เว่ยหลางกับสวี่ตี้พาคนเข้าไปอยู่ในูเานานสิบกว่าวัน เสื้อผ้าของคนหนึ่งร้อยกว่าคนขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเปลี่ยนไป บางคนถึงขั้นได้ช่วยกันพยุงลงจากเขา
หลังจากลงจากเขาพวกเขาพากันไปที่จวนแม่ทัพก่อน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวที่นั่น ทานโจ๊กอุ่นๆ แล้วค่อยนอนหลับสักตื่น หลังจากนั้นถึงได้กลับไปที่เรือนตามที่ควรจะกลับ หรือผู้ใดควรกลับไปที่กองทัพก็ไปที่นั่น
เว่ยหลางตามสวี่ตี้ไปที่เรือนสกุลสวี่ จางจ้าวฉือเห็นสวี่ตี้กลับมาแล้วก็รีบกวักมือเรียกป้าเหอให้ทำน้ำแกงร้อนๆ มาให้เขา เหอซีตอนนี้หิมะแรกได้ตกลงมาแล้ว ถึงแม้จะตกลงมาไม่มาก แต่อุณหภูมิก็ลดลงแล้ว หากกลับมาจากด้านนอก ให้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ จะได้รู้สึกอบอุ่นทั้งร่างกายทั้งหัวใจ
ในหม้อใบใหญ่บนเตาในเรือนใส่กระดูกหมูกระดูกวัวชิ้นโตเอาไว้ สีของน้ำแกงถูกต้มจนเป็สีขาวนม แล้วใช้น้ำแกงกระดูกหมูเอามาทำเป็น้ำสต๊อก ก่อนจะไปต้มเส้นต้มไข่แล้วใส่ลงไป จากนั้นก็ราดด้วยน้ำพริกหมูที่สวี่ตี้ทำเอาไว้ ใส่ใบกุยช่ายลงไปเล็กน้อย เว่ยหลางกับสวี่ตี้สองคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งในห้องของสวี่ตี้ แต่ละคนดื่มน้ำแกงร้อนๆ ไปถ้วยใหญ่ บนใบหน้าและบนร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ
เว่ยหลางถอนหายใจออกมาอย่างสบาย ก่อนจะวางถ้วยลง “น้ำพริกหมูนี่ทานกับน้ำแกงแล้วอร่อยจริงๆ พอใส่ลงไปในน้ำแกงร้อนผ่าวๆ เช่นนี้กินแล้วสบายไปทั้งตัว”
สวี่ตี้ตอบ “อากาศหนาวแล้ว พวกเราก็เอาน้ำพริกนี่ไปที่กองทัพเถิด ให้ทุกคนได้ทาน จะได้ช่วยคลายความหนาวได้”
เว่ยหล่างพยักหน้า “ข้ากลับไปเห็นพี่สาวคนโตส่งจดหมายมา ในจดหมายบอกว่ากิจการร้านหม้อไฟของพวกเราดีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงคิดจะไปเปิดร้านสาขาในเมืองอีกที่”
สวี่ตี้ตอบ “กิจการจะเป็ที่นิยมนั้นก็เป็เื่ที่แน่นอนอยู่แล้ว หม้อไฟน่ะนะ ยิ่งกินยิ่งอร่อย พอกินเข้าไปแล้วก็ยังอยากกินอีก อร่อยล้ำถึงเพียงนี้ผู้ใดจะไปทนไหวกัน”
ในวินาทีนี้สวี่ตี้ก็ไปคิดถึงกวนตงจู [1] อากาศหนาว เอามากินสักถ้วยก็เป็อะไรที่มีความสุขจริงๆ อีกอย่างเ้านี่ก็ไม่ได้แพง ร้านหม้อไฟไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถจ่ายได้นี่นะ
สวี่ตี้จึงพูดเื่กวนตงจูกับเว่ยหลาง ประเด็นสำคัญก็คือ เ้ากวนตงจูนี่ คนที่ทำงานแบกหามก็สามารถทำการค้าขายได้ เว่ยหลางคิดถึงลูกน้องที่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกเพราะว่าาเ็จนต้องกลับบ้านเกิดไปพวกนั้น หลายคนต่างไม่สามารถทำงานหาเงินซื้อข้าวกินได้
