ลั่วยวี่พลิ้วกายหลบหลีกอีกครั้ง เนื่องจากเขาไม่กล้าปะทะกับดาบของหลินเฟิงตรงๆ เพราะการผสมผสานของเจตจำนงดาบ เจตจำนงการต่อสู้ และเจตจำนงการทำลายล้าง ทำให้ทุกครั้งที่ดาบของหลินเฟิงฟันลงมา มันจะเต็มไปด้วยพลังอันเหี้ยมโหดและทรงพลังเป็อย่างมาก
หากถูกฟันด้วยดาบเล่มนี้ล่ะก็ จะต้องตายอย่างแน่นอน ลั่วยวี่เกิดนึกเสียใจในการกระทำของตนเองขึ้นมา เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 แล้วด้วยนิสัยของหลินเฟิงแล้ว หากเอ่ยคำว่าต่อสู้ก็ต้องสู้ และเดิมทีแล้วลั่วยวี่ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
“ตูม!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เป็ดาบของหลินเฟิงได้ฟาดฟันไปในอากาศและปลดปล่อยคลื่นดาบอันแข็งแกร่ง จนม้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลถูกฉีกออกเป็ชิ้นๆ ทำให้คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวนั้นต้องล้มลงกับพื้นและอ้าปากค้าง อย่างไรก็ตามเขากลับไม่อาจพูดอะไรกับหลินเฟิงได้แม้แต่น้อย
เมื่อครู่เขาเห็นท่าทางอวดดีของลั่วยวี่ อีกทั้งลั่วยวี่ยังโจมตีหลินเฟิงอย่างไม่เอาจริง ซึ่งถือว่าไม่ให้เกียรติหลินเฟิงแม้แต่น้อย ทางด้านหลินเฟิงนั้นนอกจากจะไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมาแล้ว เขาเพียงฟันดาบออกมา ทุกๆ ดาบที่ได้ฟาดฟันนั้นหมายถึงชีวิต เขากำลังทำให้ลั่วยวี่ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ต้องอับอาย หลินเฟิงจะสังหารลั่วยวี่จริงๆ
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จึงไม่มีใครกล้าคิดไปยั่วยุหลินเฟิงอีก เพราะไม่อยากรนหาที่ตาย
เจตจำนงแห่งดาบที่มีพลังทำลายล้างสูง ทำให้ไม่มีใครกล้ามาช่วยเหลือลั่วยวี่ ขณะนี้เจตจำนงการต่อสู้ที่ปล่อยออกมาจากร่างหลินเฟิงเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบด้วยสีหน้าเยือกเย็น ส่วนลั่วยวี่นั้นแม้กระทั่งโอกาสโจมตีก็ยังไม่มี
ตอนนี้ลั่วยวี่มีสีหน้าอึมครึม เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกหลินเฟิงเล่นงานได้เหี้ยมโหดขนาดนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย
“อ๊าก!!!”
ลั่วยวี่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ชุดคลุมพลิ้วไหวไปตามสายลม ร่างของเขาตอนนี้ได้ปลดปล่อยแรงโทสะอันบ้าคลั่งออกมา มันทั้งหนาวเหน็บและเยือกเย็น
“เ้าจะทำอะไร?”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินเสียงคำรามของอีกฝ่าย จึงถามด้วยน้ำเสียงอันเ็าและฟันดาบออกไปอีกครั้ง
จู่ๆ เจตจำนงดาบที่ทรงพลังได้หายไป ทำให้ลั่วยวี่นึกประหลาดใจ ก่อนที่ั์ตาของเขาจะได้ฉายแววยินดี หลินเฟิงกลับปลดปล่อยพลังที่รุนแรงกว่าเดิม อีกทั้งด้านหลังของเขาก็ได้ปรากฏเงาของจิติญญาขึ้นมา
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ จู่ๆ หัวใจของลั่วยวี่เริ่มเต้นระรัว ใจของเขาในตอนนี้เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น แม้หลินเฟิงจะไม่ปลดปล่อยอำนาจดาบออกมาแล้ว แต่พลังที่เขาเพิ่งแสดงออกมากลับดูอันตรายยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ก่อนที่เจตจำนงการต่อสู้เมื่อครู่จะสลายไปจนหมด ลั่วยวี่อาศัยจังหวะนี้ก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
“ฟึ่บ!!!”
ลั่วยวี่พลิ้วกายหลบคมดาบพ้น แต่เขาไม่สามารถหนีพ้นจากคลื่นดาบไปได้ คลื่นดาบของหลินเฟิงได้ฝากรอยเสื้อขาดและแผลยาวๆ บนหน้าอกเอาไว้ ช่างเป็าแที่น่าสยดสยอง
เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องตกตะลึง ช่างเป็ดาบที่เฉียบคมอย่างเหลือเชื่อ พลังของมันทั้งแข็งแกร่งและร้ายกาจมากเกินไป!
