หลิวจูเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนคั่งมองดูมือของตนถึงกับรีบเร่งลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาหลิวซุนซื่อ ยื่นมือไปพยุงนาง จากนั้นเอ่ยถามด้วยความโกรธเคือง “ท่านแม่ ท่านเจ็บหลังอีกแล้วหรือ รีบไปพักที่คั่งเร็วเข้า จริงๆ เลย ป้าสามช่างไร้น้ำใจ เห็นท่านแม่เป็ถึงเช่นนี้แต่ไม่ยื่นมือเข้าช่วย”
ในที่สุดหลิวซุนซื่อก็เคลื่อนตัวไปนั่งตรงข้างคั่งอย่างเชื่องช้า แล้วบอกให้หลิวจูเอ๋อร์พยุงให้เอนตัวลงบนผ้าห่มที่พับไว้
หลิวจูเอ๋อร์ช่วยนางจัดท่านั่ง แล้วรู้สึกเพียงว่าร่างกายนั้นแทบแหลกสลาย จากนั้นย้อนนึกถึงหลิวเสี่ยวหลันที่สวมชุดใหม่ที่ทำจากผ้าไหมหูโจวมายืนอวดตรงหน้านางอยู่นาน จึงหย่อนก้นลงบนคั่งอย่างเต็มแรง กำผ้าเช็ดหน้าเพื่อระบายความอัดอั้นบนใบหน้าที่อยากร้องไห้
ร่างกายของหลิวซุนซื่อเ็ปไปหมด เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของบุตรสาวที่รัก พลันเกิดความรำคาญใจยิ่งนัก เพียงแต่ท้ายที่สุดหลิวจูเอ๋อร์ก็คือลูกแท้ๆ ของนาง จึงด่าว่าไม่ลง
“ท่านแม่ เมื่อใดเราถึงกลับไปที่ตำบลได้ ข้าว่าท่านย่าถูกมารเข้าสิงแล้ว ถึงได้ทรมานข้ากับท่านแม่เช่นนี้”
หลิวจูเอ๋อร์ตกกระไดพลอยโจนไปด้วย หลิวฉีซื่อ้าทรมานหลิวซุนซื่อเป็หลักต่างหาก
หลิวซุนซื่อตอบอย่างใจร้อนว่า “ข้าจะไปรู้หรือ หลังจากพ่อเฮงซวยของเ้ากลับไปถึงตำบล ก็ลืมเราแม่ลูกเสียหมดสิ้น”
คําพูดของนางทําให้เกิดกระแสความแค้น ชิงชังหลิวเหรินกุ้ยที่หัวใจไม่แน่ไม่นอน
“ท่านแม่ เราไปทำอะไรให้ท่านย่าไม่พอใจกัน? ข้าเป็ถึงหลานสาวแท้ๆ ของนาง นางกลับทำกันได้ลงคอ ใช้งานข้าเยี่ยงทาส แล้วยังอาเล็ก เหตุใดถึงต้องวางมาดเป็ลูกคุณหนูอยู่ได้? พ่อเราก็หาเงินได้ไม่น้อยต่อปี แล้วยังมีผืนนาดีของท่านแม่ตั้งหลายไร่ เก็บค่าเช่าได้ไม่น้อย ข้าเห็นนางมองผู้อื่นพร้อมกับเชิดจมูกขึ้นฟ้า”
หลังจากที่หลิวจูเอ๋อร์และหลิวเสี่ยวหลันหักเหลี่ยมกัน ต่างก็มองอีกฝ่ายไม่เข้าตาเหมือนเดิม
“ย่าของเ้าหลงรักเงิน ปีนี้บ้านเรากับลุงใหญ่แบกข้าวสารกลับไปมากมาย แล้วยังมีเนื้อหมูเค็ม เนื้อปลาเค็มอีกครึ่งคันรถ คราวนี้นางรู้ว่าเราขายของไปให้โรงเตี๊ยม นางคงโมโหยกใหญ่ ่นี้ เ้าอย่าไปขวางหูขวางตาย่าของเ้าเชียว”
หลิวจูเอ๋อร์หายใจเข้าแล้วพยักหน้ารับปาก จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา แล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ เมื่อใดท่านย่าถึงจะหายโมโห? เรายังสามารถกลับตำบลได้หรือไม่?”