สวี่ตี้เอ่ย “พวกพี่ชายพวกนั้นาเ็ก็เพราะทำเพื่อแคว้น ต่อมาเมื่อกลับเรือนไป แม้แต่ตนเองก็ยังหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ พวกเราสามารถฝึกสอนพวกเขาให้ทำของกินเล่นพวกนี้ได้ หากทำได้ดีก็ยังสามารถหาเงินได้จริงๆ นะขอรับ”
เว่ยหล่างเอ่ยตอบ “เื่นี้ข้าจะต้องพิจารณาให้ดี ที่ให้พวกเขามีเพียงเงินำาญเพียงเล็กน้อยติดตัวกลับไปที่บ้านเกิด หลายคนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างลำบากมาก หากสามารถเรียนรู้ทักษะอย่างหนึ่งมาได้ย่อมเป็เื่ที่ดี แต่ว่าไม่ว่าเื่ใดก็ย่อมมีกฎ จะทำอย่างไรนั้นข้าจะต้องปรึกษากับผู้ช่วยของข้าสักรอบก่อน”
เื่นี้มันแน่นอนอยู่แล้ว ทุกปีมีคนมากมายออกจากกองทัพไป ห้าคนที่เว่ยหลางส่งไปที่ไร่ของครอบครัวสวี่ เดิมทีไม่ทำงานเป็องครักษ์ของจิ้งเป่ยโหวเย่ ก็เป็องครักษ์ให้กับเว่ยหลาง เื่ความซื่อสัตย์ไม่ต้องพูดถึง เพียงเพราะว่าได้รับาเ็จนไม่สามารถทำงานอยู่ในกองทัพได้อีกต่อไป เว่ยหลางถึงได้ส่งคนมาอยู่ที่ไร่ของสกุลสวี่ หนึ่งเพื่อปกป้องคนของครอบครัวสวี่ สองคือคิดอยากจะหาสถานที่ให้พวกเขาได้ปักหลักอยู่ได้ สวี่เหรารับปากกับพวกเขาเอาไว้แล้ว ขอแค่ครอบครัวของเขาสามารถเดินหน้าเช่นนี้ต่อไปได้ ไม่มีเื่ไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้น ต่อไปก็จะให้ทั้งห้าคนใช้ชีวิตยามแก่เฒ่าที่ครอบครัวสวี่
เว่ยหลางอยู่ที่บ้านสกุลสวี่ได้อีกครู่ก็กลับไป ออกไปทำการฝึกทหารร่วมสิบกว่าวันนี้ ทางเขาเองก็สะสมเื่ที่จำเป็ต้องจัดการเอาไว้มากทีเดียว
สวี่ตี้นอนอยู่บนตั่งในห้องของตนเอง รู้สึกว่าสิบวันนี้ผ่านไปอย่างมีสีสัน ยังไม่ทันคิดถึงเื่ที่ผ่านมาจบ สวี่จือก็เข้ามาหา
สวี่จือทำชาขิงพุดทรามาให้ ใช้ถ้วยตุ๋นเล็กๆ ยกเข้ามาให้เขา สวี่ตี้เห็นแล้วก็รีบลุกขึ้นมานั่งแล้วรับถาดเล็กมา “เ้าร้องเรียกเกอเกอไปยกมาก็ได้แล้ว หากลวกเ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
สวี่จือเอ่ย “ข้าใช้ถาดยกมา ลวกไม่ถึงข้าหรอกเ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านแม่บอกว่าท่านลำบากมามากแล้ว ข้าจึงตุ๋นน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้ท่าน แม่นมลู่เป็คนสอนข้าตุ๋นเ้าค่ะ ท่านรีบดื่มเถิดเ้าค่ะ จะได้บำรุงร่างกาย”
สวี่ตี้ซาบซึ้งใจมาก “ขอบคุณนะน้องสาว ครั้งนี้เกอเกอออกไปไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่าง พี่ชายของเ้าเป็บุรุษ บุรุษจะต้องไม่กลัวลำบากไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย เืไหลเหงื่อไหลได้ แต่น้ำตาจะไหลไม่ได้”
สวี่จือฟังแล้วก็มองสวี่ตี้ด้วยความใ “ท่านพี่เ้าคะ เช่นนี้ไม่ถูก บุรุษจะสามารถเืไหลเหงื่อไหลได้อย่างไรกันเ้าคะ?”
