เวลาตลอดสามปีนั้นเสี่ยวจินได้กลายเป็ทิวทัศน์ที่ชินตาสำหรับสุสานซุนยัดเซนไปเสียแล้ว
แม้ว่าสามปีที่ผ่านมา มันจะถูกลมพัดตากแดดผ่าหมอกอาบฝน แต่เรือนขนสีทองของเสี่ยวจินก็ไม่ได้หลุดหายไปแม้แต่เส้นเดียวมันยังคงเปล่งประกายเหมือนในวันวาน เวลาสามปี สำหรับเสี่ยวจินที่มีอายุยาวนานนั้นมันไม่ได้ถือว่าเป็เวลาที่ยาวนัก แต่ปัญหาของมันก็คือ สามปีที่ผ่านมานี้บางทีมันก็มักจะถูกหญิงสาวสวมชุดดำลอบโจมตีอยู่บ่อยๆ
ถ้าหากว่าเสี่ยวจินไม่ได้มีความว่องไวราวกับลูกศรและเรือนขนสีทองที่ไม่อาจจะทำลายได้ง่ายๆ นี้ มันก็คงจะกลายเป็ “ยาวิเศษ” ของหญิงสาวสวมชุดดำไปนานแล้ว
ดังนั้นสามปีที่ผ่านมาเสี่ยวจินก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางการถูกลอบโจมตีอยู่บ่อยๆ แบบนี้ มันไม่ใช่อินทรีโง่ฝึกหัดที่เคยดึงดันอยู่กับหลีซีเอ๋อร์บนหน้าผาอย่างวันวานอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากว่าเป็เสี่ยวจินในวันนี้แล้วกลับไปในสถานการณ์นั้นอีกครั้ง มันก็คงจะฆ่าหลีซีเอ๋อร์ได้เพียงการขยับกรงเล็บ!
หญิงสาวสวมชุดดำไม่ปรากฏตัวออกมากว่าครึ่งปีแล้วไม่รู้ว่าเธอหายไปที่ไหน แต่เสี่ยวจินก็ไม่เคยลดความระมัดระวังของมันลงความมึนงงในสายตาของมันเริ่มหดหายไป ก่อนที่จะมีท่าทางของราชันขึ้นมาแทนทำให้นักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่กล้าที่จะถ่ายรูปของมันง่ายๆ แล้ว
เขาจงชานนั้นมีราชันอินทรีโบยบินประกายแสงสีทองสวยงดงาม สิ่งนี้ค่อยๆ กลายเป็สิ่งที่ใครๆ ต่างก็รู้กันไปทั่ว
ด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไปเรื่อยๆเสี่ยวจินนั้นยังคงเป็ดั่งเดิมเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่ชาญฉลาดต่างก็พากันทำของที่ระลึกเกี่ยวกับตัวมันออกมาวางขาย
มันค่อยๆกลายเป็รูปสลักในเื่เล่าขานของเหล่าคนจีนมากมาย
อินทรีศักดิ์สิทธิ์ที่คอยเฝ้าสุสานซุนยัดเซนเอาไว้ไม่เคยห่างตัวนี้ความจริงแล้ว มันกำลังรอคอยอะไรอยู่กันแน่?