ไม่เพียงแต่หลิวจูเอ๋อร์ที่กังวลเกี่ยวกับการกลับไปที่ตำบล หลิวซุนซื่อเองก็เฝ้านึกถึง นางนึกถึงบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่เพิ่งได้รับมา มันยังไม่ทันได้ตกแต่ง แต่ก็คิดว่าปล่อยให้ว่างไว้ก่อนเป็การดี เพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้น เมื่อเข้าไปอยู่จะได้ร่มรื่นเป็สุข
“หากไม่ได้จริง เราก็แอบส่งข่าวให้พ่อของเ้า” หลิวซุนซื่อถูกหลิวฉีซื่อทรมานหลายวันจนหลังตรงไม่ได้ จึงเกิดความชิงชังนานมากแล้ว
“แอบส่งข่าวอย่างไรหรือ? ยายกับลุงก็ไม่มาเยี่ยมพวกเรา” หลิวจูเอ๋อร์คิดไม่ตก เหตุใดลุงที่เอ็นดูนางกับแม่ถึงไม่มาเยี่ยมพวกนาง
หลิวซุนซื่อเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดาและพี่ชายของตน
นางนึกถึงจดหมายจากแม่ ก่อนหน้านี้ที่บอกให้นางพาหลิวจูเอ๋อร์กลับไปพักที่บ้าน แต่กลับถูกหลิวฉีซื่อดักทางไว้ก่อน
“ท้ายที่สุดแล้วแม่ก็ออกเรือนมาแล้ว หากว่าท่านย่าของเ้าบอกกับท่านยายของเ้าว่า ในบ้านยุ่งเสียจนไปไหนไม่ได้ ท่านยายของเ้าเองก็คงยากที่จะเอ่ยปาก”
ในความเป็จริง การคาดเดาของหลิวซุนซื่อนั้นถูกต้องเพียงครึ่งหนึ่ง หลิวฉีซื่อบอกว่า่เวลานั้นงานเกษตรค่อนข้างยุ่ง ในบ้านขาดแคลนคนช่วยงาน จึงขอให้หลิวซุนซื่อทำงานที่บ้านชั่วคราว รอจนผ่านพ้นไป นางจะให้รถเข็นวัวมาส่งพวกนางไปเอง
ตระกูลซุนเองก็มีที่นาผืนดีบ้างเหมือนกัน ท่านพ่อกับพี่ชายของนางก็ยุ่งกับงานไร่นา อีกทั้งยังต้องยุ่งกับการเชือดหมูขาย จึงหาเวลาว่างไม่ได้เช่นกัน
“ท่านแม่ ตอนนี้เป็่งานไร่นาว่างแล้ว ลุงกับท่านปู่ก็ไม่ต้องดำนา เราแอบท่านย่าแล้วให้คนส่งจดหมายไปดีหรือไม่?” หลิวจูเอ๋อร์้าไปที่บ้านตระกูลซุนจากใจจริงและไม่้าอยู่ที่บ้านตระกูลหลิวแม้แต่นิดเดียว
หลิวซุนซื่อฟังคําพูดของนางแล้วก็นึกหวั่นไหวเช่นกัน นางคิดว่าคงถึงเวลาแล้ว
พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปอีกหลายวัน ตอนนี้คือกลางเดือนพฤษภาคม
จู่ๆ ซุนต้าเตาซึ่งเป็พี่ชายของหลิวซุนซื่อก็หิ้วขาหมูหนึ่งคู่มายังบ้านตระกูลหลิวอย่างกะทันหัน
“น้องสาว น้องสาว ออกมาเร็วเข้า พี่มาเยี่ยมเ้าแล้ว”
เดิมทีซุนต้าเตาเป็นักฆ่าหมู เกิดมาพร้อมกับร่างกายกำยำดุจสัตว์ป่า เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวบ้านก็ะโเสียงดัง
หลิวจูเอ๋อร์ซึ่งเดิมนั่งอยู่บนบันไดหน้าบ้านกำลังสับอาหารหมู เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็รีบวางมีดหั่นผักในมือลง จากนั้นพุ่งไปหาเขา “ท่านลุง ฮือๆ ในที่สุดท่านก็มา”
ซุนต้าเตายืนอึ้งอยู่ในลานบ้านสักพัก เมื่อเห็นคนออกมา หัวใจก็เจ็บแปลบ หลานสาวที่น่าทะนุถนอมของเขาหายไปไหนแล้ว?