สวี่ตี้ถูกน้องสาวปฏิเสธ ก็ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี ยุคสมัยนี้ที่เป็ที่นิยมก็คือคุณชายตัวผอมบาง เป็คุณชายเ้าสำอาง แต่ละคนก็ต่างหน้าตาดูสะอาดสะอ้าน จึงชนะบุรุษที่มีร่างกายกำยำแข็งแรง ที่สำคัญที่สุดจะต้องหน้าตาดี
สวี่ตี้ดื่มน้ำขิงผสมพุทราเผ็ดๆ ไปหนึ่งอึก “จือเอ๋อร์ บนโลกใบนี้บุรุษมีมากมายหลายแบบ ไม่ใช่แค่พวกบัณฑิตตัวผอมบางอ่อนแอ ที่ที่พวกเราอยู่นั้นติดกับด่านเยี่ยนเหมิน ด่านเยี่ยนเหมินน่ะเป็เส้นทางสกัดกั้นของแคว้นนี้ เหล่าบุรุษเืร้อนพวกนั้นก็จะคอยปักหลักอยู่้าด่านคุ้มกัน พวกเขานั้นหัวโล้นตากแดดตากลม ไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ความเป็ความตายนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อสามารถปกป้องกำแพงนี้เอาไว้ให้ได้ก็พอ ให้ประชาชนต้าเหลียงที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยอย่างไรเล่า”
สวี่จือตั้งใจฟังเป็อย่างมาก หลังจากมาถึงเหอซี สวี่จือก็มักจะตามคนในครอบครัวไปเดินตามท้องถนน ปกติมักจะเห็นทหารเฝ้าด่านดื่มสุราจอกใหญ่ กินเนื้อคำโต มองดูแล้วหยาบกระด้างยิ่ง
สวี่ตี้เห็นสวี่จือตั้งใจฟังจึงเอ่ยต่อ “จือเอ๋อร์ มีเพียงแคว้นปลอดภัยแล้วเท่านั้น ประชาชนถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยมั่นคง ความปลอดภัยของแคว้นนั้นพึ่งอะไร ก็จะต้องพึ่งพาเหล่าทหารหลายแสนนายอย่างไรเล่า ทหารเหล่านี้ย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ เพื่อให้สามารถทุ่มเทกำลังทั้งหมดของตนเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ให้พวกเผ่าอื่นที่อยู่นอกด่านมารุกรานเราได้ พวกเขาเป็คนที่มีเกียรติที่สุดของต้าเหลียง”
สวี่จือฟังแล้วก็เอ่ย “ท่านพี่ ข้าเข้าใจแล้วเ้าค่ะ ต่อไปข้าจะให้เกียรติทหารที่ปกป้องด่านแน่นอนเ้าค่ะ”
ยามราตรี หลังจากที่สวี่เหรากลับมา ทั้งสองคนก็ล้อมโต๊ะเล็กบนตั่ง ดื่มชาแทะเมล็ดฟักทองไป ก็ฟังสวี่ตี้พูดเื่หลายสิบวันมานี้
ทหารที่เลือกออกมาหนึ่งร้อยกว่าคน สำหรับจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อเว่ยหลางแล้ว พวกเขาล้วนเป็คนที่มีความซื่อสัตย์ ความสามารถของแต่ละคนก็ไม่ต้องพูดถึง มีหลายคนถึงขั้นเป็คนที่มีศิลปะการต่อสู้ขั้นสูง เว่ยหลางแอบบอกกับสวี่ตี้ว่าคนพวกนี้ต่างมีชื่อเสียงอยู่ในยุทธภพ