เื่นี้ต่างถูกพูดคุยในอินเทอร์เน็ตมาเป็เวลากว่าสามปีแล้วคำตอบของผู้คนในอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมายหลากหลาย แต่แม้ว่าจะผ่านไปสามปีแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้รู้อยู่ดีว่า อินทรีทองตัวนี้ กำลังรอคอยอะไรอยู่ หรือแม้ว่าจะมีคนบางคนที่รู้ว่าเสี่ยวจินนั้นกำลังรออะไรอยู่ แต่พวกก็กลับทำตัวเป็ไม่ได้สนใจอะไร
อย่างเช่นนักปราชญ์ฮุยจู๋เ้าอาวาสแห่งวัดชิงเฉิง
่บ่ายของวันหนึ่งใน่ฤดูร้อน ฮุยจู๋รวบรวมสมาธิเพื่อที่จะเขียนอักษรเวทสามปีที่ผ่านไปนี้ เขามีวิชาเพิ่มขึ้นมากมาย
“ปัง” อักษรเวทใบนี้ผิดพลาดเสียแล้วกระดาษเวทลุกไหม้ขึ้นโดยไร้สาเหตุ อีกทั้งยังส่งเสียงะเิเล็กๆ ออกมาเขาทำแบบนี้เพื่อให้เ้าสำนักเสี่ยวอันดูเอาไว้เป็ตัวอย่าง ฮุยจู๋นั้นไม่รู้ว่าทำไมตัวเธอถึงหลุดมือไปได้
มันคืออักษรเวทที่เขาวาดมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วตัวสารแร่ก็เป็ของดีมีระดับพู่กันที่ใช้เขียนก็เป็พู่กันจากขนบริเวณหน้าผากของหมาเงินที่สืบทอดกันมาในตระกูลตัวกระดาษก็ใช้เนื้อไม้ที่ละเอียดในการทำ พวกของพื้นฐานทั่วไปเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย
เพราะแบบนั้น ก็คงมีเพียงเหตุผลเดียวแล้วนั่นก็คือ จิตใจของเขาไม่สงบ
ใช้ชีวิตมากว่าร้อยห้าสิบปีสิ่งที่สามารถทำให้จิตใจของเขาไม่สงบนิ่งได้นั้น ก็เหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้วครั้งนี้มันคืออะไรกันนะ?
เ้าสำนักเสี่ยวอันคิดขึ้นมาด้วยความสงสัยแม้ว่าความคิดแบบนี้อาจจะดูไร้ความเคารพไปเสียหน่อยแต่ว่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ดีเท่าเขา เพราะว่าตัวอย่างของฮุยจู๋นั้นล้มเหลวทำให้จิตใจของเสี่ยวอันเผลอหลุดลอยไปจนเผลอมองไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลินขึ้นมาโดยไร้เหตุผล จะว่าไปแล้ว ความจริงเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเื่นี้โดยตรงแต่เสี่ยวอันกลับรู้สึกยากที่จะรับได้ ทำให้ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้เขาไม่กล้าที่จะไปเหยียบคฤหาสน์แห่งนั้นอีกเลย
ฮุยจู๋เคยพูดเอาไว้ว่า การเป็เ้าสำนักนั้นเขาไม่จำเป็ที่จะต้องมีความสัมพันธ์อะไรแบบคนธรรมมากนัก
ความเห็นใจและความสงสาร ต่างก็คือสิ่งที่น่ากลัว
เสี่ยวอันนั้นไม่ได้ยอมรับมันเสียทีเดียวแต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร ตระกูลหลินนั้นเป็คนนอกแม้ว่าเสี่ยวอันจะรู้สึกไม่ดีนักกับความคิดของฮุยจู๋แต่ว่าเขาก็คงจะไม่โต้แย้งกับอาจารย์ที่เลี้ยงดูเขามา เพียงเพราะคนภายนอกหรอก
ความทรงจำที่เขามีต่อรุ่นพี่ตระกูลหลินนั้นน้อยเสียจนน่าเสียใจ
เขาเพียงรู้ว่าเสี่ยวลั่วตงนั้นเป็คนที่เธอช่วยเอาไว้แต่ครอบครัวหลินกลับดูแลราวกับเป็เืเนื้อเชื้อไขแท้ๆ
ในเวลาสามเดือนที่วัดชิงเฉิงได้มีร่วมกับตระกูลหลินสิ่งที่เขาได้ยินมาจากปากของผู้เป็แม่ เกี่ยวกับ “รุ่นพี่หลิน” นั้นก็ไม่ได้ชัดเจนนักเพียงแต่รู้ว่าเธอเป็คนอดทน และกตัญญูมาก
เขาได้พบกับ “รุ่นพี่หลิน” เป็ครั้งแรกเพราะต้องนำหนังสือไปให้ตามคำสั่งของอาจารย์ ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนพูดมากนักอีกทั้งรองเท้าของเธอยังเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน ตัวของเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่เสี่ยวอันกลับคิดว่า ในชีวิตของคนคนหนึ่งรุ่นพี่ที่เป็ผู้นำก็ควรจะเป็แบบนี้แหละ
หลังจากนั้น เขาก็ออกไปตามหาหญิงสาวสวมชุดดำรุ่นพี่หลินออกมาส่งเขาที่หน้าประตู...ในบ่ายวันนั้นความจริงแล้วหญิงสาวสวมชุดดำคุยกับอาจารย์อยู่เนิ่นนานแถมเขายังไปเสิร์ฟชาให้อยู่หลายครั้ง และมันต่างก็ดำเนินไปอย่างสงบแต่ว่าไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมาถึงเวลาเย็น ก็เริ่มต่อสู้กันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อาการาเ็ที่เขาได้รับในค่ำคืนนั้นถูกรักษาจนกลับมาหายดี ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็
แต่ว่าเสี่ยวอันกลับรู้สึกว่า ในใจของเขานั้นถูกเติมเต็มไปด้วยศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า “การทำให้เป็จริง” การที่จะเป็ผู้สืบทอดที่ดีพอนั้นจะต้องสามารถเข้าใจการทำสิ่งต่างๆ ให้เป็จริงขึ้นมาได้ แล้วมันคืออย่างไรกันล่ะ?
