สวีเทานำสุรามาฝากพ่อตาสองไห ภรรยาเขาเห็นดังนั้นก็เบ้ปาก “หัวหน้าหมู่บ้านเป็กันง่ายๆ ขนาดนั้นเลยหรือ? คิดว่าแค่สุราสองไหก็ซื้อใจท่านพ่อข้าได้แล้วหรือ?”
“ข้าก็แต่งงานกับเ้าแล้วไม่ใช่หรือไร? ยังจะเอา
กระไร
อีก?” สวีเทาอดทนต่อความสะอิดสะเอียน หากเป็ไปได้ เขาไม่อยากมองภรรยาตัวเองแม้แต่แวบเดียว
ทั้งอัปลักษณ์ทั้งอ้วน
“มีประโยชน์กระไร กว่าเ้าจะนอนกับข้าสักครั้งหนึ่งต้องนานเพียงใดก็ไม่รู้ แต่งกับเ้าไม่ต่างกับเป็ม่าย”
“หุบปาก!” กำนันตวาดเสียงทุ้ม ไอ๊หยา…เวรกรรมโดยแท้…เขามีบุตรสาวเช่นนี้ได้อย่างไร อยู่ต่อหน้าพ่อแท้ๆ ยังกล้าพูดจาปากไม่มีหูรูดเช่นนี้…
“วางใจเถิด ข้าส่งชื่อพ่อเ้าขึ้นไปแล้ว แต่หยาเหมินกำลังจะหยุดปีใหม่ ตอนนี้ไม่มีคนทำงาน ไว้เปิดปีใหม่แล้วข้าจะไปเร่งให้อีกที เื่ของบ้านลูกเขยก็คือเื่ของข้า ครั้งหน้าเ้ากลับไปบอกพ่อเ้าให้ไม่ต้องเป็ห่วง”
“เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านพ่อมากขอรับ!” สวีเทาประสานมือคำนับให้กำนันด้วยความเคารพ
วันที่ยี่สิบสาม เดือนสิบสอง วันไหว้เทพเ้าเตาไฟ
ทางบ่อนหยุดงานแล้วแต่กลับมาเปิดไวมาก วันที่สามเดือนหนึ่งก็เปิดแล้ว
หลินหวั่นชิวตื่นค่อนข้างเช้า เจียงหงหย่วนออกจากบ้านแต่เช้าเหมือนเคย ไม่รู้ไปทำกระไร แต่หลินหวั่นชิวไม่ถามเช่นกัน
นางทำโยคะบนเตียง เพราะหากออกไปวิ่งด้านนอกคงถูกมองเป็คนบ้า ด้วยเหตุนี้จึงเลือกวิธีออกกำลังจากยุคปัจจุบันที่ตัวเองคุ้นเคย…โยคะ
จังหวะที่เจียงหงหย่วนเดินเข้ามาจากด้านนอก หลินหวั่นชิวกำลังทำท่าแยกขาออกจากกัน
ขาทั้งสองเหยียดกางออก ร่างกายโค้งลงด้านล่าง ศีรษะนาบกับเตียง
ท่านี้ทำให้นางสบตากับเจียงหงหย่วนพอดี นางใส่ชุดโยคะรัดรูป ท่าที่ทำตอนนี้…
เป็เหมือนคำเชิญสำหรับชายฉกรรจ์
ชวนคิดไปทางทะลึ่ง
ภรรยาตัวน้อยแอบฝึกเพื่อเตรียมเข้าห้องหอหรือ?
เช่นนั้นเขาควรต้องฝึกแรงเอวแล้วหรือไม่?
มิเช่นนั้นหากภรรยาตัวน้อยทำท่าทำทางต่างๆ แต่ตัวเองตามไปไม่ได้จะไม่ขายหน้าหรือ?