“จูเอ๋อร์?”
ผ่านไปสักพัก เขาถึงเอ่ยเรียกอย่างไม่แน่ใจ
ใครก็ได้บอกเขาที แม่สาวน้อยที่ผิวพรรณผุดผ่องนวลเนียนดุจหยกหายไปไหนแล้ว แล้วแม่สาวน้อยที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวมีแต่กลิ่นมูลสุกร ทั้งสกปรกมอมแมม สวมเสื้อผ้าเก่าและขาดที่ไม่พอดีตัวนี่คือหลานสาวของเขาจริงหรือ?
ซุนต้าเตารู้สึกราวกับตัวเองถูกฟ้าผ่า
“มานี่ บอกลุงเร็ว ใครรังแกเ้า? มารดาเถอะ คอยดู ข้าจะจับมันหั่นเป็ชิ้นๆ ให้ได้ บังอาจรังแกหลานสาวของข้า”
ซุนต้าเตาเป็คนเชือดหมู เดิมทีก็ห้าวหาญกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ในแต่ละวันมีดในมือต้องเปลี่ยนจากสีขาวเป็สีแดงเพราะเชือดหมู ทั้งตัวจึงแผ่กลิ่นอายของความอันธพาลออกมา
ขณะนี้เขายืนพูดอยู่ตรงลานบ้าน แต่เพียงแค่กระทืบเท้า ยังไม่ต้องเปล่งเสียงก็ทำเอาคนตกอกใได้แล้ว
หลิวชิวเซียงแอบหมอบอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก เห็นว่าลานบ้านค่อนข้างเงียบ ไม่มีผู้ใดออกมาส่งเสียงตอบรับ
นางกระซิบกับหลิวเต้าเซียงว่า “น้องรอง ได้ยินมาว่าซุนต้าเตาคือคนโหดร้าย สามารถใช้มีดเชือดหมูมาฟันคนได้โดยไม่เอ่ยคำพูดแม้แต่คำเดียว”
ฟังออกไม่ยากว่าเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงเหลือบมองซุนต้าเตาที่ดูเหมือนก้อนเนื้อเดินได้ ช่างเหมาะกับชื่อของเขาเสียจริง
จากนั้นเอื้อมมือออกไปจับมือของหลิวชิวเซียงเบาๆ แล้วพูดอย่างใจเย็น “ไม่ต้องสนใจเขา เราอุ้มชุนเซียงไปนอนด้านหลังกัน อย่าทำให้นางตื่น ไม่อย่างนั้นจะงอแงอีกนานแล้วดึงดูดคนด้านนอกเข้ามา”
ท่าทีของหลิวเต้าเซียงนั้นชัดเจนว่าพวกนางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
เพราะถึงอย่างไร หลิวฉีซื่อก็เป็ผู้ทรมานหลิวซุนซื่อ ทั้งสองครอบครัวอยากทะเลาะกันอย่างไรก็ปล่อยให้ทะเลาะไป
“ท่านพี่ พวกเรายังผอมแห้งแรงน้อย อย่าได้ไปร่วมวงเลย”
ขวัญของหลิวชิวเซียงนั้นขึ้นไปแขวนอยู่กลางอากาศั้แ่ซุนต้าเตาตะคอกเสียงดังแล้ว ด้วยเหตุนี้หลิวเต้าเซียงจึงเสนอให้อุ้มหลิวชุนเซียงไปนอนด้านหลัง
นางจึงรีบทำตาม ไม่้าอยู่ดูความคึกคักตรงหน้าต่างต่อ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าที่ราวกับเคลือบน้ำมันเพื่อความเป็มงคล
เมื่อหันกลับไปเห็นหลิวเต้าเซียงยังคงฟุบอยู่ตรงนั้น จึงคิดในใจว่า น้องรองของตนช่างกล้าหาญเหลือเกิน
หลิวเต้าเซียงเห็นซุนต้าเตาคํารามหลายครั้ง แต่ในลานบ้านกลับไม่มีผู้ใดแยแส เขาจึงยืนด่ากราดอยู่ตรงนั้นพร้อมกับดวงตาที่ถลึงออกมาจนเห็นเส้นเืฝอย “ไข่เต่าของมารดามันเถอะ ขี้ขลาดเหลือเกิน! คนในตระกูลหลิวตายไปหมดแล้วหรืออย่างไร เห็นข้าออกมาแล้วยังไม่ออกมาต้อนรับ พวกไม่ได้เื่!”
