เมื่ออวิ๋นซีพูดจบก็เพิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านหลังของเสี้ยวเหวินตี้ยังมีคนจำนวนหนึ่งติดตามมา ไม่ว่าจะเป็เจิ้นหนานอ๋อง สามีของตน หรือาาจันทราเงินที่สวมหน้ากากไว้ ชั่วขณะนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่ร่างของาาจันทราเงิน แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นนางก็เบนสายตาไปทางอื่น
จวินเหยียนก้าวเข้ามาดูภาพวาดนี้ อดพูดไม่ได้ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า เ้ายังสามารถวาดภาพได้ดีเพียงนี้ วันหลังก็อย่าลืมวาดภาพสามีให้สักภาพนะ”
อวิ๋นซีกลอกตาใส่เขา “อยากวาด ท่านก็วาดเอาเอง ข้าไม่ยอมโง่งมไปกับท่านด้วยหรอก” บุรุษผู้นี้พออยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ย่อมไม่มีทางอยู่สงบๆ คนจักต้องอาศัยยามที่นางวาดภาพอยู่มาทำตัวเป็อันธพาลเป็แน่ อย่างไรเสีย นางก็มิใช่คนโง่ แน่นอนว่า รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ส่วนาาจันทราเงินที่ยืนอยู่เื้ัของเสี้ยวเหวินตี้กลับยังคงจดจ้องภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋นนั้นอยู่นานอย่างไม่อาจละสายตาออกไปได้ ในดวงตาเขาปรากฏร่องรอยของความไม่อยากเชื่อ เขาครุ่นคิดเพียงครู่ สุดท้ายสายตาคู่นั้นก็ตกลงบนร่างของอวิ๋นซี “ชายาหนิงอ๋อง ไม่คิดหรือว่าภาพภาพนี้ดูเรียบเกินไปหน่อย หากเพิ่มกลอนเข้าไปสักบทหนึ่งจะไม่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นหรือ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำชี้แนะนั้นก็ขบคิด ก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าาาจันทราเงินมีกลอนดีๆ บทใดหรือ”
าาจันทราเงินส่ายศีรษะ กล่าวตอบ “ผู้คนต่างกล่าวขานกันว่า หนานเย่านี้เป็แคว้นแห่งมารยาทและพิธีการ ส่วนคนบนหลงชวีหยวนนั้นล้วนแต่เป็บุรุษที่แข็งกร้าว ดังนั้น สำนวนเพลงกลอนอันใดนี้ล้วนไม่เชี่ยวชาญทั้งสิ้น เปิ่นหวางเพียงรู้สึกว่าภาพวาดนี้เหมือนจะขาดอะไรไปนิดหน่อย”
อวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้นมาเติมแต่งกลอนบทหนึ่งลงไปที่ด้านข้างของภาพวาด ‘จันทร์สีรุ้งสาดส่องเมฆาล่อง หัตถาอิงราวไม้เด็ดโบตั๋น หมึกน้ำแข็งร่ายระบำในเหมันต์ เงานารีโดดเดี่ยวไร้สุ้มเสียง’
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้อ่านกลอนบทนี้ ทั่วทั้งลานก็พากันเงียบสงัด ขณะที่อวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นก็รีบถามไถ่บุรุษข้างกายเสียงเบา “สามี กลอนบทนี้เขียนได้ไม่ดีใช่หรือไม่ ทุกคนถึงได้มีท่าทีใไปกันหมด ถ้ารู้ก่อน ข้าจะได้ไม่เขียนออกมา ขายหน้าแล้ว”
จวินเหยียนเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา ก่อนจะกล่าวตอบ “ใครบอกกันว่า ภรรยาข้าเขียนออกมาได้ไม่ดี กลอนบทนี้สะท้อนฉากสะท้อนอารมณ์ เขียนได้ดียิ่ง ภรรยาข้ายอดเยี่ยมมากจริงๆ ” พูดจบ เขาก็มองไปยังพระบิดาด้วยสายตาท้าทาย “เสด็จพ่อ ทรงคิดเห็นเป็ประการใดพ่ะย่ะค่ะ? ”
เสี้ยวเหวินตี้มองลูกชายที่มองมาทางตน มุมปากเขากระตุกขึ้นลง เ้าลูกชายคนนี้คิดจะหาเื่เขาอยู่ตลอด ไม่ว่าจะในยามใดก็ตาม เขาทำเพียงพยักหน้า จากนั้นพูดขึ้นว่า “ภาพดี กลอนดี คิดไม่ถึงว่าอาซีจะเป็สตรีมากความสามารถผู้หนึ่ง รู้ทั้งวิชาแพทย์ วิธีปลูกพืช มิหนำซ้ำยังสามารถวาดภาพแต่งกลอนได้ดีอีก อาซีช่างเป็สตรีมากความสามารถจริงๆ ”
อวิ๋นซีเหงื่อตก นางขอบอกตามตรงได้หรือไม่ แท้ที่จริงกลอนบทนี้ตัวนางไม่ได้แต่งขึ้นเอง ถึงกระนั้นนางก็ลืมไปแล้วว่า ผู้ใดเป็คนแต่ง เพราะนี่เป็โครงกลอนบทหนึ่งที่นางเคยเห็นบนอินเทอร์เน็ต คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเขียนขึ้นหลังจากที่ได้ดูภาพแม่นางน้อยศาลาโบตั๋น ส่วนนาง เพียงเพราะได้อ่านก็เกิดชื่นชอบ จึงได้คัดลอกออกมา
คัดลอกออกมา?