******
ในคฤหาสน์เขาเซียงชานในตัวเมืองที่ห่างไกลออกไปก็มีสถานการณ์ที่ต่างออกไปอีกแบบหนึ่ง
มันยังคงเป็กระท่อมหญ้าคาหลังเดิมที่หลินลั่วหรานเคยมาภายนอกของมันนั้นดูเหมือนเดิมไม่มีอะไรแปลกไปแต่ด้านในกลับไม่มีชายแก่สกุลกัวให้พบเห็นอีกแล้ว
มันคือ่บ่ายในหน้าร้อนของวันหนึ่งเช่นกันภาพของ “หลานที่เชื่อฟัง” ยังคงปรากฏให้เห็นเหมือนอย่างที่เป็อยู่บ่อยๆ
เวลาสามปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่ามู่เทียนหนานจะดูสงบนิ่งมากขึ้นแล้ว เมื่อนับอายุดูตอนนี้เขาก็อายุสามสิบกว่าแล้ว และไม่ใช่คุณชายร้อนรักเหมือนอย่างที่เคยเป็เขาเริ่มที่จะสืบสานธุรกิจสำคัญของตระกูลมู่ และในขณะเดียวกันความอยากที่จะฝึกศาสตร์ของเขา ก็มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรคุณปู่ตระกูลมู่ก็ยังไม่ยอมรับเขาง่ายๆ
ยิ่งเขาไม่ยอมรับเท่าไรความหนักแน่นในใจของมู่เทียนหนานก็มากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจทั้งที่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยจะสนใจเื่การฝึกศาสตร์เหล่านี้เลยดังนั้นถึงได้มอบโอกาสนี้ให้กับชายหกไป ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆเขาถึงได้อยากจะก้าวเข้ามายังการฝึกศาสตร์ที่แสนจะอยากลำบากนี้ หรือว่าบางทีในใจลึกๆของเขาอาจจะรู้ถึงสาเหตุ แต่เพราะความหยิ่งผยองในตัวของเขาจึงทำให้ไม่อาจจะยอมรับมันออกมาได้?
ความคิดในใจเขาก็เขานั้นไม่อาจจะหลุดรอดจากสายตาของผู้เป็ปู่ไปได้ แต่เขาก็ยังคงทำเป็ไม่รับรู้อะไร
“ได้ยินมาว่าแกซื้อคฤหาสน์ในเมืองหรงเฉิง?”
มู่เทียนหนานนิ่งไป เขาคิดว่าตัวเองปิดบังมันเอาไว้ดีแล้วแต่สุดท้ายก็ยังถูกปู่รู้เข้าอยู่ดี? ในหลายปีที่ผ่านมาทักษะการต่อสู้ของเขานั้นพัฒนาขึ้นมาก เขาไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ แต่กลับพูดบ่ายเบี่ยงเพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไป
ผู้เป็ปู่ถอนหายใจออกมาในใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะว่าเขาออกมา
มู่เทียนหนานนึกไปถึงสาเหตุที่แท้จริงก่อนที่จะลังเลอยู่สักพัก แล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดออกมาอยู่ดีเขาหมุนตัวและเดินลงจากเขามา คุณปู่ตระกูลมู่มองตามไปยังแผ่นหลังของเขาความกังวลในแววตาของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นิสัยถืออคติแบบนี้ ต้องทำอย่างไรกับมันดี?