หลิวจูเอ๋อร์รีบเกาะแกะลุงพร้อมกับอ้อน “ท่านลุง เราเข้าไปนั่งในบ้านก่อน ท่านปู่กับท่านอาสามออกไปสวนแล้ว ท่านย่าไม่อยู่บ้าน ท่านแม่ไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ อีกสักเดี๋ยวคงกลับมา”
“อะไรนะ แม่ของเ้ายังต้องไปซักเสื้อผ้า พวกบรรพบุรุษตระกูลหลิว มารดามันเถิด บ้านตระกูลซุนของเราไม่เคยต้องมารับความตรากตรำเช่นนี้ เมื่อตอนแม่ของเ้าแต่งเข้ามา เราคุยกันไว้ดิบดีว่าให้ปฏิบัติราวกับฮูหยิน ท่านย่าของเ้าตอนนั้นยังตบหน้าอกแล้วบอกว่า ในบ้านมีคนให้ใช้งาน ไม่ต้องให้แม่ของเ้าแตะน้ำแม้แต่ลิตรเดียว ดูสิว่า ไม่เพียงแค่แม่ของเ้า หลานสาวผู้น่าสงสารของข้าก็ถูกทรมานจนถึงขั้นนี้”
“ท่านลุง ท่านย่าน่ะสิ เอาแต่ทรมานข้ากับท่านแม่” หลิวจูเอ๋อร์เห็นว่ามีคนให้ท้าย จึงรีบโอดครวญในชั่วขณะนั้น บีบน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า
ซุนต้าเตาเห็นหลานสาวที่ล้ำค่าของตนร้องไห้ ก็รีบใช้มือหยาบกร้านเช็ดน้ำตาให้นาง
“จูเอ๋อร์เด็กดี ไม่ร้องนะ เ้าทนทุกข์อะไรมาบ้าง ได้โปรดบอกกับลุง วันนี้ลุงยังไม่ไปไหน จะต้องปะทะกับคนตระกูลหลิวสักหน่อยเพื่อระบายความอัดอั้นของพวกเ้าให้จงได้”
การที่ซุนต้าเตารักใคร่เอ็นดูหลิวจูเอ๋อร์เพียงนี้ สาเหตุเพราะว่าภรรยาของเขาให้กำเนิดบุตรชายออกมาสี่คนต่อเนื่อง แต่กลับไม่ให้กำเนิดบุตรสาวให้เขาสักคน เขาจึงอิจฉาบ้านที่มีบุตรสาวยิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอย เฝ้าขอพรดวงดาวและดวงจันทร์ สุดท้ายจวบจนภรรยาของตนไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีกต่อไป จึงไม่สามารถมีบุตรสาวได้ อีกทั้งในหนึ่งปีเขาสามารถหาเงินได้หลายสิบตำลึง จึงสามารถใช้จ่ายได้คล่องมือ นอกจากนี้หลิวจูเอ๋อร์ยังเป็เด็กปากหวานอีกด้วย เขาจึงรักใคร่เอ็นดูนางประหนึ่งบุตรสาวของตนเอง
หลิวจูเอ๋อร์มีคนให้ท้ายก็ร้องไห้อย่างไม่หยุดหย่อน นางแทบอยากจะระบายความตรากตรำที่ผ่านมาใน่นี้ออกมาให้หมดในคราวเดียว
ซุนต้าเตาเกลี้ยกล่อมอยู่พักหนึ่ง เขาบอกเพียงว่ารอจนจบเื่แล้วจะพานางกับแม่กลับบ้านเกิดไป แล้วยังบอกว่าจะซื้อเครื่องประดับให้นางอีกด้วย
นี่ทําให้หลิวจูเอ๋อร์ที่กำลังน้ำมูกไหลเยิ้มถึงกับหัวเราะออกมา
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าไม่มีอะไรให้ดูแล้วจึงหันไปทางที่กั้นไม้ไผ่ แล้วไปหยอกหลิวชุนเซียงเล่นพร้อมกับหลิวชิวเซียง
