ผิงอันเข้ามาด้วยความหวั่นใจเล็กน้อย เสี่ยวโหวเหฺยหายตัวไปเป็เวลาเก้าวัน แม้ว่าจะกลับมาอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย แต่ในเก้าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างไม่มีผู้ใดรู้ ความหมายของจี้หมัวมัวคือให้นางลองสอบถามดู นางจะกล้าสอบถามได้อย่างไรเล่า “โหวเหฺย” มาวันนี้คำว่า เสี่ยว ก็ไม่กล้าเรียกแล้ว
“ผิงอัน ไข่มุกของข้าในคลังเ้านำไปจัดการเสีย ให้แลกเปลี่ยนเป็เงิน”
“ทั้งหมดเลยหรือเ้าคะ?” ผิงอันตกตะลึง เงินที่แลกออกมาคงได้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ทั้งหมดเลย แต่ให้แบ่งแลกทีละส่วน อย่าให้โจ่งแจ้งเกินไปนัก” หลี่ลั่วย้ำเตือน “เมื่อแลกเปลี่ยนเป็เงินแล้วบอกจำนวนตัวเลขมาให้ข้าก็พอ”
“เ้าค่ะ”
“ไป พวกเราไปเรือนหยวนเซ่อกันสักรอบ”
“เ้าค่ะ”
เรือนหยวนเซ่อได้เตรียมของว่างไว้นานแล้ว เพียงรอให้หลี่ลั่วมา หลี่หลินและหลี่หงนั้นทนไม่ไหวมารอที่หน้าประตู หลายวันนี้คนของจวนโหวต่างไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายนัก หยวนข่ายตายแล้ว ในใจของหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นราวกับมีหนามแหลมทิ่มแทง ยามที่หลี่หยางซื่อไปคารวะยามเช้านางไม่ให้หน้าเลยแม้แต่น้อย มีโอกาสเมื่อใดเป็ต้องเอ่ยวาจาถากถาง
ยามนี้ราชโองการพระราชทานสมรสของหลี่ลั่วได้ลงมาแล้ว นางยิ่งหัวเราะเยาะ แม้แต่การทำสีหน้าเสแสร้งกับหลี่หยางซื่อนางก็ไม่ทำแล้ว
ในที่สุดร่างของหลี่ลั่วก็มาปรากฏแก่สายตาของทุกคน
“ลูกคารวะมารดา” หลี่ลั่วปฏิบัติต่อหลี่หยางซื่อด้วยความเกรงใจตลอดมา หญิงม่ายที่สามีตายไปแล้ว ต้องเฝ้าดูแลทรัพย์สมบัติในเรือนและเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกทั้งสองคน สตรีเช่นนี้ไม่ง่ายดาย
“เร็วเข้า ไม่ต้องคารวะแล้ว มาให้มารดาดูหน่อย” หลี่หยางซื่อหลายวันมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เวลานี้เห็นหลี่ลั่วปลอดภัยดีนางจึงวางใจลงแล้ว
“เ้าทำให้ผู้อื่นกังวลแทบตายรู้หรือไม่” หลี่หลินร้องไห้ “ล้วนเป็ข้าที่ไม่ดี หากว่าดูแลน้องหกดีกว่านี้ ย่อมไม่เกิดเื่เช่นนี้”
“พี่หญิงใหญ่อย่าร้องไห้” หลี่ลั่วก้าวขึ้นมาตบมือของนางเบาๆ “มีคน้าลงมือกับเข้า วันนั้นเพียงแต่สบโอกาส หากไม่ได้ลงมือวันนั้น เขาก็ยังมีความคิดอีกมากมาย หางจิ้งจอกโผล่เร็วหน่อยย่อมเป็การดี พวกเราจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวต่อภัยมืด”
“แต่เป็ข้าที่ทำให้เกิดเื่ขึ้นมาได้” หลี่หลินนั้นอภัยให้ตนเองไม่ได้ “หากไม่ใช่เป็เพราะข้า น้องหกจะไปล่วงเกินเขาได้อย่างไร? พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็เพราะข้า”
“พี่หญิงใหญ่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเป็น้องชายของท่าน ไม่สมควรปกป้องพี่สาวหรือไร? หลี่ลั่วพูดแล้วมองไปที่หลี่หง “พี่หญิงใหญ่หน้าเลอะหมดแล้ว พี่ใหญ่พาพี่หญิงใหญ่ไปแต่งหน้าใหม่ดีหรือไม่?”
