สำหรับเื่ส่วยนี้อวิ๋นซีไม่ได้ไต่ถามอะไรอีก นางทำเพียงเดินตามภรรยาโจวต้าขึ้นไปจนถึงครึ่งไหล่เขา และสังเกตเห็นว่าพื้นที่ถางป่าทำนาของชาวหมู่บ้านสกุลโจวนั้นจำกัดอยู่แค่พื้นที่บริเวณเหนือตีนเขาขึ้นไปไม่กี่สิบเมตร ส่วนบริเวณครึ่งไหล่เขาที่นางยืนอยู่นี้ยามนี้เต็มไปด้วยหญ้ารกทึบแล้ว อวิ๋นซีสังเกตรอบกาย นางสาดสายตาไปทุกทิศทางก่อนจะหยุดลงที่กอดอกไม้สีม่วงอ่อนที่กำลังเบ่งบานอยู่ มองเพียงปราดเดียว นางก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือดอกอะไร
มุมปากนางค่อยๆ โค้งขึ้น มิคาดจะมีสมุนไพรอยู่ที่นี่จริงๆ อีกทั้ง เมื่อได้เห็นดงดอกสีม่วงอ่อนที่กำลังเบ่งบานอยู่อย่างหนาทึบเช่นนี้ นางก็ยิ่งยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “พี่สะใภ้เ้าคะ รบกวนท่านช่วยกลับไปที่บ้านเพื่อนำจอบหรือไม่ก็พลั่วเหล็กมาให้ข้าที่นี่จะได้หรือไม่เ้าคะ? ”
ภรรยาต้าโจวถามนางกลับทันทีด้วยความไม่เข้าใจ “ฮูหยินฉิน ท่าน้าพลั่วเหล็กไปทำอันใดหรือ? หรือว่าท่านคิดอยากจะปลูกพืชหรืออย่างไร? ” ทำเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากถูกสามีนางทราบเข้า นางคงได้โดนด่าจนตายแน่
อวิ๋นซีได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ “ข้าจำเป็ต้องใช้พลั่วเหล็กจริงๆ รบกวนท่านหน่อยนะเ้าค่ะ”
สุดท้ายภรรยาโจวต้าก็กลับไปนำพลั่วเหล็กจากที่บ้านมาให้ ทั้งยังไม่ลืมย้ำแล้วย้ำอีกไม่ให้อวิ๋นซีเดินไปไหนไกล จากนั้นจึงรีบกลับลงเขาโดยไว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว อวิ๋นซีก็เริ่มเดินลึกเข้าไปในป่าเขา ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน สิ่งที่นางค้นพบก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเมื่อครู่นี้จะพบหวงเสินสีม่วงอ่อนที่กำลังออกดอกเบ่งบานอยู่แล้ว นางยังได้พบกับจินอิ๋นฮวาและหลัวปู้หมาอีกไม่น้อย
นางสูดลมหายใจเข้าลึก พื้นที่ตรงนี้ช่างเป็เงินเป็ทองไปเสียหมดเลยจริงๆ แต่ชาวบ้านเ่าั้กลับเอาแต่นั่งเฝ้าูเาเงินูเาทองนี้โดยไม่รู้ว่ามันเปรียบได้ดั่งสมบัติล้ำค่า ในทุกคืนวันที่ผันผ่านไปก็เอาแต่สนใจพื้นที่แห้งแล้งและพื้นที่ถางใหม่เพื่ออาศัยมันในการดำรงชีวิต
เพียงไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงะโของภรรยาโจวต้า ก่อนจะขบคิดอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วรีบมุ่งหน้าเดินออกไป “พี่สะใภ้ ข้าอยู่นี่เ้าค่ะ” เมื่อเดินไปเรื่อยๆ นางก็พบว่าตนเริ่มมึนหัวนิดหน่อยแล้ว
“ฮูหยินฉิน ท่านทำข้าใแทบแย่” ภรรยาโจวต้าที่เห็นนางเดินออกมาจากเส้นทางเล็กๆ ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก และคงมีเพียง์เท่านั้นที่ได้รู้ว่า เมื่อครู่นี้ตอนที่นางมาถึงแล้วไม่เจออวิ๋นซียืนอยู่ตรงนั้น นางใเพียงใด “ท่านเดินเข้าไปทำอันใด? ด้านในไม่แน่ว่าอาจจะมีงูพิษอยู่ก็เป็ได้”
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ พี่สะใภ้ ขอคงต้องรบกวนท่านให้ช่วยนำพลั่วเหล็กมาขุดบางสิ่งที่ตรงนี้หน่อยจะได้หรือไม่เ้าคะ? ” บางทีอาจเพราะเดินนานเกินไปจนเริ่มมีเหงื่อไหลซึม ดังนั้นนางจึงเป็กังวลว่าหากตนยังออกแรงขุดหวงเสินอีกคงจะทำให้อาการป่วยที่ดีขึ้นมาอย่างยากลำบากนั้นต้องทรุดลงไปอีกครั้ง
“ได้สิ ท่านบอกมาเถิดว่าให้ข้าขุดสิ่งใด” ภรรยาโจวต้าเป็คนมีน้ำใจและมักตัดสินใจทำอะไรรวดเร็ว เพียงได้ยินว่าอวิ๋นซีอยากให้ตนเองช่วย นางก็ยินดีเป็อย่างยิ่ง
หลังจากนั้นอวิ๋นซีก็ช่วยสอนนางว่าหากจะขุดหวงเสิน ควรต้องทำอย่างไร ภรรยาโจวต้าเห็นว่าตนต้องขุดดอกไม้สีม่วงอ่อนๆ นั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่าน้าจะขุดดอกไม้ป่าพวกนี้กลับไปปลูกหรือ? ” บริเวณใกล้ๆ นี้มีดอกไม้เหล่านี้อยู่ไม่น้อยเลย พิศไปแล้วก็งดงามยิ่ง
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ทำเพียงยิ้มน้อยๆ “พี่สะใภ้ ท่านช่วยขุดให้ข้าก่อนเถิด เมื่อกลับไปแล้วข้าถึงจะบอกท่านว่ามันมีประโยชน์อย่างไร”
ภรรยาโจวต้าเป็คนฉลาด เมื่อขุดออกมาได้สองต้น นางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าควรจะขุดหวงเสินที่สมบูรณ์ออกมาทั้งต้นได้อย่างไร ทางด้านอวิ๋นซีที่ทำเพียงช่วยถือเหล่าหวงเสินที่ถูกขุดออกมาแล้ว เพียงมองที่หัวของเ้าหวงเสินนี่ก็รู้ได้แล้วว่ามันมีอายุได้เจ็ดแปดปีแล้ว ทั้งยังเป็พืชที่เติบโตขึ้นตามธรรมชาติโดยแท้ ซึ่งหากเป็ในยุคปัจจุบัน เพียงหนึ่งจินก็สามารถขายได้ตั้งหลายร้อยหยวน มิหนำซ้ำการจะหาหวงเสินที่เติบโตเองตามธรรมชาติแท้ๆ ก็มีน้อยมาก
“ฮูหยินฉิน ข้าขุดมาได้สิบกว่าต้นแล้ว เพียงพอหรือยังเ้าคะ? ” จนถึงตอนนี้ภรรยาโจวต้าก็ยังไม่เข้าใจว่า ฮูหยินฉินผู้นี้้าจะทำอันใด?