ลั่วยวี่ก้มศีรษะมองแผลบนหน้าอกของตัวเอง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็น่ากลัวมากกว่าเดิม
เขาเงยหน้าพลางจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงด้วยแววตาโกรธแค้น
ทว่าสายตาของหลินเฟิงกลับยังคงเยือกเย็ย เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าวและยกดาบขึ้น
“ข้าจะต้องสังหารเ้าด้วยน้ำมือของข้าเอง”
ลั่วยวี่ถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เขาหันหลังไป จากนั้นร่างของเขาก็กะพริบและกำลังจะหลบหนี
หลินเฟิงแค่นหัวเราะอย่างเ็าขณะพุ่งตัวไปพร้อมดาบในมือ และฟันดาบไปที่แผ่นหลังของลั่วยวี่อย่างไม่ปรานี
ลั่วยวี่ััได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงกำลังย่างกรายมาทางด้านหลัง เขากัดฟันแน่นขณะที่ร่างสั่นสะท้าน แต่ก็ยังคงสติรีบวิ่งหนีออกไปโดยไม่คำนึกถึงสิ่งใด
“เ้าสุนัขขี้ขลาดได้แต่คุยโม้โอ้อวด” หลินเฟิงไล่ตามไปอย่างไม่ลังเลขณะถือดาบไว้มั่น เขากล่าวต่อเสียงดังว่า “ไม่ใช่ว่าข้าคิดว่าเ้าเป็เฮยม่อ ในสายตาของข้า แม้กระทั่งเฮยม่อเ้าก็ไม่สามารถเทียบได้ จากนี้ไปเ้าอย่ามาเสนอหน้าให้ข้าเห็นอีก”
ลั่วยวี่ที่วิ่งไปไกลเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเฟิงแล้ว เขาก็กระอักเืออกมาคำหนึ่งเพราะถูกคลื่นดาบโจมตีอีกครั้ง อาการาเ็ของเขาสาหัสยิ่งกว่าเดิม แม้จะเป็เช่นนั้น แต่เขากลับไม่กล้าหยุดและวิ่งหนีต่อไป
หลังจากเงาของลั่วยวี่ได้ลับหายไป ในขณะนั้นผู้คนต่างจ้องมองหลินเฟิงอย่างตกตะลึง
ในวันนั้นหลินเฟิงได้รับคำท้าประลองจากเฮยม่อ เมื่อผู้คนไดยินดังนั้น พวกเขาต่างไม่คิดว่าหลินเฟิงจะเกือบสังหารเฮยม่อได้
แต่วันนี้ลั่วยวี่กลับทำตัวหยิ่งผยองยิ่งกว่าเดิม เขาได้เอ่ยดูิ่หลินเฟิงออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ถูกหลินเฟิงโจมตีจนได้รับาเ็สาหัส
เพียงแค่หนึ่งคน หนึ่งดาบที่กวัดแกว่ง ไม่ว่าลั่วยวี่จะหยิ่งยโสขนาดไหน นิสัยดังกล่าวก็ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้นแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงหวาดกลัวจนหนีไปเท่านั้น
หลังจากนั้นสองเดือนหลังจากประลองกับเฮยม่อเสร็จสิ้น ศิษย์สายขุนนางที่อยู่อันดับ 7 ของสำนักเทียนอี้ก็ได้พ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง
พร์ของหลินเฟิงนั้นช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!
หลินเฟิงเก็บดาบสีเงิน แล้วกลับขึ้นหลังม้าัและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ไปกันเถอะ”
เหล่าทหารเกราะเงินพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำสั่งดังนั้น เหล่าทหารก็ควบม้าออกไปทันที เพียงชั่วครู่พวกเขาก็หายไปจากสายตาของฝูงชน
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ที่น่าใเมื่อครู่ ยังคงตราตรึงในใจของผู้คน
บริเวณนอกประตูทิศเหนือของเมืองหลวงนั้นอ้างว้างปราศจากผู้คน ผืนดินล้วนถูกปกคลุมไปด้วยดินทราย
ประตูทิศเหนือนี้ไม่อนุญาตให้คนเข้าออก และปกติประตูบานนี้ก็ถูกปิดตลอดเวลา ต้องได้รับคำสั่งเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าออกได้
ทะเลทรายแห้งแล้งอันกว้างใหญ่นี้ มีกระโจมขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็จำนวนมาก กระโจมเหล่านี้เป็ค่ายของกองกำลังทหารที่ประจำการอยู่
ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากกระโจมออกไปประมาณ 100 เมตร นั่นก็คือลานฝึกอันกว้างใหญ่ ที่นี่ต่างมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน มีทั้งลูกหลานชนชั้นสูงในเครื่องแต่งกายอันหรูหรา และทหารที่สวมเกราะธรรมดาทั่วๆ ไป รวมไปถึงเหล่าทหารเกราะเงิน
ลูกหลานชนชั้นสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราส่วนใหญ่เป็ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ พวกเขาต่างมุ่งหน้าสู่ลานประลอง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้ และเส้นทางแห่งนักรบหลังจากนี้ของพวกเขามันจะเรียบง่ายมากกว่าเดิม