หลี่หงตะลึง เขาเข้าใจในทันทีว่าน้องหก้ากันตนเองออกไป “ก็ดี หลินเจี่ยเอ๋อร์จะได้แต่งตัวให้สวยขึ้นสักหน่อย”
“พวกท่านช่างน่ารำคาญเสียจริง” หลี่หลินร้องไห้ไปด้วยและหัวเราะไปด้วยพร้อมกับลุกขึ้น
ในห้องเหลือเพียงหลี่ลั่วและหลี่หยางซื่อ ข้ารับใช้ถอยออกไปทั้งหมดแล้ว
หลี่หยางซื่ออยากจะใกล้ชิดหลี่ลั่วมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้ ความจริงเด็กน้อยอายุห้าขวบนั้นปลอบง่ายยิ่งนักและใกล้ชิดได้ง่าย แต่กับหลี่ลั่วนั้นไม่ได้ อาจเป็เพราะว่าหลี่ลั่วฉลาดเกินไป ทุกครั้งที่หลี่หยางซื่อจะใกล้ชิดเขา นางมักจะรู้สึกว่าดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มคู่นั้นของเขามองตนเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นางไม่ได้เห็นว่าหลี่ลั่วยังเยาว์ไม่เข้าใจอันใด ในทางตรงกันข้ามหลี่ลั่วเข้าใจมากเกินไป ความกล้าหาญและวิธีการที่ขับไล่ครอบครัวสกุลหยวนออกไปจากจวน แม้แต่หลี่หยางซื่อเองก็ยังทำไม่ได้
ดังนั้นเด็กลักษณะเช่นนี้นางจะเข้าไปใกล้ชิดได้อย่างไร? แล้วจะกล้าเข้าไปใกล้ชิดได้อย่างไร? นางเป็จนกระทั่ง รู้สึกหวาดกลัวหลี่ลั่วอยู่บ้าง แต่สีหน้าของนางกลับดูเป็กันเองยิ่งนัก
“ลั่วเกอเอ๋อร์ ่ที่ผ่านมาเป็อยู่อย่างไร ได้รับาเ็ที่ไหนบ้างหรือไม่?” หลี่หยางซื่อถาม
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “มารดาโปรดวางใจ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ดีที่ฉีอ๋องไปช่วยขอรับ” เล่าอย่างกระชับ ไม่อยากเอ่ยถึงเื่ราวที่ผ่านมา และความจริงก็ไม่มีอันใดให้พูดถึง “ข้าได้ยินว่าหยวนข่ายถูกปะาชีวิตไปแล้ว เหล่าไท่ไท่ทำให้มารดาลำบากใจหรือไม่ขอรับ?”
หลี่หยางซื่อถอนใจเฮือกหนึ่ง “ทำให้ลำบากใจหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ด้วยสิ่งที่หยวนข่ายได้ทำเอาไว้กับหลินเจี่ยเอ๋อร์ ต่อให้ถูกทำให้ลำบากใจ ทว่าแลกมากับที่เขาต้องมีจุดจบเช่นนี้ ข้าก็ยินดี”
หลี่หยางซื่อพูดความรู้สึกจริงๆ ของนางออกมา นางเกลียดครอบครัวสกุลหยวน และเกลียดหลี่เหล่าไท่ไท่ แต่นางจะอดทนและอดกลั้น นางเป็สตรีที่ไร้ซึ่งสามี ในครอบครัวไม่มีขุนเขาอันยิ่งใหญ่ให้พึ่งพิง นางจึงได้แต่อดทน
ต่อมาหลี่หยางซื่อจึงกล่าวอีกว่า “กลับเป็เ้า ฝ่าาทรงพระราชทานสมรส แล้วนี่จะทำเช่นใดกันดีเล่า? เ้าเป็จงหย่งโหว ฝ่าาทำเช่นนี้ หมายความอย่างไรกันแน่?”
“มารดาไม่ต้องกังวลขอรับ” หลี่ลั่วกลับมีท่าทีไม่แยแส “พระราชโองการของฝ่าาได้ลงมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะหมายความว่าอย่างไร พวกเราก็ได้แต่สนองพระราชโองการ”
“เ้าพูดได้ถูกต้อง แต่...” แต่คำพูดข้างหลัง หลี่หยางซื่อไม่ได้พูด ความจริงแล้วเื่ที่หลี่ลั่วถูกพระราชสมรสให้กับฉีอ๋อง หลี่หยางซื่อไม่ได้กังวลอันใดมาก สำหรับหลี่หยางซื่อแล้วสิ่งที่นางกังวลที่สุดคือบุตรชายบุตรสาวของนางและจวนโหว หากหลี่ลั่วแต่งให้ฉีอ๋อง เช่นนั้นย่อมหมายถึงว่าเขาจะไม่มีลูกหลานของตน ตำแหน่งโหวของจวนโหว...แน่นอนว่า หลี่ลั่วยามนี้ยังเยาว์ การคุยเื่ตำแหน่งโหวของจวนโหวในเวลานี้ออกจะเร็วไปสักหน่อย
หลี่ลั่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองหลี่หยางซื่อ “วันนี้ข้ากับมารดามาเจรจาแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่?”
หลี่หยางซื่อหัวใจหดรัดแน่น แลกเปลี่ยนหรือ? หมายความว่าอย่างไร?
“หากข้าแต่งให้กับฉีอ๋อง จวนโหวจำต้องเลือกผู้สืบทอด ข้าคิดว่าข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็ผู้เลือกผู้สืบทอด” คำพูดหลี่ลั่วตรงไปตรงมายิ่งนัก
หลี่หยางซื่อใจเต้นระรัว คำพูดของหลี่ลั่วหมายความว่าอย่างไร?