อวิ๋นซีมองดูภรรยาโจวต้าที่เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า นางยิ้มพยักหน้า “พอแล้วเ้าค่ะ พวกเรารีบกลับกันก่อนเถิด” นางเป็กังวลว่าจวินเหยียนที่กลับมาแล้วจะไม่เห็นตน ดังนั้นแม้จะตัดใจกลับไปไม่ลงก็ยังจำต้องกลับไป
ไม่รู้ด้วยเหตุใด จิตใต้สำนึกของนางจึงไม่อยากให้เขากังวลใจด้วยเื่ของตน
คนทั้งสองเพิ่งเดินมาถึงตีนเขาก็เห็นโจวต้าและจวินเหยียนที่กำลังเข้ามาหาอย่างรีบร้อน ตอนที่มองเห็นอวิ๋นซี จวินเหยียนก็เลิกคิ้ว ก่อนจะกล่าวตำหนิ “เ้าเพิ่งจะหายดี เหตุใดจึงยังดื้อดึงออกมาข้างนอกอีก? ”
เขากวาดตามองสิ่งที่อยู่ในมือนาง ในใจก็พอจะเข้าใจแล้วว่านางจะต้องออกมาหาสมุนไพรแน่ๆ
ถึงกระนั้นเขาก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันใด ขณะที่โจวต้าเองก็ลากภรรยาตนไปอบรมอีกด้าน แต่เมื่ออวิ๋นซีเห็นเข้าก็รีบเข้าแทรกอธิบาย “พี่ชายตระกูลโจว ท่านอย่าได้ตำหนิพี่สะใภ้เลย ข้าเป็คนบอกให้นางพาข้าออกมาเอง เดิมทีพี่สะใภ้ก็หาได้ยินยอมไม่ ดังนั้น ท่านอย่าได้กล่าวโทษนางอีกเลย เป็ข้าที่ไม่ดีเอง”
จวินเหยียนเลิกคิ้ว พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้ารู้ตัวด้วยหรือว่าเ้าไม่ดี” เมื่อเขากลับมา และเห็นว่านางไม่อยู่ที่นั่นก็เกิดเป็กังวลเสียจนยอมทิ้งสัตว์ที่ล่ามาได้อย่างไม่ไยดี เพื่อรีบตามโจวต้าให้มาช่วยตามหา
เขารับหวงเสินในมือของอวิ๋นซีมาโดยไม่กลัวสกปรก จากนั้นก็หันกายเดินกลับบ้านตระกูลโจวไปด้วยความเกรี้ยวกราด ในตอนนั้นโจวต้ายังคงรั้งอยู่ด้านหลังสองสามก้าวพลางมองดูอวิ๋นซีแล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดว่า “ฮูหยินฉิน เมื่อคุณชายฉินกลับไปถึงบ้านและพบว่าตัวท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น คุณชายก็ใจนหน้าถอดสีเลยทีเดียว ท่านดูสิ ตัวท่านก็ยังป่วยอยู่ ไฉนจึงไม่ยอมพักผ่อนให้ดีๆ ”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีที่ไม่อาจหาคำใดมาแก้ต่างให้ตนได้แม้แต่ประโยคเดียวทำได้เพียงขอโทษขอโพยไปทางโจวต้า จากนั้นก็รีบไล่ตามจวินเหยียนไป ทว่าเมื่อเห็นเขาไม่สนใจตนเช่นนี้ ในใจนางก็ให้รู้สึกเ็ปอย่างประหลาด
นางเดินไปถึงข้างกายเขาและยังคงพยายามเพิ่มความเร็วให้ทันฝีเท้านั้น “ฉินเหยียน ท่านอย่าเดินเร็วเพียงนี้จะได้หรือไม่ ข้ามึนหัวไปหมดแล้ว”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ไม่แม้แต่จะมองนาง “หากจะเป็ลมตายเสียที่นี่ก็สมควรแล้ว”
ในตอนนั้นเองหานอ๋องผู้ปากร้ายก็ได้กลับมาแล้ว เขายังคงเดินมุ่งหน้าไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเ็ายิ่ง ทำให้อวิ๋นซีที่เห็นเช่นนั้นได้แต่รู้สึกปลงตกกับตนเอง นี่นับเป็การรวมร่างกันของหานอ๋องผู้เย้ายวนร้ายกาจและบุรุษเ็าน่ากลัวที่เคยเจอในวัดร้างใช่หรือไม่?