ั้แ่โบราณกาลมาก็มีคำกล่าวว่า 'แม้จะเขียนกลอนได้ดีเพียงใดก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็ที่หนึ่ง แม้วิทยายุทธจะสูงส่งเพียงใดก็ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มีผู้ใดเทียบเคียง' หนึ่งร้อยคนนี้ต่างเป็คนดี เพราะว่าต่างเป็คนที่มีประสิทธิภาพสูง ความสามารถแข็งแกร่ง ดังนั้นทางด้านนิสัยใจคอจึงดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย หลังจากถูกเว่ยหลางพาขึ้นูเาทางเหนือ ตอนแรกยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง นอกจากการฝึกซ้อมแล้ว ก็จับกลุ่มกันออกไปล่าสัตว์ในป่า แก้ปัญหาเื่เสบียงให้ดีขึ้น
รอจนมาถึงในูเาแล้ว เว่ยหลางถึงได้บอกจุดประสงค์ในการออกมาในครั้งนี้กับทุกคนให้ชัดเจน
สวี่ตี้ยืนอยู่ต่อหน้าคนร้อยกว่าคน พร้อมทั้งพิจารณาคนเหล่านี้ไปด้วย พวกเขายืนฟังเว่ยหลางที่บอกว่าสิบกว่าวันนี้จะต้องฟังคำพูดของสวี่ตี้ ฉับพลันทุกคนก็หันมามองที่สวี่ตี้ เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี อีกทั้งสวี่ตี้ยังเป็รุ่นน้อง ตอนนี้ตัวเพิ่งจะถึงอกของเว่ยหลางเท่านั้น ถึงแม้ใบหน้าจะเคร่งขรึม แต่จะมองอย่างไรก็ไม่อยากจะยอมรับ
มีคนอวดดีที่ความสามารถของตนสูงส่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ พวกข้าทุกคนล้วนเป็คนที่ผ่านสนามรบมาช้านาน จะมาฟังคำเด็กที่ยังไม่ทันโตอย่างนี้ได้อย่างไรกันขอรับ? เช่นนี้มันตลกเกินไปแล้ว”
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มขึ้นมา ต่อมาก็มีหลายคนใช้เหตุผลนี้เช่นกัน เว่ยหลางรอจนกระทั่งทุกคนโวยวายกันเสร็จแล้วถึงได้กล่าวต่อ “ข้าพาพวกเ้าออกมา เป้าหมายก็คือจะฝึกพิเศษให้พวกเ้าให้กลายเป็หน่วยรบพิเศษ หน่วยรบพิเศษเป็อย่างไรน่ะหรือ ก็คือทหารพิเศษที่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้ทุกสภาพแวดล้อม เป็คนที่แม้จะมีแค่คนเดียวก็สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ แล้วก็สามารถร่วมมือกันทำเื่ที่ไม่คาดคิดได้ ที่สำคัญที่สุดต้องเป็คนที่สามารถยึดมั่นทุ่มเทและเชื่อฟังคำสั่ง”
เห็นทุกคนต่างเงียบลงไปแล้ว เว่ยหลางจึงกล่าวต่ออีกว่า “พวกเ้าต่างเป็คนที่ผ่านสนามรบมานาน อยู่บนสนามรบอย่าได้ดูถูกผู้ใด เื่นี้ทุกคนก็ต่างเข้าใจดีอยู่แล้ว ส่วนเหตุใดข้าถึงได้เชิญคุณชายสวี่มาเป็อาจารย์ฝึกสอนทุกคน ข้าอยากจะให้ทุกคนวางเื่ที่คุณชายยังตัวแค่นี้ลงเสีย แล้วให้คุณชายฝึกสอนทุกคนสักสองสามวัน หลังจากเห็นผลงานแล้วค่อยฟังความเห็นของทุกคนอีกครั้งก็ยังมิสาย”