“มารดาคิดว่าข้าเลือกบุตรชายของพี่ใหญ่มาเป็ผู้สืบทอดจวนโหวเป็เช่นใด?” หลี่ลั่วถาม
หลี่หยางซื่อควบคุมการเต้นระรัวของหัวใจตนไม่ได้ ว่าตามจริงแล้ว เลือกบุตรชายของหลี่หงมาเป็ผู้สืบทอดจวนโหวนางย่อมดีใจแน่นอน นั่นคือลูกหลานแท้ๆ ของตน หากหลี่หงไม่ใช่ด้วยอุบัติเหตุแล้วนั้นจวนโหวเดิมทีต้องเป็ของเขา แต่คำพูดของหลี่ลั่วนั้นเป็การหยั่งดูท่าทีหรือไม่ หรือว่าพูดจริง นางไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยความคิดของตนออกมา
แต่หลี่ลั่วเล่าเป็คนฉลาดปานใด เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากวันนี้เขาอยู่ในตำแหน่งของหลี่หยางซื่อ ข้อเสนอเช่นนี้เขาย่อมยอมรับแน่นอน หลี่ลั่วหัวเราะ “มารดาไม่ต้องตื่นเต้น ปีนี้ข้าเพิ่งจะอายุห้าขวบ ตามพระราชโองการแล้วนั้นยังต้องรออีกเป็เวลาสิบปีจึงจะแต่งงาน ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว และพี่ชายก็ดีต่อข้าไม่เลว ดังนั้นหากจะต้องเลือกลูกหลานสกุลหลี่มาคนหนึ่งเพื่อสืบทอดจวนโหว เช่นนั้นย่อมต้องเป็บุตรชายของพี่ใหญ่”
“ลั่วเกอเอ๋อร์ เื่นี้ยังเร็วไป...”
“ข้าพูดกับมารดาั้แ่เนิ่นๆ เพื่อให้มารดาได้ตระเตรียมการ วันหน้าเมื่อเลี้ยงดูอบรมลูกชายของพี่ใหญ่ สิ่งที่พึงมีต้องระมัดระวัง เ้านายของจวนโหว ไม่เพียงแต่ด้วยชาติกำเนิด อุปนิสัย ความกล้าหาญ หรือสติปัญญา ล้วนขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว” หลี่ลั่วย้ำเตือน “พี่ใหญ่เป็พี่ชายที่ดี แต่ด้วยนิสัยของเขาแล้วไม่สามารถเป็ท่านโหวของจวนโหวได้ ตำแหน่งโหวเหฺยนั้นข้าเป็ได้อย่างที่ไม่ได้ผิดต่อตำแหน่งนี้”
แม้หลี่หยางซื่อจะไม่ชอบฟังคำพูดของหลี่ลั่ว ทว่านางยอมรับว่าเขาพูดได้ถูกต้อง ความกล้าหาญเช่นนี้ แม้แต่หงเกอเอ๋อร์ก็ยังสู้ไม่ได้ “เช่นนั้นที่เ้าบอกว่าแลกเปลี่ยนคือ?”
“ทรัพย์สมบัติของจวนโหวข้าไม่้าแม้แต่ตำลึงเดียว คิดเสียว่าเหลือไว้เป็ของขวัญให้กับหลานในอนาคต ดังนั้นมารดาจะจัดการเช่นไรข้าย่อมไม่เข้าไปยุ่ง แต่หนังสือสัญญาขายตัวของบ่าวรับใช้ในเรือนข้ารวมไปถึงครอบครัวซินหมัวมัว รบกวนมารดาโปรดยกให้ข้า” หลี่ลั่วกล่าว
หลี่หยางซื่อขมวดคิ้ว ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น หากดูจากการเจรจาแลกเปลี่ยนกับหลี่ลั่ว สัญญาขายตัวของบ่าวรับใช้เหล่านี้ไม่นับเป็อันใดได้ “อีกประเดี๋ยวข้าจะหยิบมาให้เ้า”
“มารดาขอรับ” น้ำเสียงของหลี่ลั่วกล่าวหนักแน่นขึ้น “แม้ข้าจะเลือกลูกชายของพี่ใหญ่มาเป็ผู้สืบทอดจวนโหว แต่ไม่ได้หมายความว่าขอเพียงแต่ออกมาจากเรือนของพี่ใหญ่ก็พอแล้ว ข้าจะให้ความสำคัญกับชาติกำเนิดและตัวของเขาเอง ดังนั้นมารดาไม่ต้องทำเพื่อให้พี่ใหญ่มีลูกชาย แล้วให้เขาแต่งอนุเข้ามาหลายๆ คนนะขอรับ”
หลี่หยางซื่อหน้าแดง คิดไม่ถึงว่าหลี่ลั่วจะกล่าวละเอียดเช่นนี้ “มารดารู้ที่เ้าพูด ข้าย่อมปรารถนาให้หงเกอเอ๋อร์สามีภรรยารักใคร่ลึกซึ้งต่อกัน”
“เช่นนั้นก็ดีขอรับ”
หลี่ลั่วหยิบหนังสือสัญญาขายตัวและจากไปแล้ว จี้หมัวมัวเดินเข้ามาในห้อง “เหล่าฮูหยิน...คุณหนู”
สีหน้าของหลี่หยางซื่อเคร่งขรึมและเหนื่อยล้า “เมื่อสักครู่ลั่วเกอเอ๋อร์มารับหนังสือสัญญาขายตัวของบ่าวไพร่ในเรือนของเขาไปแล้ว ของผิงอันข้าคิดอยู่นาน แต่ก็ให้เขาไปแล้ว”
จี้หมัวมัวหัวใจหดรัด ความจริงเื่สัญญาขายตัวนี้ นางรู้มานานแล้ว เมื่อพ่อบ้านจี้กลับมาจากหมู่บ้านได้นำเื่นี้มาบอกแก่นาง นางซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อหลี่หยางซื่อ แต่หากว่าสามารถถือสัญญาขายตัวได้ละก็ นางย่อมยินดียิ่งกว่า เดิมนางคิดว่าเื่ที่เสี่ยวโหวเหฺยกล่าวนั้นเป็เพียงลมปากเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมารับหนังสือสัญญาขายตัวรวดเร็วปานนี้ เสี่ยวโหวเหฺยจะปลดปล่อยสัญญาขายตัวครอบครัวซินเป่าทั้งหมดจริงๆ หรือไร?