ไม่นานนัก หลิวซุนซื่อก็หอบตะกร้าเสื้อผ้าที่ซักเสร็จกลับมา เมื่อเข้ามาแล้วเห็นว่าหลิวฉีซื่อไม่อยู่บ้าน ก็ปริปากด่ามารดา ด่าไปด้วยพร้อมกับตากเสื้อผ้าไปด้วย ไม่ตากก็ไม่ได้ หากว่าหลิวฉีซื่อเห็นว่าเสื้อผ้ายังไม่ได้ตากเรียบร้อยคงต้องด่าอีกเป็แน่
ซุนต้าเตาอยู่ในบ้านจึงถามหลิวจูเอ๋อร์ว่าวันนี้เป็วันอะไร ประจวบเหมาะกับที่ได้ยินหลิวซุนซื่อด่า เขาจึงรีบร้อนเดินออกมาจากห้องปีกทิศตะวันออก แล้วเปล่งหลอดเสียงะโไปทางลานบ้าน “เถาฮัว ยังตากเสื้อผ้าอยู่อีก รีบมานี่ มาหาพี่ชาย”
หลิวซุนซื่อได้ยินคําพูดนั้นแล้ว ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบแก้ม ท่าทางนั้นช่างน่าเวทนา
“ท่านพี่ ฮือๆ นางเฒ่าไม่ตายดีนั่นรังแกข้า”
ซุนต้าเตาเห็นว่าน้องสาวของตนที่ประคบประหงมมาอย่างดีถูกคนทรมานจนไม่เหลือสภาพความเป็คน เขาก็ยิ่งเกลียดชังคนตระกูลหลิวนักแล ทั้งสงสารนางจับใจ แต่ก็โมโหที่นางไม่เข้มแข็ง จึงด่า “เ้าจะกลัวอะไร ก็แค่นางผู้หญิงไม่กี่คน นางจะจับเ้ากินหรืออย่างไร? ดูท่าทางขี้ขลาดของเ้า ท่านแม่สอนเ้าว่าอย่างไร ผู้ใดกัดเ้าหนึ่งครั้ง ก็ให้เ้ากัดตอบสองครั้ง”
สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงและหลิวชิวเซียงแอบย่องมาฟังใต้หน้าต่าง นางได้ยินดังนั้นก็มีความสุข “ท่านพี่ เราจะหัดเื่เช่นนี้ไม่ได้ ต้องใช้คุณธรรมปราบคน”
หลิวชิวเซียงพยักหน้าอย่างมีความสุข แต่ในใจกลับคิดว่า ใช้คุณธรรมปราบคนหรือ? เท่ากับว่าการคิดร้ายไม่อาจทำให้คนตายได้ น้องรองของนางเป็คนที่จู่โจมโดยใช้เพียงคำพูด ไม่ได้ลงมือจริงๆ
“ข้ากลัวว่าซุนต้าเตาคนนี้คงไม่ยอมกลับไปวันนี้แน่ เดาว่าอีกเดี๋ยวที่บ้านคงคึกคักอย่างแน่นอน” หลิวชิวเซียงเอ่ย
หลิวเต้าเซียงเบะปากอย่างดูแคลน “กลัวอะไร เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะถึงอย่างไร คนที่ทรมานพวกนางสองคนก็คือท่านย่า”
แม้ว่านางอาจคาดไม่ถึงว่าซุนต้าเตาผู้นี้เป็พวกที่ไม่ปริปากแต่ลงมือเลย แต่เื่นี้เกี่ยวอะไรกับนางหรือ? ถึงตอนนั้นผู้ที่ต้องรับกรรมก็คือหลิวฉีซื่อเองต่างหาก
นอกจากนี้ ฟากของหลิวซุนซื่อก็โอดครวญกับซุนต้าเตาว่ามีความเคียดแค้นชิงชังต่อหลิวฉีซื่อที่ทรมานนางกับหลิวจูเอ๋อร์อย่างไรบ้าง
“ข้าว่ายายเฒ่าคงต้องบ้าคลั่งไปแล้วเป็แน่ เห็นผู้ใดก็ต้องกัด”
หลิวจูเอ๋อร์กลัวว่าซุนต้าเตาจะไม่เชื่อ จึงพูดว่า “ท่านแม่จะพาข้ากลับไปยังตำบล แต่นางกลับไม่ยอมให้ท่านแม่ส่งจดหมายให้ท่านพ่อ”
-----