นางหันมองไปยังาาจันทราเงินอย่างกะทันหัน และก็เป็จริงดังคาด อีกฝ่ายกำลังพินิจพิจารณาตัวนางอยู่ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นผิดไปครึ่งจังหวะ แย่แล้ว! กลอนบทนี้เหมือนว่า ในกาลก่อนยามที่ได้ไปชมดอกโบตั๋นกับบิดามารดาเฉียวพร้อมด้วยพี่ใหญ่และพี่รอง นางก็เคยท่องออกมาต่อหน้าพวกเขา
ตอนนั้นพี่รองยังพูดว่า ตรงหน้านี้เห็นเพียงโบตั๋น ไม่เห็นแม่นางน้อยเลยสักคน จากนั้นก็จับตัวนางให้ไปหยุดอยู่กลางศาลา ก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่าอย่างชั่วร้าย “นี่สิถึงจะรับกับฉากที่อยู่ในกลอนของน้อง เ้าสามน้อย มา เด็ดโบตั๋นมาให้พี่ชายได้ชื่นชมสักดอกเถิด”
อวิ๋นซีสบประสานสายตาคู่นั้นของาาจันทราเงิน ชั่วขณะนั้นรู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก นางกัดริมฝีปากแล้วหันกายไปสนทนากับเสี้ยวเหวินตี้ต่อ
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ทราบว่าอวิ๋นซีกับเฉิงิฮุ่ยกำลังพนันกันอยู่ เขาจึงเข้าไปดูภาพป่าโบตั๋นที่เฉิงิฮุ่ยวาดบ้าง ก่อนจะพยักหน้าให้และเริ่มวิพากษ์ “ไม่เสียทีที่เป็คุณหนูตระกูลเฉิง โบตั๋นเหล่านี้วาดออกมาได้ไม่เลวจริงๆ แต่ น่าเสียดายที่จืดชืดไปหน่อย”
คำพูดของเสี้ยวเหวินตี้นับเป็การบอกกล่าวแก่ทุกคนอย่างชัดแจ้งว่า ผู้ชนะในครั้งนี้คือชายาหนิงอ๋องอวิ๋นซี ขณะเดียวกันเฉิงิฮุ่ยที่ได้ยินคำตอบนั้น ร่างทั้งร่างก็ผงะถอย แต่โชคยังดีที่สาวใช้ข้างกายเข้าช่วยประคองไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นคนคงได้ล้มตึงลงไปตามขั้นบันไดด้านหลังด้วยสภาพที่น่าอนาถ
นางกล้ำกลืนฝืนทน ก่อนจะกล่าวออกมา “ทักษะการวาดภาพของชายาหนิงอ๋องดีเยี่ยมยิ่งนักเพคะ ิฮุ่ยขอน้อมรับความพ่ายแพ้ด้วยความเต็มใจ ส่วนของรางวัล ไข่มุกดำพันปีนั้น ิฮุ่ยจะให้คนนำไปส่งให้ที่จวนหนิงอ๋องเพคะ”
อวิ๋นซีอมยิ้ม “ขอบคุณคุณหนูเฉิงมาก” พูดจบ นางก็มองไปยังบุรุษข้างกาย ในดวงตาแฝงแววยิ้ม “สินเดิมของหวานหว่านมีของดีเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็พยักหน้ารับ “หลายปีมานี้ ของดีๆ ที่เ้าได้พบเจอก็ล้วนเก็บไว้ให้นางทั้งสิ้น ทำให้เปิ่นหวางอดกังวลมิได้ว่า ยังไม่ทันถึงคราวที่นางจะออกเรือน สินเดิมที่เ้าเตรียมไว้ให้นางคงได้กองไว้จนเต็มคลังเป็แน่แท้” หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่อวิ๋นซีพบของดีของล้ำค่าก็ล้วนเก็บสะสมไว้ทั้งสิ้น ด้วยตั้งใจจะเริ่มเตรียมสินเดิมให้ลูกสาวของตนั้แ่ยังเด็ก เพราะเมื่อมีสินเดิมมาก วันหน้าที่ลูกต้องออกไปอยู่บ้านแม่สามีก็ย่อมจะยืดอกได้ด้วยความภาคภูมิ
แน่นอน เขาและภรรยาล้วนคิดเหมือนกัน พวกเขา้าให้หวานหว่านได้ตบแต่งให้คนที่ตนพึงใจ ส่วนสินเดิมนี้ก็ถือเป็เพียงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ภรรยาจะมอบให้บุตรสาว
ชายารัชทายาทสูดลมหายใจเข้าลึก พูดว่า “น้องสะใภ้รอง หยกอบอุ่นแดงโลหิตนั่น ข้าเองก็จะให้คนส่งไปให้เ้า”