สำหรับข้ารับใช้คนหนึ่งแล้วนั้น หากเป็พลเมืองได้นั่นเป็เื่ที่ปรารถนาเพียงใด
“ไฉนเหล่าฮูหยินจึงได้ให้สัญญาขายตัวกับเสี่ยวโหวเหฺยกะทันหันเช่นนี้เล่าเ้าคะ?” จี้หมัวมัวถามขึ้นอย่างลังเลใจ
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเอาสิ่งใดมาต่อรองกับข้า?” หลี่หยางซื่อถาม
จี้หมัวมัวส่ายหน้า
“เป็ตำแหน่งผู้สืบทอดจวนโหว เขาบอกว่าต่อไปให้บุตรชายของหงเกอเอ๋อร์มารับ่สืบทอดจวนโหว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจวนโหวเขาไม่้า” หลี่หยางซื่อจนถึงบัดนี้ก็ยังคิดไม่กระจ่างแจ้ง หลี่ลั่วนั้นเอาความมั่นใจอันใดมาพูดเื่เหล่านี้กัน เพียงแค่เพราะว่าเขาได้รับสมรสพระราชทานกับฉีอ๋องน่ะหรือ?
ถึงแม้ว่าจะเป็สมรสพระราชทาน แต่ทั้งสองคนก็เป็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เช่นนี้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือหลี่ลั่วถูกจวนฉีอ๋องเลี้ยงดูเป็อย่างดี ทว่าเขาจะไม่มีวันมีทายาทสืบสกุลเป็ของตน ถ้าหากว่าฉีอ๋องทรงสิ้นพระชนม์ก่อนหลี่ลั่วแล้วบุตรอนุขึ้นสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อ จะให้เขาผู้ซึ่งเป็พระชายาชายใช้ชีวิตอย่างไรเล่า?
แต่ว่า เื่ยังไกลตัวนัก คิดในยามนี้ไปก็ไม่ช่วยอันใด
จี้หมัวมัวพูดอย่างตกตะลึงว่า “เสี่ยวโหวเหฺยช่างมีชาติกำเนิดเป็วัวแต่ไม่กลัวแม้แต่เสือจริงๆ นะเ้าคะ”
“ถูกต้อง เขาไม่เห็นแก่หน้าเหล่าไท่ไท่ เขายอมล่วงเกินสกุลหยวน สิ่งใดเขาก็กล้าที่จะทำ แต่เขาเพิ่งจะห้าขวบ ไฉนเขาจึงกล้าเช่นนี้?” หลี่หยางซื่อถอนใจ “ข้าย่อม้าให้บุตรชายของหงเกอเอ๋อร์เป็ผู้สืบทอดจวนโหว เดิมทีมันก็เป็ของหงเกอเอ๋อร์อยู่แล้ว หากไม่ใช่...”
“คุณหนูอย่าได้พูดเช่นนี้เลยเ้าค่ะ” จี้หมัวมัวรีบพูด
“ข้าต้องกลัวอันใดเล่า?” หลี่หยางซื่อหัวเราะเสียงเย็น “ในยามนี้ข้าขอเพียงบุตรสาวออกเรือน แล้วรอดูว่าเขา หลี่ลั่ว จะกล้าให้บุตรชายของหงเกอเอ๋อร์สืบทอดจวนโหวจริงๆ หรือไม่ มีคำพูดบางอย่างพูดแล้วไม่ได้หมายความว่าจะทำ ต่อให้เขาไม่ได้ต่อรองกับข้าเช่นนี้แล้ว้าหนังสือสัญญาขายตัวของบ่าวไพร่ ข้าก็ให้เขา เพราะเขาต่างหากเล่าที่เป็เ้านายของจวนโหว”
เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง นางในฐานะมารดาใหญ่ กลับทำอันใดไม่ได้
วังหลวง
“น้องสี่ ยินดีกับน้องสี่ที่มีคู่ครอง” องค์ชายใหญ่ตบไหล่ของกู้จวิ้นเฉิน เป็การแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
องค์ชายรองยิ้มอ่อนโยน “เดิมทีของขวัญควรจะนำมามอบให้นานแล้ว แต่น้องสี่ไม่อยู่ จึงไม่ได้มอบให้ อีกประเดี๋ยวพวกเราพี่น้องไปกินข้าวที่หอชมจันทร์กัน พี่รองเป็เ้ามือเอง”
“ข้าก็เช่นกัน น้องสี่มีงานมงคล พวกเราพี่น้องห้ามขาดผู้ใดไปทั้งสิ้น” องค์ชายสามกล่าว
กู้จวิ้นเฉินพูดเรียบๆ “ขอบพระทัยเสด็จพี่ทั้งสาม เสด็จพี่รองจัดการก็พอแล้ว ข้าจะไปตามนั้น”
“ได้ เราจะรอเ้า” องค์ชายรองรีบให้คนไปจัดการ
กู้จวิ้นเฉินเข้าไปถึงห้องทรงพระอักษร จ้าวหนิงฮ่องเต้กำลังอ่านฎีกา เขารู้ว่าเหตุไฉนวันนี้กู้จวิ้นเฉินจึงมาหาเขา เห็นท่าทางเหนื่อยล้าของเขาแล้วจ้าวหนิงฮ่องเต้จึงวางพู่กันลง “เมื่อวานไม่ได้นอนพักผ่อนให้ดีหรือ?”