มู่เทียนหนานขับรถออกมาจากคฤหาสน์เขาเซียงชานในระหว่างทางเขาก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งและมันก็ทำให้ความหงุดหงิดในใจของเขาเพิ่มมากขึ้นนี่เป็กลุ่มคนรับจ้างระดับประเทศกลุ่มที่เท่าไรแล้วนะ? แค่เขาจงชานเล็กๆ แค่นั้นก็หาไม่พบคนพวกนี้ก็เป็แค่พวกทหารที่ใช้การอะไรไม่ได้ก็เท่านั้นแหละ!
มู่เทียนหนานพยายามอดทนเอาไว้ครั้งหน้าเขาจะต้องกล้าพูดเื่นี้ออกไปกับปู่ของเขาให้ได้เขารู้ดีว่าตระกูลของเขามีผู้มีฝีมืออยู่มาก บางทีอาจจะทำอะไรได้บ้างก็ได้
ส่วนเื่ที่ไม่รู้ว่าหลินลั่วหรานตายไปแล้วหรือเปล่านั้นเขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าผู้หญิงโหดร้ายคนนั้นจะต้องถูกอะไรสักอย่างทำให้ติดอยู่ที่สถานที่สุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไปและกำลังรอคอยให้ใครสักคนเข้าไปช่วยเธออย่างแน่นอน...อินทรีของเธอตัวนั้นมันเองก็ไม่เคยออกห่างเขาจงชานเลยในตลอดสามปีที่ผ่านมา เธอจะต้องอยู่ที่นั่นแน่!
หลังจากที่มู่เทียนหนานออกมาคุณปู่ตระกูลมู่ก็ได้รับนกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่ง รอยพู่กันที่คุ้นตาเขามองเพียงหางตาก็สามารถรู้ได้ทันที
“พื้นฐานพลังธาตุดินเดี่ยวให้ท่านหรือเขารับไว้?”
ความจริงก็ยังมีประโยคที่แฝงเอาไว้อยู่อีกใช่ไหมล่ะถ้าหากว่าเขาทั้งสองต่างก็ไม่รับ ฮุยจู๋ก็คงจะรับเข้าไปที่สำนักด้วยตัวเองแล้ว
ใบหน้าชายชราปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองขึ้นมาสามปีแล้ว ฮุยจู๋เองก็คงจะรอจนร้อนรนแล้วเช่นกันการมองไปยังวัตถุดิบชั้นดีในบ้านหลินที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไรแต่กลับต้องอดทนไม่สนใจแบบนั้นก็คงจะเรียกได้ว่าเป็ความทรมานอย่างหนึ่งเช่นกันใช่ไหม?
แต่ว่าเวลาสามปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว “ผู้าุโระดับรวมพลัง”ในจินตนาการของพวกเขากลับไม่ปรากฏออกมาให้เห็นแม้แต่ร่องรอย หลายๆคนจึงพากันอดทนต่อไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าหากว่าอาจารย์ที่ช่วยชำระไขกระดูกให้เธอไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงั้แ่แรกแล้วมันคืออะไรกันแน่ ที่สามารถทำให้คนที่พื้นฐานพลังที่ผสมปนเปแบบนั้นใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็สามารถก้าวเข้าไปสู่ระดับฝึกลมปราณขั้นสมบูรณ์ได้แล้วแบบนั้น?
ของสิ่งนั้นคือของวิเศษจาก์ที่มีฤทธิ์ใช้ได้ครั้งเดียวหรือว่าเป็อาวุธวิเศษที่มีความสามารถคงอยู่ตลอดไปอีกทั้งยังมีความสามารถในการเปลี่ยนสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็สมบัติล้ำค่าขึ้นมาได้แม้แต่ในโลกที่เป็แบบนี้?