เว่ยหลางมองสวี่ตี้ ซึ่งสวี่ตี้ก็พยักหน้าให้เว่ยหลางเช่นกัน ก่อนจะเดินมายืนอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดัง “พี่ชายทุกท่านต่างเป็กำลังของต้าเหลียง เพื่อปกป้องแคว้นของพวกเราจึงจากบ้านจากครอบครัวมาไกล แล้วมาลำบากปกป้องชายแดนอยู่ที่นี่ทุกวัน”
หลังจากที่สวี่ตี้พูดคำนี้ ก็เห็นกลุ่มคนที่เดิมทีต่อต้านเริ่มสงบลง ดวงตาของเว่ยหลางจ้องไปยังสวี่ตี้ด้วยแววตาระยิบระยับ
สวี่ตี้เอ่ยต่อ “ในเมื่อจะต้องปกป้อง การเสียสละจึงเป็เื่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง วันนี้พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็เพื่อทำให้ความสามารถของตนเองในสนามรบแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อที่จะสามารถอยู่รอดบนสนามรบ พี่ชายทุกคนวางความคิดที่อายุของข้ายังน้อยกว่าลงไปก่อนเถิด พวกเรามารีบใช้เวลาสิบวันนี้ในการฝึก ถ้าหากรู้สึกว่าวิธีของข้านั้นใช้ได้ เช่นนั้นพวกเราก็จะดำเนินการฝึกโดยไม่กำหนดเวลา ถ้าหากรู้สึกว่าวิธีของข้านั้นใช้ไม่ได้ พวกเราก็แค่ช่างมัน ทุกคนคิดว่าอย่างไรขอรับ?”
ในกลุ่มมีคนพูดขึ้น “มาก็มาแล้ว เช่นนั้นก็ตั้งใจฝึกแล้วกัน อย่างไรอยู่ในกองทัพก็ได้ฝึกอยู่ที่นี่ก็ได้ฝึกเหมือนกัน พี่น้องทุกคนพวกเ้าว่าอย่างไร?”
เมื่อเป็เช่นนี้ หลังจากทุกคนปักหลักตั้งกระโจมกันเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มฝึกกันตามแผนของสวี่ตี้
กลุ่มหน่วยรบพิเศษนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อทำภารกิจที่อันตรายมาก หลังจากที่สวี่ตี้อธิบายความหมายของการมีอยู่ของกลุ่มนี้จนเข้าใจแล้ว ก็เริ่มสอนใช้ภาษามือง่ายๆ
ทุกคนเห็นสิ่งที่สวี่ตี้สอนให้ตนเอง ก็รู้สึกไม่เข้าใจ จึงมีคนะโถามออกมาว่า “คุณชายสวี่ บนสนามรบพวกเรานั้นพยายามกันสุดชีวิต เ้าสอนเื่พวกนี้ให้กับพวกเราจะสามารถทำอะไรได้หรือ?”
สวี่ตี้ตอบ “สนามรบของพวกท่านนั้นเป็สนามรบที่อันตรายมาก จนถึงขั้นเป็สนามรบที่ไร้เสียง ข้อมูลข่าวสารบนสนามรบเปลี่ยนไปร้อยพันอย่าง ระหว่างพวกท่านหากสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ทันเวลานั้นเป็สิ่งที่สำคัญ หากศัตรูมีการส่งต่อข้อมูลนี้ออกไปพวกท่านคิดว่าจะเป็อย่างไร?”