“เข้าเมืองหลวงกลางดึก คิดไม่ถึงว่ากลับมาถึงจวนอ๋องเสด็จอาจะได้มอบของขวัญให้ข้าชิ้นใหญ่เช่นนี้” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
จ้าวหนิงฮ่องเต้เลิกพระขนง “เจิ้นคิดว่าเ้ากับจงหย่งโหวนั้นมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็คู่กับเขา”
กู้จวิ้นเฉินไม่เชื่อคำเหล่านี้ “หลานย่อมเล่นกับเขาได้ดีพ่ะย่ะค่ะ หรือว่ายังจะต้องไปมีความรักกับเด็กน้อยอายุห้าขวบอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ความรู้สึกนั้นต้องค่อยๆ บ่มเพาะ” จ้าวหนิงฮ่องเต้พูดยิ้มๆ “และจงหย่งโหวก็ช่วยชีวิตของเ้าเอาไว้ มอบหัวใจให้เขานั้นย่อมได้”
“เสด็จอาสนับสนุนความรักของัั้แ่เมื่อใดกันพ่ะย่ะค่ะ?” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
“เจิ้นไม่ได้สนับสนุน และก็ไม่ได้ต่อต้านเช่นกัน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตอบ “คู่สมรสที่เจิ้นจับคู่ให้กับมือ ย่อมต้องดีที่สุด ชะตาฟ้าลิขิต”
“เสด็จอา” กู้จวิ้นเฉินขมวดคิ้ว “เสด็จอายังไม่ได้บอกข้า เหตุไฉนจึงพระราชทานสมรสให้ข้ากับลั่วเอ๋อร์”
“เ้ามาวันนี้เพื่อจะยกเลิกสมรส หรือมาเพื่อจะขอบพระทัยกันเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถามกลับ
กู้จวิ้นเฉินเงียบขรึม “มาเพื่อขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หากในวันข้างหน้าเขาไม่้าแต่งหญิงสาวแปลกหน้าเข้ามาเป็พระชายา เช่นนั้นไฉนเขาจะไม่รักและเอ็นดูหลี่ลั่ว มอบตำแหน่งพระชายาเอกให้กับเขาเล่า?
อย่างไรเสียท่ามกลางผู้คนมากมาย ผู้ที่เขาดูจะถูกชะตาด้วยก็มีเพียงแต่เ้าสารเลวตัวน้อยหลี่ลั่วผู้นั้น
“แม้จงหย่งโหวจะเป็ผู้ชาย แต่ว่า...” จ้าวหนิงฮ่องเต้หยุดไปครู่หนึ่ง “สิ่งดีๆ ที่เขานำมาให้นั้นมากมายยิ่งนัก” ภายใต้คิ้วเข้มและดวงตากลมโตของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ซ่อนไว้ซึ่งความคิดอันลึกล้ำ แต่ความคิดเช่นนี้ผู้อื่นดูไม่ออก
ความคิดความอ่านของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ตลอดมานั้นอ่านยากมาก เขาเคร่งขรึมพูดน้อยั้แ่วัยเยาว์ นอกจากไห่กงกงแล้วก็ไม่มีคนข้างกายผู้ใดอีก
แววตาของกู้จวิ้นเฉินมีความคลางแคลงใจพาดผ่าน เข้าไม่เข้าใจความหมายของจ้าวหนิงฮ่องเต้ แต่งหลี่ลั่วเข้ามา ย่อมดึงจงกั๋วกง จงหย่งโหว เหรินเซียงโหว และจวนฉีอ๋องรวมไว้ด้วยกัน เหรินเซียงโหวมีอำนาจทางทหาร ผนวกกับในมือของสกุลอวี๋มีอำนาจทางทหาร กำลังของจวนฉีอ๋องเปรียบดังพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันเสียแล้ว
แต่เมื่อแต่งหลี่ลั่ว จวนฉีอ๋องจะไม่มีทายาทจากภรรยาเอก ย่อมไม่มีทายาทจากภรรยาเอกเป็แน่ กำเนิดจากอนุก็ไม่กระไร เมื่อเป็เช่นนี้ กำลังของจวนฉีอ๋องยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จุดประสงค์ของจ้าวหนิงฮ่องเต้เพื่อสิ่งใดเล่า?