หลินหวั่นชิวเห็นสายตาชายฉกรรจ์ค่อยๆ เหม่อลอยก็รู้ว่าตัวเองจะซวยแล้ว รู้ว่าเขาคิดไปทางสกปรกเป็แน่
นางรีบเปลี่ยนท่า แต่เนื่องจากเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจึงร่วงตกเตียง
เจียงหงหย่วนเข้ามารับนางไว้ในอ้อมอกอย่างรวดเร็ว สายตาเร่าร้อนของเขาเป็ประกาย
“อยากให้ข้ากอดก็พูดมา!” ชายฉกรรจ์พูดเสียงแหบ
หลินหวั่นชิว “…”
นางรู้อยู่แล้วเชียวว่าปากบุรุษผู้นี้พูดจาดีๆ ไม่ได้
“ฮะฮะ…” นอกจากสองคำนี้แล้วนางไม่มีกระไรจะพูดกับเขาอีก
ชายฉกรรจ์ฉวยโอกาสบีบก้อนเนื้อนุ่มนิ่มของนาง
หลินหวั่นชิวทำตาขวางใส่เขา นับวันบุรุษผู้นี้ยิ่งวางใจไม่ได้
“ปล่อยข้าลง ยังต้องทำตังเมอีก!”
หลินหวั่นชิวรู้ดีว่าตอนนี้ชายฉกรรจ์ไม่ต่างกระไรกับสัตว์ร้าย ไม่กล้าแหย่
แหย่ไม่ได้
เป็ครั้งแรกที่เจียงหงหย่วนไม่ลวนลามนางต่อ แม้หลินหวั่นชิวจะรู้สึกว่าร่างกายเขามีปฏิกิริยา แต่เขาก็ยอมวางนางลงบนเตียงแต่โดยดี คว้าเสื้อมาบังเป้ากางเกงตัวเองและเดินออกไป
“เชิญเ้าทำต่อเถิด”
ทั้งยังช่วยปิดประตูให้อย่างเอาใจใส่
ทำต่อบ้านน้องสาวเ้าน่ะสิ!
หลินหวั่นชิวโมโหเป็ฟืนเป็ไฟอยู่ในห้อง ชายฉกรรจ์ไปตัดฟืนในป่า เขาต้องปลดปล่อยพละกำลังออกไป มิเช่นนั้นไฟในร่างคงไม่อาจดับมอด
หึหึ…
ภรรยาตัวน้อยฝึกท่าไว้เยอะๆ ก็ดี ถึงเวลา…
เจียงหงหย่วนยิ่งคิดเช่นนี้ เืลมก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ผ่าฟืนจนหมดก็ยังทำให้พวกพ้องที่นูนพองสงบลงไม่ได้
เขาวางขวานลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อ สะพายธนูเดินผ่านป่าขึ้นไปบนูเา พาสุนัขสองตัวไปเดินเล่นด้วย
เจียงหงหย่วนไม่ได้เข้าไปลึกมาก ไปแค่พื้นที่รอบนอก จับไก่ป่ากระต่ายป่าสักสองสามตัวเป็พอ
มีวรยุทธก็ไม่ต้องกลัวอดตาย ดูอย่างตอนนี้ เพียงครู่เดียวก็ล่าสัตว์ได้หลายตัว
หลินหวั่นชิวทำใจในห้องสักพัก ทำโยคะต่อไม่ได้อีก ใจไม่สงบ แค่ทำท่าก็นึกถึงสายตาประหนึ่งจะจับตัวเองกินของเจียงหงหย่วน
นางออกจากห้องไปที่ครัว หงหนิงหงป๋อตื่นเช้ากว่านาง ตอนนี้ทั้งคู่ไม่อยู่บ้าน
หลินหวั่นชิวกินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมของทำตังเม
วันไหว้เทพเตาไฟต้องทำถั่วตัด ถั่วตัดอร่อยแต่ติดฟัน ชาวบ้านหวังว่าจะใช้น้ำตาลปิดปากเทพเตาไฟ เทพเตาไฟกลับขึ้น์แล้วจะได้ไม่เอาเื่ไม่ดีของที่บ้านไปรายงาน
แต่ก็มีคนบอกว่าเทพเตาไฟกินลูกอมหวานๆ แล้วจะได้พูดแต่คำหวานๆ เมื่อกลับขึ้น์ ครอบครัวตัวเองจะได้มีหน้ามีตาต่อหน้าเง็กเซียนฮ่องเต้เช่นกัน
หลินหวั่นชิวไม่เชื่อเื่พวกนี้อยู่แล้ว เพราะหากเป็เื่จริง เง็กเซียนฮ่องเต้คงได้เหนื่อยตายเป็ฯแน่
มีแรงและเวลามาฟังเทพเตาไฟบ่นเื่แต่ละบ้านมากขนาดนั้นที่ไหน
แต่ถึงจะไม่เชื่อ การทำพิธีไหว้เทพเตาไฟก็ต้องจริงจัง
อย่างไรเสียก็เป็ประเพณี จะอยู่ในสังคมก็ต้องทำตาม
อันที่จริงที่สำคัญที่สุดคือ…ได้กินของหวานแสนอร่อย
นางเคี่ยวน้ำตาลม่ายหยา[1]เตรียมไว้ก่อนแล้ว ชายฉกรรจ์ซื้อแม่พิมพ์กลับมาจากตำบลั้แ่เมื่อสองวันก่อน
นางให้ยายสวีจุดไฟ คั่วถั่วลิสงเสร็จก็ให้นำไปร่อนเปลือก ส่วนนางหันไปใส่น้ำมันลงในกระทะเล็กน้อย รอจนน้ำมันไหม้แล้วพักให้เย็นลง จากนั้นจึงใส่น้ำตาลม่ายหยากับน้ำตาลทรายขาวลงไปเคี่ยว เคี่ยวจนกลายเป็สีเหลืองทองจึงใส่ถั่วลิสง
จากนั้นอาศัย่ที่น้ำตาลยังร้อนมากดลงในแม่พิมพ์ นำไปพักให้เย็นที่ลานบ้าน
เท่านี้ขนมถั่วตัดก็เป็อันเสร็จ
นางหันไปทำขนมงาตัดต่อ ใส่งาลงไปคั่วในกระทะเปล่า โรยงาลงในแม่พิมพ์หนึ่งชั้น เทน้ำตาลม่ายหยาลงไป ตามด้วยโรยงา้าอีกหนึ่งชั้น ทำเสร็จแล้วนำไปผึ่งให้เย็นกลางลานบ้านเช่นกัน
เมื่อเจียงหงหย่วนล่ากระต่ายป่าไก่ป่าหนึ่งพวงและพาสุนัขสองตัวกลับมาถึงบ้าน หลินหวั่นชิวก็ทำขนมถั่วตัด ขนมงาตัด ขนมงาแท่ง ตังเม เสร็จหมดแล้ว
ภรรยาตัวน้อยหยุดงานที่กำลังทำเมื่อเห็นเขากลับมา วินาทีที่นางหันมายิ้มให้และเรียกเขาว่าหย่วนเกอ
เจียงหงหย่วนยินดีมอบทั้งชีวิตให้นาง
“หย่วนเกอ ท่านล่าสัตว์มาเยอะขนาดนี้เชียว…สุดยอดมาก!” บุรุษ้าคำชม ในเมื่อหลินหวั่นชิวชอบเจียงหงหย่วนก็ย่อมไม่ขี้เหนียวกับคำชมอยู่แล้ว
“ที่บ้านคนเยอะ” เจียงหงหย่วนพูดแล้วก็มอบสัตว์ที่ล่ามาได้ให้ยายสวี
ร้านค้าในอำเภอปิดหมด หลินหวั่นชิวขายสินค้าของเดือนสิบสองหมดก็ไม่ได้เติมเพิ่ม บ้านในอำเภอไม่มีคนอยู่เฝ้าจึงปิดประตูลงกลอน
เชิงอรรถ
[1] น้ำตาลม่ายหยา(麦芽糖) หมายถึง น้ำตาลข้าวมอลท์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้