ตอนที่าาจันทราเงินได้ยินคำว่า หยกอบอุ่นแดงโลหิต ก็ถึงกับอึ้งค้างไป เขาเงยหน้ามองอวิ๋นซีทันที และได้เห็นเพียงนางที่กำลังอมยิ้มพยักหน้า “ได้ ขอบคุณพี่สะใภ้”
หยกอบอุ่นแดงโลหิตถูกคน่ชิงไปจากมือนาง ในที่สุดตอนนี้นางก็สามารถนำกลับมาได้แล้ว สิ่งนี้เดิมทีเป็ของตระกูลเฉียว ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเป็อันขาด
าาจันทราเงินไม่ได้พลาดแววเปล่งประกายในดวงตาของอวิ๋นซี ไม่ได้พลาดกระทั่งความคุ้นชินในการจับพู่กันเขียนอักษรของนาง นั่นเป็ความคุ้นชินของน้องสาวเขา เฉียวอวิ๋นซี ส่วนโครงกลอนบทนั้นก็เป็ของน้องสาวเขา รวมถึงแม่นางน้อยศาลาโบตั๋นนั่นอีก
หวานหว่านเป็ลูกสาวของน้องสาวเขา เขาย่อมใส่ใจและเฝ้าดูการเติบโตของเด็กคนนั้นอยู่ตลอด แน่นอนย่อมรู้ว่า ภรรยาของจวินเหยียนผู้นี้ดีต่อหวานหว่านทุกอย่างคล้ายกับคนเป็ผู้ให้กำเนิดเองก็ไม่ปาน ตอนนั้นเขายังคิดว่าสตรีนางนี้นับว่าไม่เลวจริงๆ คนถึงกับเลี้ยงดู และรักใคร่ลูกสาวที่ผู้อื่นให้กำเนิดราวกับเป็ลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง
แต่ว่า ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างจะเป็ไปตามที่ตนคิดจริงๆ หรือ?
เพิ่งจะเข้าวังมา อวิ๋นซีก็สามารถเอาชนะการประลองเล็กๆ น้อยๆ จนได้ของดีมาถึงสองอย่าง ทำให้นางดีใจเป็อย่างมาก แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาสอดส่องของาาจันทราเงิน นางก็รู้สึกร้อนตัวจนต้องหลบเลี่ยง ทว่า สิ่งหนึ่งที่นางยังไม่รู้ก็คือ ในกลุ่มคนนี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่กำลังจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา...
งานเลี้ยงหรูหราที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้อวิ๋นซีเพิ่งเคยเข้าร่วมเป็ครั้งแรกนับแต่ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ เพราะผู้ที่เข้าร่วมยังมีราชทูตจากต่างแคว้น บางแคว้นก็ได้ส่งอัครเสนาบดีมาเป็ผู้แทน บ้างก็เป็องค์ชาย องค์หญิง หรือท่านอ๋อง
อีกทั้ง ในงานเลี้ยงครั้งนี้ อวิ๋นซีเองก็ได้เปิดหูเปิดตากับของขวัญที่บรรดาราชทูตนำมาถวาย ไม่ว่าจะเป็ชิ้นไหนก็ล้วนมีค่าควรเมือง ไม่มีชิ้นใดที่ไม่ล้ำค่า ด้วยเื่นี้ ทำให้เห็นได้ว่าหนานเย่าแข็งแกร่งเพียงใด
หลังจากที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง ระหว่างทางกลับ หวานหว่านก็พูดกับอวิ๋นซีว่า “เสด็จแม่ ข้าอยากจะไปเดินเล่น ข้าอยากจะไปกินของว่างตามข้างทาง...แม้ว่าของในวังจะดูสวยงาม แต่ไม่อิ่มท้องเลยสักนิด”
นางยังคงชอบอาหารที่มารดาเป็ผู้ทำให้ เพียงแต่ตอนนี้น้อยครั้งนักที่มารดาจะเข้าครัว
“ได้ แม่จะพาเ้าออกไปเที่ยวเล่น เ้าอยากกินสิ่งใด เราจะกินสิ่งนั้น” เมื่อนึกได้ว่า ั้แ่กลับมายังเมืองหลวง พวกนางก็มีเวลาให้ลูกน้อยนัก วันนี้จึงถือโอกาสที่ยังมีเวลา พานางไปเดินเล่นซื้อของ
เมื่อได้ยินคำตอบรับนั้น หวานหว่านก็ยิ้มแล้วเข้าไปสวมกอดคอนางพร้อมกับจุมพิตที่ข้างแก้ม “เสด็จแม่ ขอบคุณเพคะ ท่านเป็แม่แท้ๆ ของข้าจริงๆ ”