เห็นกู้จวิ้นเฉินเงียบขรึมไม่เอ่ยวาจาใดๆ เขาเองก็ไม่ได้อธิบาย “จงหย่งโหวยามนี้เพิ่งจะอายุห้าขวบ ไม่รีบเร่ง”
“หลานทูลลา”
“ไปเถิด”
กู้จวิ้นเฉินออกจากห้องทรงพระอักษร เงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีคราม ตลอดเวลาเสด็จอาไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลที่แท้จริง เขาเองก็เดาไม่ออก ทว่าเื่สมรสของเขาและหลี่ลั่วได้กำหนดลงมาแน่นอนแล้ว คาดว่าคงมีคนบางคนอยู่ไม่สงบ
“นายท่าน พ่อบ้านกู่ส่งคนมารายงาน เสี่ยวโหวเหฺยกลับถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว
กู้จวิ้นเฉินพยักหน้า “ไปหอชมจันทร์”
หอชมจันทร์เป็หอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ที่หอชมจันทร์ได้ชื่อเสียงเช่นนี้ในเมืองหลวงมิใช่ด้วยเหตุที่มีขนาดใหญ่โต แต่ด้วยเหตุผลที่เมื่อเปรียบกับหอสุราอื่นๆ แล้ว หอชมจันทร์เป็หอสุราที่สูงที่สุด มีห้าชั้น ชั้นที่ห้าสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองหลวงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีกล้องส่องทางไกล ได้ยินมาว่าเ้าของหอชมจันทร์นั้นซื้อมาจากที่อื่น ใช้กล้องส่องทางไกลแล้วทำให้สามารถมองดวงจันทร์ได้ละเอียดยิ่งนัก
รถม้าเดินทางมาถึงประตูทางเข้าหอชมจันทร์
“ยินดีต้อนรับ ลูกค้ากี่ท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาต้อนรับ
จวิ้นอีคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น คิดจะใช้ร่างของตนเป็แท่นเหยียบให้กู้จวิ้นเฉิน “ไม่ต้อง” กู้จวิ้นเฉินะโลงมาจากรถม้า น้ำเสียงเย็นเยียบเด็ดเดี่ยวนั้นทำให้ผู้ที่ได้ยินยากจะลืมเลือน
ผู้คนที่เข้าออกหอชมจันทร์ล้วนเป็ชนชั้นสูง มีคนมากมายมองมาที่กู้จวิ้นเฉิน แม้จะเป็เพียงหนุ่มน้อย ทว่าท่วงท่าสง่างาม อาภรณ์หรูหรา เห็นแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คุณชายจากครอบครัวธรรมดาสามัญ ซ้ำรูปโฉมยังหล่อเหลาไม่มีสิ่งใดธรรมดาเลย ผู้คนต่างประหลาดใจว่าคุณชายผู้นี้เป็ใครกัน?
ฉีอ๋องรูปโฉมหล่อเหลา ทว่าเขาออกจากจวนอ๋องน้อยครั้งยิ่งนัก ในยามปกติสถานที่ที่เขาไปมากที่สุดก็คือวังหลวง แม้จะเคยมาหอชมจันทร์ แต่ในหนึ่งปีนั้นแทบจะนับครั้งได้ คนที่จำกู้จวิ้นเฉินได้จึงมีเพียงแค่ไม่กี่คน
“ชั้นห้า ตัวอักษรเทียน ห้องหมายเลขหนึ่ง” กู้จวิ้นเฉินกล่าว องค์ชายสามเช่าห้องนี้ไว้ทั้งปี ขอเพียงนัดกันที่หอชมจันทร์ ทุกครั้งมักจะเป็สถานที่เดิม
เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึง ท่านผู้นี้เป็ท่านแขกผู้สูงศักดิ์ รีบกล่าวว่า “เชิญด้านในขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินเดินอยู่ข้างหน้า จวิ้นอีเดินตามหลัง เสี่ยวเอ้อร์อยู่หลังสุด บันไดของหอชมจันทร์นั้นมีลักษณะเป็บันไดวนที่สร้างสูงขึ้นไปจากตรงกลางชั้นที่หนึ่ง บันไดนั้นกว้างขวางยิ่งนัก โดยทั่วไปหากเดินเรียงหน้ากระดานแล้วจะสามารถเดินได้สามคน ต่อให้เป็การเดินสวนทางกันก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ใครขวางทางใคร แต่ก็มักจะมีคนชอบเดินเรียงหน้ากระดานสามคน ดังนั้นกู้จวิ้นเฉินจึงเจอเข้ากับตัว
คนกลุ่มนั้นเดินลงมา กู้จวิ้นเฉินเดินขึ้นไป
“ไสหัวไป” เสียงยโสโอหังดังมาจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลาง
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว มีชีวิตอยู่มาสิบสามปี เป็ครั้งแรกที่มีคนเรียกให้เขาไสหัวไป ช่างเป็อะไรที่แปลกใหม่เสียจริง
“โอ๊ะ คุณชายกู้ ผู้อื่นไม่ได้ยินคำพูดของท่านแน่ะ หูหนวกไปแล้ว” คนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปาก
“สุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทาง ขวางทางย่อมเป็สุนัขที่ไม่ดี ฮ่าๆๆ...” มีคนเอ่ยขึ้นอีก
สกุลกู้หรือ? แม้ว่าใต้หล้านี้ผู้ที่มีสกุลกู้อาจจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ทั้งหมด แต่ในเมืองแล้วนั้นสกุลกู้เป็อะไรที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก มองชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกลางในอาภรณ์ผ้าแพรแล้ว ข้างๆ เขาเป็คุณชายจากสกุลมั่งมีที่คอยสนับสนุน ด้านหลังยังมีผู้ติดตามอีกสองคน บ่าวรับใช้นั้นไม่ต้องพูดถึง เช่นนั้นเป็สกุลกู้ครอบครัวใดกันเล่า?
นี่จะเป็เหตุการณ์เกิดความเข้าใจผิดด้วยเหตุคนกันเองไม่รู้จักคนกันเองหรือไม่?