“หากท่านไม่สนใจจริงๆ เหตุใดจึงต้องออกมาตามหาข้าด้วยเล่า” นางแค่นเสียงเ็า ถึงกระนั้นยามนี้นางก็รู้สึกมึนหัวมากจริงๆ จึงเริ่มก้าวเท้าช้าลงเรื่อยๆ และมองดูเขาที่เดินไกลออกไป อวิ๋นซีขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกน้อยใจ
ใช่แล้ว นางรู้สึกน้อยใจ ความรู้สึกนี้ช่างเกินความคาดหมายไปแล้วจริงๆ เนื่องจากเหตุที่นางคิดอยากจะขึ้นเขาไป ก็ไม่ใช่เพราะอยากหาทางออกให้คนในหมู่บ้านนี้หรอกหรือ แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ยอมเข้าใจนางบ้างนะ
จวินเหยียนเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่านางยังคงเดินรั้งอยู่ด้านหลัง สุดท้ายก็อดไม่ไหวให้ต้องหันศีรษะกลับไปมอง แล้วจึงเห็นว่า ยามนี้อวิ๋นซีกำลังมองตนด้วยสายตาตัดพ้อ ใช่แล้ว แววตาของนางกำลังฉายชัดว่าตัดพ้อ ชั่วขณะนั้นจิตใจอันแข็งแกร่งของเขาเป็ต้องอ่อนยวบ ก่อนจะตัดสินใจหยุดฝีเท้าลง “ข้าจะรอเ้าอยู่ตรงนี้”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคลับคล้ายอารมณ์ของตนจะดีขึ้นมาหน่อย ทั้งยังเหมือนจะสามารถเดินให้เร็วขึ้นได้อีกด้วย ั้แ่ที่นางกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ระยะเวลาที่นางได้อยู่กับเขาอาจเรียกได้ว่ามีมากกว่าเวลาที่ได้อยู่กับบิดาอย่างอวิ๋นซานอยู่นิดหน่อย บางทีอาจเป็เพราะจิตใต้สำนึก นางถึงกับเห็นเขาเป็คนใกล้ชิด
ด้วยเหตุนี้ นางยังค้นพบอีกว่ามีบางเื่ที่ยิ่งหลบเลี่ยงก็ยิ่งไม่ต่างกับการมุดเข้าไปในเขาโค [1] ดังนั้นสำหรับในวันข้างหน้านางจึงตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติ
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กัน ขณะนั้นอวิ๋นซีก็เอ่ยถามขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าท่านขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เช่นนั้นได้อันใดกลับมาบ้างเล่า? ”
“มีไก่ป่าสองสามตัว แล้วก็มีกระต่ายป่า หากข้าได้เข้าไปในหุบเขาลึกก็คงจะมีเหยื่อที่คาดไม่ถึงอยู่ด้วย แต่พวกเราไม่ได้เข้าไป เพียงเดินอยู่บริเวณรอบนอกของเขาเสี่ยวอ้าวก็เท่านั้น” เขาพูดเสียงขรึม หากไม่ใช่เพื่อนาง เขาก็ไม่มีทางไปล่าสัตว์หรอก
“ลำบากท่านแล้ว ถึงกับต้องให้ท่านขึ้นเขาไปล่าไก่ป่ามาให้ข้าด้วยตนเอง”
อวิ๋นซีกับจวินเหยียนกลับมาถึงบ้านตระกูลโจว และได้เห็นในลานบ้านที่มีทั้งกระต่ายป่าวางอยู่หลายตัว และไก่ป่าตัวใหญ่ๆ อีกหลายตัว มุมปากของอวิ๋นซีถึงกับโค้งขึ้น ส่วนภรรยาโจวต้านั้นก็ได้แต่ยิ้มแย้มพลางเอ่ยชื่นชมจวินเหยียนว่าเป็คนมีฝีมือที่สามารถล่ากระต่ายป่ากับไก่ป่ามาได้มากถึงเพียงนี้อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดปากโดยง่าย
อวิ๋นซีอดพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ ไม่แน่ว่าทั้งหมดนี้อาจเป็พี่ใหญ่โจวที่ล่ามาได้ก็ได้นะเ้าค่ะ”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] มุดเข้าไปในเขาโค(钻牛角尖)หมายถึง เสียเวลาดื้อดึงทำเื่ที่สุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์