ทุกคนล้วนเป็คนที่มีความสามารถสูง สวี่ตี้พูดเช่นนี้ออกมา แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจถึงประโยชน์ของภาษามือ ทุกคนจึงตั้งใจเรียน เพื่อให้ทุกคนรู้ถึงตำแหน่ง สวี่ตี้จึงอธิบายเกี่ยวกับตำแหน่งทิศนาฬิกาอย่างละเอียด
พูดถึงการเก็บซ่อน ทุกคนต่างพูดว่านี่คือสิ่งที่สายลับจะต้องเรียนรู้ ในกลุ่มหนึ่งร้อยคนมีคนที่เคยทำงานเป็สายลับมาจริงๆ พวกเขาใช้สิ่งที่ตัวเองเคยเรียนมาเป็กำบังให้กับตนเอง คนอื่นไม่สามารถค้นพบข้อมูลพวกนี้ได้ แต่สวี่ตี้แค่มองก็สามารถมองออก คนที่เคยทำสายลับมาก่อนจะรู้ว่าสวี่ตี้นั้นเป็คนมีความสามารถ จึงเริ่มมีใจจะเรียนมากขึ้น
หนึ่งในผู้ที่เคยทำงานสายลับมาก่อนนามว่าหม่าิ ซึ่งเป็เด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี ไม่เพียงแค่เคยทำงานเป็สายลับบนสนามรบมาก่อน จนถึงขั้นเคยไปสืบข่าวจากเป่ยตี้ก็ทำมาแล้ว เขาเป็คนที่เคยสืบข่าว หม่าิยอมรับว่าตนเองนั้นพอจะมีความสามารถ แต่หลังจากฟังสิ่งที่สวี่ตี้สอนแล้วก็รู้สึกว่าตรงหน้าของตนเองเหมือนจะเพิ่งเปิดประตูบานใหญ่ ด้านในประตูบานใหญ่นั้นมีความรู้ที่ตนเองไม่เคยรู้มาก่อน ของพวกนั้นทำให้สมองของตนเองกระจ่างขึ้นมา สิ่งที่แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว หม่าิรู้ว่าการฝึกในครั้งนี้สำหรับตนเองแล้วนี่เป็โอกาสที่ดี
เดิมทีหม่าิคือทหารของจวนจิ้งเป่ยโหว การเป็สายลับของจวนโหวจึงถูกจวนโหวฝึกสอนให้กลายเป็หน่วยสอดแนมบนสนามรบ ต่อมาก็ยังมีโอกาสตามหน่วยสืบข่าวของต้าเหลียงไปที่วังหลวงของเป่ยตี้ อยู่ที่นั่นมาได้หลายปีแต่เพราะว่าความแตกแล้วจึงกลับมา หลังจากกลับมาก็เป็หนึ่งในกองกำลังของเว่ยหลาง
ศิลปะการต่อสู้ของหม่าินั้นร่ำเรียนมาั้แ่ยังเด็กจึงแข็งแกร่งมาก ในหลายสิบคนนี้ ถึงแม้จะเป็คนที่มีอันดับต้นๆ พอเห็นหม่าิตั้งใจฟังคุณชายสวี่ที่อายุน้อยกว่าสอนอยู่หลายครา ท่าทางนับถือที่หม่าิมีต่อสวี่ตี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คนอื่นๆ เองก็ค่อยๆ ให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนของสวี่ตี้ ยิ่งเพิ่มความตั้งใจกับสิ่งที่สวี่ตี้สอนมากขึ้นไปอีก
สวี่ตี้กับเว่ยหลางเองก็ไม่ได้คิดว่าการฝึกสอนครั้งนี้จะสามารถฝึกสอนให้คนหนึ่งร้อยกว่ากลายเป็ทหารที่โดดเด่นได้ ประเด็นสำคัญคือยึดทฤษฎีเป็หลัก เว่ยหลางปรึกษากับสวี่ตี้แล้ว ต่อไปจะพาคนมาฝึกกันโดยไม่กำหนดเวลา ไม่เพียงแต่จะสอนความรู้ตามทฤษฎีเท่านั้น ยังมีการฝึกร่างกายที่จะต้องทำอีกด้วย จนถึงการต่อสู้แบบทหารอย่างที่สวี่ตี้เคยพูด เื่เหล่านี้ก็ต้องเรียนด้วยเช่นกัน