“คุณชายกู้รึ? กู้เป็สกุลของราชวงศ์ คงมิใช่ว่าคุณชายท่านนี้เป็คนในราชวงศ์หรอกกระมัง?” แม้น้ำเสียงของกู้จวิ้นเฉินจะเ็าอยู่บ้าง แต่ท่าทางนั้นยังเกรงใจอยู่บ้าง
คุณชายสกุลกู้เมื่อได้ยินว่ามีคนพูดจายกยอฐานะของตนนั้น สีหน้ามีความสุขในทันใด “นับว่าตาของเ้ายังมีแววอยู่บ้าง ตัวข้าเป็พระญาติของเชื้อพระวงศ์ เ้ามาจากครอบครัวใดกัน? เห็นแก่ที่เ้าตามีแววยิ่ง ข้าอนุญาตให้เ้ามาติดตามข้าได้”
“ข้ารึ?” กู้จวิ้นเฉินยกยิ้มมุมปาก ในพริบตา สีหน้าเ็าก็เปลี่ยนเป็อ่อนโยนขึ้นมาในทันที เขาถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เ้าคิดเห็นว่าข้ามาจากครอบครัวสกุลใดเล่า ตัวข้าเองนั้นก็พอจะรู้จักสกุลกู้อยู่หลายคน”
“ฮ่าๆๆ...” คุณชายสกุลกู้หัวเราะลั่น “เ้านี่ช่างรู้จักพูดจาขำขัน ไหนเ้าลองพูดมาซิ ว่าเ้ารู้จักสกุลกู้ท่านใด?”
“กู้จวิ้นเฉิน”
“กู้จวิ้นเฉินรึ? ผู้ใดกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อน” คุณชายสกุลกู้ส่ายหน้า
กู้จวิ้นเฉินคิดว่าเขาไม่มีความจำเป็ต้องสอบถามอันใดกับเ้าคนโง่งมผู้นี้อีกต่อไปแล้ว
คนที่อยู่ข้างกายคุณชายสกุลกู้ดึงอาภรณ์ของเขา “คือท่านฉีอ๋อง กู้จวิ้นเฉินเป็พระนามของท่านฉีอ๋อง” คุณชายในบรรดาครอบครัวมั่งมีที่เข้าออกในเมืองหลวง มีผู้ใดบ้างไม่รู้จักชื่อของท่านฉีอ๋อง
“อะไรนะ?” คุณชายสกุลกู้หัวใจหดเกร็ง เขาไม่รู้จักชื่อของท่านฉีอ๋องจริงๆ แม้ว่าเขาจะเป็สกุลกู้ซึ่งเป็เชื้อพระวงศ์ แต่ั้แ่กำเนิดมาไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นานมานี้เอง ด้วยงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าาใกล้ถึงแล้ว ฝ่าาปีนี้มีอายุสี่สิบเอ็ดปี แต่เป็รอบอายุครบสี่สิบปีพอดี[1] เป็การฉลองวันเกิดครั้งใหญ่ ดังนั้นย่อมจัดงานฉลองยิ่งใหญ่อลังการ
“จวิ้นอี” กู้จวิ้นเฉินเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” จวิ้นอีก้าวขึ้นมา “รบกวนขอทาง”
“ต่อให้รู้จักฉีอ๋องแล้วจะอย่างไรเล่า?” คุณชายสกุลกู้กล่าว “เ้า้าให้ข้าหลีกทางรึ เ้าทำเกินไปแล้ว”
“จริงด้วย รู้จักฉีอ๋องแล้วก็ออกมาทำท่าทีจอมปลอม เ้านับเป็สิ่งของอันใดได้” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “คุณชายของพวกเราเป็พระญาติของฉีอ๋องเช่นกัน”
“ดังนั้นแล้ว?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ย่อมเป็เ้าที่ต้องหลีกทางให้ข้า” คุณชายสกุลกู้กล่าว
กู้จวิ้นเฉินยิ้มเย็น “แล้วหากว่าข้าไม่หลีกทางให้เล่า?” ที่จริงแล้ววันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีนัก เพราะเสด็จอาไม่ได้บอกเหตุผลที่พระราชทานสมรสให้เขากับลั่วเอ๋อร์ เป็ครั้งแรกที่กู้จวิ้นเฉินรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ้าง แล้วนี่ยังมามีคนที่ไม่รู้จักความเป็ความตายมาขวางทางเขา ซ้ำยัง้าให้เขาหลีกทางให้อีก
“ยังกระด้างกระเดื่องอีก พวกเ้าผลักพวกเขาออกไปซิ” คุณชายสกุลกู้กล่าว
“ขอรับ” บ่าวรับใช้ของคุณชายสกุลกู้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า คิดจะผลักกู้จวิ้นเฉินออก แต่ถูกจวิ้นอีขวางเอาไว้ ต้องมาต่อสู้กับบ่าวรับใช้พวกนี้ ช่างทำให้ฐานะของจวิ้นอีต้องแปดเปื้อนเสียจริงๆ แต่เขาก็ยังเตะออกไปครั้งหนึ่งจนอีกฝ่ายร่วงลงบันไดไป
“พวกเ้าช่างมีความกล้าเยี่ยงสุนัข” คุณชายสกุลกู้ก่นด่า
“นายท่าน?” จวิ้นอีมองไปที่กู้จวิ้นเฉิน อยู่ข้างนอกจวิ้นอีเรียกกู้จวิ้นเฉินว่า ‘นายท่าน’ เสมอ
“เตะลงไป” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“ขอรับ”
