดใสตกลงมาที่พื้นอย่างแรง
ดวงตาของมู่จื่อหลิงจ้องมองตามการเคลื่อนไหวที่มีสีสันั้แ่ลอยขึ้นไปจนตกลงมา นางเกือบจะยกนิ้วให้หลงเซี่ยวอวี่ จากนั้นคำสองคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจ นินจา!
เมื่อตุ๊กตาเศษผ้าล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเหมือนหมู “กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องดังก้องะเืฟ้าะเืดิน
เสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นทำให้เหล่าทหารยามจากในวังปรากฏตัว มู่จื่อหลิงยังต้องหายใจเข้าลึกๆ อ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงนี้
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะจับบั้นท้ายของตน แอบร้องอย่างเ็ปตามผู้ที่กลายเป็ตุ๊กตาเศษผ้า โอ้! มันเจ็บ!
อย่างไรก็ตาม ตุ๊กตาเศษผ้าล้มลงกับพื้นไปกลับยังไม่เพียงพอ มันยังลากถูออกไปในระยะทางไกลบนพื้นทรายที่ไม่เรียบเนียน
แค่ฟังเสียงลากถูบนพื้นก็ทำให้คนรู้สึกเจ็บเนื้อหนังได้แล้ว!
“อ๊าย!” เสียงร้องอันน่าสังเวชดังมาจากตุ๊กตาเศษผ้า
เสียงกรีดร้องนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทหารยามที่ยืนเรียงเป็สองแถวในวังไม่สามารถระงับความอยากรู้ได้อีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดรวบรวมความกล้าและมองไปทางมู่อี๋เสวี่ย...
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่ารูปลักษณ์นี้จะทำให้พวกเขาเห็นฉากที่ดูน่าพิศวงและเย้ายวนใจ มันน่าสนุกจนละสายตาไม่ได้อีกต่อไป
เพราะ...หลังจากนั้นก็มีเสียงเสื้อผ้าที่กำลังฉีกขาดออกจากกัน
เสียง ‘แควก’ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่านั่นคือชุดท่อนบนที่ดูสง่างามและสดใสซึ่งอยู่บนร่างของมู่อี๋เสวี่ย ซึ่งในที่สุดก็ไม่สามารถรองรับกับความแน่นของก้อนเนื้ออวบอิ่มอันน่าภาคภูมิใจทั้งสองก้อนบนหน้าอกของนาง
ชุดกระโปรงเกาะอกสีแดงสดไม่อาจทนได้อีกต่อไป ราวกับเหมยแดง [2] ที่กำลังบานสะพรั่งอย่างสวยสดงดงาม จู่ๆ ก็ถูกเปิดออก...
ใน่เวลาที่เกิดการฉีกขาดนั้น เห็นเพียงก้อนสองก้อนที่มีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่ม ราวกับฮั่นเป่า [3] ฉ่ำเด้งออกมาราวกับลูกกลมๆ เกิดเป็ทิวทัศน์ที่น่าดึงดูดใจ
ฮั่นเป่าชิ้นใหญ่ที่เย้ายวนและอ่อนนุ่ม มันช่างเจิดจ้าและร้อนแรงเย้ายวนใจเป็พิเศษภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ทั้งยังเจริญหูเจริญตามากจริงๆ
แม้แต่หลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังจดจ่ออยู่กับโชคและการฝึกฝนในรถม้าก็ยังถูกรบกวนจากการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ด้านนอกไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาเปิดม่านรถออก โผล่หัวออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เพียงเหลือบมองเท่านั้น
เพราะในเวลาถัดมา เขาก็ถูกจ้องกลับมาด้วยสายตาอันตรายของหลงเซี่ยวอวี่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแต่ถอนหัวของตนกลับเข้าไปอย่างเชื่อฟังและทำเื่ของตนต่อไป