ห้าวันแรกเน้นทฤษฎีเป็หลัก หลังจากนั้นสวี่ตี้ก็แบ่งออกเป็กลุ่มกลุ่มละสิบคน เอาคนที่ไม่ได้เอาอาหารแห้งมาไปอยู่บนยอดเขา หลังจากบอกเวลาเรียบร้อยแล้วก็เริ่มการฝึกซ้อม
ทำตามที่สวี่ตี้สอน คนสิบกว่ากลุ่มไม่เพียงแค่จะมีชีวิตอยู่รอดในป่า และเตรียมตัวป้องกันว่าจะถูกกลุ่มอื่นโจมตี หลังจากเวลาถึงตามที่กำหนดแล้ว จะนับกลุ่มที่มีจำนวนคนเหลือรอดมากที่สุดเป็ผู้ชนะ สำหรับกลุ่มที่ชนะเว่ยหลางได้เตรียมรางวัลเอาไว้ให้แล้ว
การต่อสู้เช่นนี้ ความจริงแล้วย่ำแย่มาก แต่ว่าในความเป็จริงอย่างไรสนามรบก็เป็สถานที่ที่ย่ำแย่ที่สุด ตอนที่ทำาอยู่หากไม่อยากให้เืไหล ไม่อยากให้น้ำตาไหล เช่นนั้นเวลาปกติจะต้องทำให้เหงื่อออกเยอะๆ นี่คือคำพูดที่สวี่ตี้เอามาพูดปลุกใจทุกคน และเพราะว่าประโยคนี้จริงๆ ที่ทำให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการฝึก แต่ว่าต่อให้จะให้ความสำคัญอย่างไร ความเป็จริงสิ่งที่ได้รับนั้น ไม่ใช่ใครจะสามารถรับความรู้เข้าไปมากมายได้
ตลอดระยะเวลาห้าวัน สองวันแรกก็ยังดีหน่อย ยังไม่มีคนลงจากูเา ั้แ่วันที่สามเริ่มขึ้น ก็เริ่มมีคนทยอยลงมา เพื่อการเอาตัวรอดต่อไปจะต้องหาวิธีมากมายมารับมือ เว่ยหลางให้คนที่ลงมาจากูเาบอกเล่าขั้นตอนการเสียสละของตนเองออกมาหนึ่งรอบ จากนั้นก็ให้คิดดีๆ ว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงการเสียสละเช่นนี้ได้ อย่าพูดถึงเื่อื่นเลย จริงๆ แล้วเพราะตอนแรกทุกคนยังคงรู้สึกหดหู่ใจ แต่ว่าพอพูดถึงการตั้งคำถามว่าจะหลีกเลี่ยงจากการเสียสละเช่นนี้อย่างไร ทุกคนก็คิดออกมา พูดออกมา หลังจากปรึกษากันแล้ว ในกองทัพก็ยิ่งครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย หม่าิถึงได้พาคนจำนวนมากลงจากูเา ครั้งนี้คนที่ได้รับชัยชนะในตอนสุดท้ายก็คือหม่าิ แต่ว่าในกลุ่มของหม่าิก็ไม่ใช่ว่าไม่มีการเสียสละเกิดขึ้น เขาที่เป็หัวหน้ากลุ่ม พาลูกน้องไปเก้าคน พากลับมาได้สี่คน บวกกับตัวเขาเองก็เป็ห้าคน ตอนที่เขาพาคนลงจากเขา ทั้งกองทัพก็กู่ร้องออกมา นี่เป็การต้อนรับวีรบุรุษ และเป็การให้คะแนนที่ได้รับการยอมรับที่สุดในการฝึกครั้งนี้
เชิงอรรถ
[1] กวนตงจู (关东煮 Guāndōngzhǔ) เป็พวกลูกชิ้น เต้าหู้ เนื้อเสียบไม้แล้วเอาไปต้มในหม้อที่เป็ช่องสี่เหลี่ยม สามารถเลือกลูกชิ้นขึ้นมาใส่ถ้วยแล้วราดด้วยน้ำจิ้มหรือน้ำแกงเผ็ดๆ