เท้าของจวิ้นอีนั้นไม่เบา แต่เขาได้ควบคุมน้ำหนักเท้าเอาไว้แล้ว เขาเตะคุณชายสกุลกู้กลิ้งลงไปจากบันได คาดว่าได้รับาเ็แน่นอน แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ผู้ติดตามคุณชายสกุลกู้เห็นการกระทำของกู้จวิ้นเฉินแล้วเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าก้าวขึ้นไปข้างหน้า ได้แต่เบิกตามองกู้จวิ้นเฉินและจวิ้นอีเดินขึ้นไป
“คุณชายขอรับ” เหล่าบ่าวรับใช้รีบเข้าไปประคองคุณชายสกุลกู้ขึ้นมา
คนจากชั้นอื่นๆ ของหอชมจันทร์เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ “นั่นคือ...ฉีอ๋องหรือ?” ฉินเยวี่ยปิงขมวดคิ้ว รู้สึกคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ยามปกติฉีอ๋องเป็คนใจเย็น นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นเขาทำเื่เช่นนี้ต่อสายตาผู้คนมากมาย
“ทำไมจะไม่ใช่ฉีอ๋องเล่า” คุณชายในอาภรณ์สีฟ้าอีกคนหนึ่งกล่าว
ฉินเยวี่ยปิงเป็หลานชายของเสนาบดีฉิน เสนาบดีฉินมีบุตรชายเพียงคนเดียวคือฉินทั่น ฉินทั่นมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโต ฉินเยวี่ยเหวิน ซื่อจื่อแห่งจวนเฉิงเอินโหวผู้มีความแค้นใหญ่คับฟ้า บุตรอนุก็คือฉินเยวี่ยปิง ตลอดมาไม่เคยได้รับความสนใจเอาใจใส่ อยู่ในสกุลฉินอย่างไร้ตัวตน และคุณชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเขามีท่าทางไม่ธรรมดา มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่ง่ายดายนัก
ฉินเยวี่ยปิงมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงปิดหน้าต่าง ทำเหมือนไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ “ระยะนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีแผนการ”
“แผนการอันใด?”
“ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับซีเป่ย” ฉินเยวี่ยปิงกล่าว
“สกุลฉินอยากแตะต้องกู้จวิ้นเฉินรึ?” คุณชายในอาภรณ์สีฟ้าขมวดคิ้ว “ซีเป่ยเกี่ยวพันกับกู้จวิ้นเฉิน แตะต้องซีเป่ยเท่ากับแตะต้องกู้จวิ้นเฉิน สกุลฉินแตะต้องกู้จวิ้นเฉินในเวลานี้ ไม่ได้เสียสติใช่หรือไม่?”
“ได้ยินมาว่าพิษของฉีอ๋องนั้นหมอเทวดาเมิ่งถอนพิษได้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้แพร่งพรายออกมา จวนฉีอ๋องคุ้มกันแ่า หูตานั้นได้แต่วางไว้ที่ประตูสาม” ฉินเยวี่ยปิงอธิบาย
คุณชายในอาภรณ์สีฟ้าหัวใจหดเกร็ง “หากพิษของกู้จวิ้นเฉินถอนได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นหากสกุลฉินจะตื่นตัวก็มีความเป็ไปได้อย่างมาก”
“ฝ่าามีพระโอรสสามพระองค์ เหตุไฉนทุกคนต่างกังวลว่าฝ่าาจะมอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้ฉีอ๋องเล่า?” ฉินเยวี่ยปิงไม่เข้าใจ
คุณชายในอาภรณ์สีฟ้ายิ้มเย็น “ผู้ใดจะรู้เล่า ใต้หล้านี้บิดาที่มีจิตใจลำเอียงนั้นมีมากมายนัก”
“แต่ฮองเฮาเพื่อฝ่าาแล้ว...”
“เขาเป็ฮ่องเต้ผู้สูงส่ง คนที่เสียสละชีวิตให้เขานั้นเป็เื่สมควรอยู่แล้ว” คุณชายในอาภรณ์สีฟ้าขัดจังหวะคำพูดของฉินเยวี่ยปิง “กู้จวิ้นเหว่ย (องค์ชายใหญ่) คิดจะแตะต้องกู้จวิ้นเฉิน เกรงว่าราชสำนักจะต้องวุ่นวายเสียแล้ว ขุนนางผู้จงรักภักดีที่ไท่จื่อเยี่ยนเหลือเอาไว้ล้วนเป็พวกไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ในสายตาของพวกเขามีเพียงกู้จวิ้นเฉินเท่านั้น แต่ทว่า ยิ่งวุ่นวายจึงจะยิ่งน่าสนใจ”
“ที่ท่านกล่าวมานั้นหมายถึง”
[1] คนจีนส่วนใหญ่มักจะนับรวมอายุเมื่อยามที่อยู่ในท้องแม่ไปด้วยเป็อายุครบ 1 ปี และจะมีอายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่จีนตามปฏิทินจันทรคติ ในที่นี้หมายถึงว่าฮ่องเต้มีอายุครบรอบ 40 ปี (นับั้แ่เกิด) แต่เวลานับอายุจริงเพื่อคิดคำนวณดวงชะตาปีเกิด หรือถือเคล็ดต่างๆ จะนับเป็มีอายุ 41 ปี (อายุร่างกาย)