แน่นอนว่ามีคนมากมายต่างมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และกล้าเผชิญหน้ากับความเป็ตาย เรียนรู้จากประสบการณ์ที่โชกเืและเหี้ยมโหดในลานประลอง
“กุบกับ กุบกับ กุบกับ…”
ไกลออกไปได้มีเสียงเกือกม้าจนทำให้พื้นดินสั่นะเื ผู้คนที่อยู่ในลานฝึกล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจน
เศษดินทรายฟุ้งกระจายไปในอากาศ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีร่างเงามากมายปรากฏสู่สายตาของผู้คน พวกเขากำลังควบม้าวิ่งมาทางนี้
“มาแล้ว”
ั์ตาของผู้คนเป็ประกาย พวกเขาต่างจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่มาใหม่
ในเวลาเดียวกันมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าอัฒจันทร์ได้ลุกขึ้นยืน และเดินออกไปต้อนรับผู้ที่มาใหม่ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
หลังจากนั้นผู้ที่มาใหม่ลงจากหลังม้าและเดินมาทางชายหนุ่ม เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงทันทีเมื่อเห็นชายผู้นี้ ก่อนจะกล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าา”
“ลำบากเ้าแล้ว ขอบคุณที่มาถึงที่นี่”
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้กับเหล่าทหารที่เพิ่งมาถึง เขาโบกมือเป็สัญญาณให้พวกเขายืนขึ้น ทำให้เหล่าทหารต่างใอย่างมาก แต่ภายในใจนั้นกลับซาบซึ้ง
แม้องค์ชายจะเป็เชื้อพระวงศ์และมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ไม่ถือตัวเลยสักนิด อีกทั้งยังเป็คนเรียบง่าย แม้พวกเขาจะเป็ทหารที่มียศธรรมดาๆ แต่องค์ชายก็สุภาพกับพวกเขาอย่างมาก
“ฝ่าา”
ผู้คนจากสำนักเทียนอี้ต่างะโเรียกต้วนหวู่หยาอย่างเคารพนับถือ
ต้วนหวู่หยายิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้กับเหล่าผู้คน จากนั้นกล่าวว่า “ทุกท่านที่มาให้กำลังใจเหล่าทหารเสวี่ยเยว่ นั่นถือว่าเป็โชคดีสำหรับข้าแล้ว”
“ฝ่าาอย่าได้เกรงใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“มาๆ นั่งลงก่อน รอข้าเรียกชุมนุมเหล่าทหาร จากนั้นพวกเราก็จะไปกันสักที”
ต้วนหวู่หยากวักมือเรียกเหล่าทหารมานั่งอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงอย่างไรอัฒจันทร์ของลานฝึกก็มีแถวที่นั่งจัดเป็ระเบียบ คนจากสำนักเทียนอี้ที่มาถึงก็นั่งลงตรงฝั่งขวา
เมื่อผู้คนจากสำนักเทียนอี้นั่งลง ทันใดทุกคนพลันรู้สึกถึงสายตาอันแหลมคมที่จ้องมองพวกเขา จึงทำให้พวกเขาประหลาดใจและมองไปยังฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาเป็คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
ตอนนี้หลินเฟิงก็นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนจากสำนักเทียนอี้ เขาที่เพิ่งจะนั่งลงก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเอง เขาจึงอดชำเลืองมองกลับไปเล็กน้อยไม่ได้
ต้วนหาน เยว่เทียนเฉิน หลินเชียน และคนอื่นๆ อีกมากมายที่เขาคุ้นเคยดี
ที่ลานฝึกแห่งนี้ ไม่เพียงมีแต่เหล่าศิษย์ทหารของสำนักเทียนอี้ที่มาที่นี่เท่านั้น แต่ยังมีทั้งเหล่าชนชั้นสูงและสามัญชน พวกชนชั้นสูงสามารถผ่านการทดสอบจากลานฝึก และได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ ทำให้ตำแหน่งของตัวเองราบรื่นและก้าวหน้า ส่วนสามัญชนก็สามารถผ่านการทดสอบจากลานฝึกได้ เพียงแค่ชนะการต่อสู้ก็จะสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงแล้วยังได้รับเกียรติยศกลับไป
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเองได้อย่างชัดเจน สายตาที่จ้องมาไม่ใช่ของฝูงชนจากฝั่งตรงข้าม แต่เ้าของสายตานี้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงและยังนั่งข้างๆ ต้วนหวู่หยา
“ต้วนเทียนหลาง!”
เมื่อหลินเฟิงเห็นสายตาทิ่มแทงที่มาจากนายพลเกราะเงิน จึงทำให้ั์ตาของหลินเฟิงดูแข็งทื่อเล็กน้อย นายพลเกราะเงินผู้นี้ที่แท้ก็คือเทียนหลางอ๋อง
ต้วนเทียนหลางมีสถานะเป็ถึงท่านอ๋อง และเขาก็เป็ผู้บัญชาการของอาณาจักร และยังยกทัพออกปราบศัตรูอีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้