เมื่อเห็นฉากที่น่าอับอายเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงปิดหน้าของนางด้วยความ ‘ใ’ แต่นางยังคงมองเห็นผ่านรอยแยกขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้ว นางยังคงจ้องมองตรงไปยังทิวทัศน์แสนเย้ายวนใจตรงหน้านาง
มู่อี๋เสวี่ยผู้ซึ่งถูกโยนจนแทบหมดสติถูกจ้องมองด้วยสายตาหลายสิบคู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านหน้าอกของนาง
มู่อี๋เสวี่ยยกมือที่อ่อนแรงของนางขึ้นและแตะหน้าอกของนางอย่างไม่รู้ตัว พบเข้ากับทัศนียภาพ ทิวทัศน์ที่ไร้ขอบเขต
เวลาต่อมา นางเด้งกายลุกขึ้นนั่งในทันทีกระอักเืออกมาเต็มปาก อดทนต่อความเ็ป ความอัปยศอดสูและความโกรธ แล้วรีบปกปิดทิวทัศน์อันเย้ายวนบนหน้าอกของนางด้วยความอับอายและโกรธอย่างสุดขีด ก่อนจะกรีดร้อง และกรีดร้องต่อไปอย่างต่อเนื่อง...
เมื่อเทียบกับมู่จื่อหลิงที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแล้ว สีหน้าขององค์หญิงอันหย่าในยามนี้นั้นช่างวิเศษที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่อี๋เสวี่ยร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [4] จนกระทั่งเครื่องประทินโฉมที่พอกมาจนหนาบนใบหน้าของนางหลุดออกจนหมด มันช่างน่ากลัว น่าใ ทนดูไม่ได้
มู่อี๋เสวี่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจของนางอ่อนแรงราวใยบัว [5] นางอ่อนแรงมาก ก่อนจะหันมองคนที่โยนนางทิ้งอย่างไม่เชื่อสายตา เป็คนผู้นั้นที่ใจนางคะนึงถึง
นางส่ายหัวอย่างไม่เชื่อ
เพราะเหตุใด? เห็นได้ชัดว่าฉีอ๋องทรงเรียกนาง แล้วเหตุใดถึงถูกโยนออกมาจนตัวลอยเช่นนี้ได้? เพราะเหตุใด?
จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง!
อยากจะลุกขึ้น แต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้ นางทำได้เพียงขอความช่วยเหลือเท่านั้น มู่อี๋เสวี่ยจึงจ้องมองไปที่องค์หญิงอันหย่าด้วยความเ็ป “อันหย่า...”
องค์หญิงอันหย่าขมวดคิ้ว ยามเผชิญหน้ากับมู่อี๋เสวี่ยในระยะไกล ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความดูถูก สมควรแล้วจริงๆ! ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัว
แม้ว่าองค์หญิงอันหย่าจะไม่้าไปตรงนั้น แต่เมื่อนึกได้ว่ามู่อี๋เสวี่ยยังมีประโยชน์กับนางอยู่
นางยังคงเดินด้วยก้าวที่ ‘อ่อนแรง’ ใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกไว้ แล้วเดินช้าๆ...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] มี่ (米) เป็คำบอกระยะทาง โดย 1 มี่ เท่ากับ 1 เมตร
[2] เหมยแดง (红梅) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าดอกเหมยแดง ใช้แทนหญิงสาวที่งดงาม
[3] ฮั่นเป่า (汉堡) เป็ขนมปังที่นำเข้าจีนมาจากเมืองฮัมบูร์ก ปัจจุบันใกล้เคียงกับแฮมเบอร์เกอร์
[4] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน (梨花带雨) เป็สำนวน มีความหมายว่า ใบหน้าของสตรีที่เมื่อร้องไห้ก็ยังดูงดงาม
[5] ลมหายใจอ่อนแรงราวใยบัว (气若游丝) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า สภาพร่างกายแย่มาก หรือชีวิตที่กำลังจะตาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้