คนที่กุมความลับนี้เอาไว้ มีเพียงแค่เธอคนเดียวหรือว่าคนในครอบครัวของเธอต่างก็รู้กันหมด
ถ้าหากว่าพวกเขามีของแบบนี้...ชายชราส่ายหน้าสะบัดหัวไปมาความคิดแบบนี้ ยั่วยวนความหนักแน่นในใจมากเกินไป
เพียงแต่ถ้าสาวน้อยตระกูลหลินคนนั้นยังคงไร้ข่าวคราวแบบนี้สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับใจของพวกเขานั้น แค่เขากับชายแก่สกุลกัว คงใกล้ที่จะรับมันเอาไว้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
*****
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บของทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนบนยอดเขาเล็กที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรูเาโล้นนั้นเต็มไปด้วยช่องเขาสลับทับซ้อนกันมากมาย
หลิ่วเจิงที่กำลังค่อยๆพยายามตามหาเส้นทางการเป็เทพอยู่นั้น กลับรู้สึกว่า เขาได้พบกับ “เทพที่แท้จริง” เข้าแล้ว
ในสถานที่แบบนี้ แต่กลับมีวัดที่ผุพังอยู่เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกประหลาดใจมากพอแล้วแต่ด้านในนั้นกลับยังมีนักปราชญ์ที่ดูบ้าคลั่งอยู่อีกคน โดยรอบนั้นไร้ซึ่งวี่แววของผู้คนแล้วเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
สามปีที่ผ่านมานี้นายน้อยของบริษัทหลิ่วชื่อได้กลายมาเป็นักท่องเที่ยวด้วยตัวเอง อย่างที่คนอื่นชอบพูดกันแล้วเขารักที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปภายนอกละทิ้งการสืบทอดบริษัทั์ใหญ่อย่างหลิ่วชื่อไป ในสามร้อยหกสิบห้าวันของเวลาหนึ่งปีในสามร้อยวันเขาต่างก็อยู่ที่นอกบ้าน สะพายกระเป๋าปีนเขาอยู่ตลอดทั้งวันยอดเขาที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนนั้นดูเหมือนว่าเขาจะไปเยี่ยมเยือนมันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ลมพัดและแดดสาดจากโลกภายนอกไม่สบายไปกว่าการนั่งอยู่ในห้องแอร์อย่างแน่นอน และหลิ่วเจิงก็ไม่ได้มีขนสีทองปกคลุมกายอย่างเสี่ยวจินสามปีที่ผ่านมาเขาถูกแสงแดดเผาไหม้เสียจนผิวกลายเป็สีเข้มนอกจากแว่นตากรอบทองที่เป็สัญลักษณ์ประจำตัวของเขาแล้วแม้ว่าจะเป็คนสนิทที่มาพบเขาเข้าต่างก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถรู้ได้ว่าเขาคือนายน้อยหลิ่วในวันวาน
ในตอนที่หลิ่วเจิงมาถึงเขาลูกนี้เป็่ปลายปีที่สองหลังจากหลินลั่วหรานหายไป
เขามั่นใจว่าชายบ้าคลั่งคนนี้จะต้องมีอะไรพิเศษต่างออกไปจากผู้อื่นคนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่หนาวเหน็บแบบนี้ได้ ในทุกๆวันต่างก็ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เมื่อตกกลางคืนก็พักอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ทำขึ้นและไม่ได้เข้าไปอาศัยในตัววัดที่ผุพังแต่อย่างใด
แม้ว่าตระกูลหลิ่วจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ว่าการที่หลิ่วเจิงจะไปที่ไหน ก็ไม่มีใครในครอบครัวได้รับรู้และเขาก็ไม่้าให้ใครติดตามมา เพียงแค่ส่งข่าวกลับไปว่าปลอดภัยในทุกๆเดือนนั่นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นไม่ว่าหลิ่วเจิงจะมีเงินเท่าไร ในสถานที่แบบนี้เขาก็ยังคงต้องลงจากเขาไปด้วยตัวเอง เดินอยู่บนเส้นทางหลายลี้ก่อนจะเจอหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และพวกของกินได้หลังจากนั้นเขาก็ต้องเดินทางอีกหลายลี้เพื่อที่จะกลับไปเขาแบกข้าวของมากมายเอาไว้บนแผ่นหลัง พร้อมทั้งก้าวเดินขึ้นเขาไปอย่างยากลำบาก
เขาจะต้องปีนเขาแบบนี้ อาทิตย์ละราวๆ สองครั้งบ่าของหลิ่วเจิงเริ่มที่จะปรากฏรอยขึ้นมาตามแรงรัดของสายเชือก ก่อนที่จะมันจะค่อยๆกลายเป็รอยด้านขึ้นมาช้าๆ เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็สามารถแบกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นเขาได้อย่างสบายๆ แล้วแต่ชายนักปราชญ์เฒ่าคนนั้นก็ยังคงไม่สนใจเขาเหมือนอย่างเคย
แม้ว่าจะเป็คนที่เต็มไปด้วยความอดทนอย่างหลิ่วเจิงก็ยังไม่อาจจะอดแสดงความกังวลใจออกมา และมันก็ถูกชายนักปราชญ์ชราััขึ้นได้
“ทำไม ทนไม่ได้แล้วหรือ?”
“หืม...?”
แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาปีกว่าแล้วแต่นี่ก็เป็ครั้งแรกที่ชายชราพูดกับเขาในตอนนั้นเขายังไม่ทันจะตอบสนองกับมันได้อย่างเต็มที่ จนเมื่อเขาได้ยินชัดๆ แล้วก็พบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกตื้นตันใจอะไรมากมายขนาดนั้นแต่น้ำตากลับเอ่อคลอขึ้นมาที่ดวงตาของเขา
“เ้าอยากจะฝึกศาสตร์หรือ?”นักปราชญ์เฒ่าเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไป ก่อนที่จะดูปกติขึ้นมาและไม่ได้ดูบ้าคลั่งเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว
“ใช่ครับ ช่วยรับผมเอาไว้ด้วยเถอะ”หลิ่วเจิงนั่งลงคุกเข่าคำนับเหมือนอย่างโบราณทั้งดูทางการและจริงจัง
นักปราชญ์เฒ่าจ้องเข้ามาในแววตาของเขา “ทำไมเ้าจึงอยากฝึกศาสตร์ล่ะ?”
หัวของหลิ่วเจิงยังคงจรดอยู่ที่พื้นน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น เขาไม่ได้บอกว่า้าพลังอะไรหรือการมีชีวิตยาว เพียงแต่พูดความในใจของตัวเองออกมาเท่านั้น
“ผมเคารพผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็คนที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกศาสตร์...”
นักปราชญ์เฒ่ายกยิ้มขึ้นมา “อยากจะอยู่กับนางจึง้าฝึกศาสตร์อย่างนั้นหรือ?”
หลิ่วเจิงส่ายหน้าไปมา “ในใจของเธอไม่ได้มีผมอยู่ผมเองก็ไม่กล้าจะคิดอะไร เพียงแต่ตอนนี้ตัวเธอตกอยู่ในอันตรายและผมก็ไม่สามารถจะช่วยเธอได้...ดังนั้นจึงอยากจะฝึกศาสตร์ครับ”
หลังจากที่หลิ่วเจิงก้มหน้าคำนับแบบนั้นอยู่นานสุดท้ายนักปราชญ์เฒ่าก็ถอนหายใจออกมา “พื้นฐานพลังของเ้าไม่ได้ดีนักเส้นทางหลังจากนี้ต้องยากลำบากมากมาย แบบนั้นแล้ว เ้ายังอยากจะฝึกอยู่ไหม?”
เื่นี้นั้นไม่จำเป็ที่จะต้องพูดก็รู้กันอยู่แล้วหลิ่วเจิงดีใจขึ้นมา ก่อนที่จะคำนับลงพร้อมกับเรียก “อาจารย์” ออกมา
จะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ข้ามเขามากมายเป็พันลูกเพื่อที่จะตามหาชะตาเทพนี่ไม่ใช่หรืออย่างไรแล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องไม่เต็มใจรับมันด้วยล่ะ