หลิวซานกุ้ยไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ผิดปกตินัก ั้แ่สมัยโบราณกาล ความกตัญญูกตเวทีย่อมต้องมาก่อนเสมอ!
เขาจึงพยักหน้ารับ ขอเพียงเขายังอยู่ที่หมู่บ้าน ขอเพียงหลิวต้าฟู่เรียกหา เขาต้องตอบรับอย่างแน่นอน!
หลิวต้าฟู่เข้าใจว่าหลิวซานกุ้ยจะไม่มีทางออกไปจากหมู่บ้านสามสิบลี้แม้วันตาย คนที่เหลือก็เข้าใจว่าเขาตัดสินใจจะแก่ตายอยู่ที่นี่เช่นกัน
มีเพียงหลิวซานกุ้ยเท่านั้นที่เข้าใจว่าตนเองเพียงแค่้ากางปีกโบยบิน!
หลังจากแยกบ้าน บิดามารดาก็ไม่มีเหตุผลที่จะมัดมือมัดเท้าของเขาไว้อีกต่อไป
ในวันนี้หลิวฉีซื่อพอใจกับทัศนคติของหลิวซานกุ้ยเป็อย่างมาก น้ำเสียงของนางจึงนุ่มนวลขึ้นมาก
“ซานกุ้ย เ้าเองก็รู้ว่าครอบครัวเรามีทรัพย์สินมากแค่ไหน แต่แม่เอ็นดูน้องสาวและน้องสี่ของเ้า อีกทั้งเรายังคงต้องเก็บทุ่งนาไว้ยามแก่เฒ่า เพราะพวกเ้าสามคนต่างก็มีครอบครัวแล้ว แม่คิดว่าที่ดินแห้งสิบไร่และที่นาดีห้าไร่จะเก็บไว้ให้หลันเอ๋อร์สำหรับที่จะแต่งงานในอนาคต ที่นาดีอีกยี่สิบห้าไร่ที่เหลือเราจัดสรรไว้ใช้ยามแก่เฒ่าสิบไร่ ครึ่งหนึ่งเอาไว้ให้น้องสี่เ้า ที่เหลืออีกสิบห้าไร่ เดิมทีคิดว่าอยากแบ่งให้เ้าหลายไร่ แต่ว่าเ้ายังอยู่ที่หมู่บ้าน แล้วยังมีที่พักอาศัย ข้ากับพ่อเ้าจึงปรึกษากันว่า จะยกบ้านของท่านปู่ท่านย่าให้เ้า ที่ดินสิบห้าไร่แบ่งออกมาหนึ่งไร่ และแบ่งอีกหนึ่งไร่จากสิบไร่ของพ่อแม่ให้เ้า นอกจากนี้ก็ให้เงินเ้าไว้ใช้จ่ายส่วนตัวอีกสองตำลึง เ้าว่าอย่างไรบ้าง?”
“ลูกชายไม่มีอะไรคัดค้าน” เขามีแต่ความทรงจำที่ดีกับบ้านของปู่ย่า
หากได้มาอยู่ในมือเขา เขารู้สึกยินดีที่จะรับมัน ถึงแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะไม่ได้มีมูลค่าอะไร
ทั้งที่รู้ว่าตนเองเสียเปรียบมากมาย แต่เขาก็ยินดี เพราะไม่้าทำให้เื่บานปลาย แค่้าแยกครอบครัวของตนออกไปอย่างเร็วที่สุด
หลิวฉีซื่อไม่ได้พูดถึงเื่ที่ตนเองซื้อบ้านพร้อมที่นาไว้ ส่วนหลิวต้าฟู่ก็ถูกนางปิดปากไว้โดยการยกเื่การแบ่งที่ให้หลิวซานกุ้ยเพิ่มขึ้นหนึ่งไร่
ทั้งครอบครัวหลิวซานกุ้ยมีห้าคนได้รับแบ่งไปสองไร่ ก็น่าจะเพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว!
เพียงแค่นี้หรือ!
หลิวต้าฟู่กลับรู้สึกว่าการปฏิบัติของหลิวฉีซื่อต่อบุตรชายคนที่สามนั้นใช้ได้มากแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นปล่อยให้เขาออกจากบ้านตัวเปล่า
ส่วนเื่ที่ว่าจะมีเงินใช้หรือไม่?
หลิวฉีซื่อกล่าวว่าหลิวซานกุ้ยเป็ชีวิตที่ไม่มีลูกชาย แบ่งที่นาให้มากเกินไปจะเป็การไม่ดี และคนอาจจับตามอง!
หลิวต้าฟู่เห็นว่านางพูดมีเหตุผล ในยุคสมัยนี้บ้านที่ไม่มีลูกชายก็ไม่อาจรักษามรดกทรัพย์สินไว้ได้
“นี่เพิ่งจะวันที่สิบห้า เ้าเองก็ไม่ต้องรีบร้อนย้ายไปที่บ้านหลังนั้น แม้ว่าบ้านนั้นจะมีการซ่อมแซมทุกปี แต่ก็ไม่ได้มีคนพักอาศัยมานาน ต้องซ่อมแซมใหม่อีกรอบ”
หลิวซานกุ้ยตอบว่า “ตามที่ท่านพ่อพูด ข้าไม่รีบร้อน อีกสองเดือนกว่าจะถึง่ที่งานไร่นาค่อนข้างยุ่ง ถึงตอนนั้นข้าคงซ่อมแซ่มได้พอสมควรแล้ว”
หลิวต้าฟู่ยังทำใจไม่ได้ที่บุตรชายสามจะย้ายออกไป “บ้านหลังนั้นแม้จะอยู่ข้างแม่น้ำ แต่ว่าเป็ผลดี พวกเ้าจะได้ไม่ลำบากเื่ซักผ้าหรืออะไร! แต่ตอนนี้อากาศยังหนาว เ้ารอให้อากาศอุ่นกว่านี้ค่อยย้ายออกไปก็ไม่สาย”
หลิวซานกุ้ยยามนี้ไม่ใช่คนโง่งม เมื่อเห็นว่าพี่น้องที่เหลือไม่มีใครคัดค้าน และไม่ถกเถียงกันเพื่อแก่งแย่งสมบัติ
เขาก็กระจ่างใจทันทีว่า เื่การแยกบ้านที่พูดคุยในคืนนี้นั้นจงใจพุ่งเป้าไปที่เขาคนเดียว
หัวใจของเขาขมขื่นและเศร้าโศกยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันก็ผ่อนคลาย นี่คงเป็การหลุดพ้น!
“ขอรับ ท่านพ่อ แม้ว่าข้าจะย้ายออกไป แต่ก็จะช่วยท่านดูแลที่นาสิบกว่าไร่ให้เป็อย่างดี”
เมื่อหลิวเหรินกุ้ยได้ยินดังนั้น เขาแอบคิดในใจว่าหรือจะให้เ้าสามผู้ซื่อตรงคนนี้ช่วยเขาดูแลนาดี?
หากปล่อยให้เขาดูแล ก็กลัวว่าหลิวซานกุ้ยจะแอบลักข้าวเปลือกของเขา ขณะเดียวกันก็ทำให้หลิวซานกุ้ยรู้จักที่นาของเขาเป็อย่างดี จุดนี้เขาไม่ไว้วางใจนัก
“น้องชายหลิว อยู่ในบ้านสินะ!”
ในเวลานี้เสียงของหลี่เจิ้งดังขึ้นนอกลานบ้าน
“ประตูไม่ได้ปิดอยู่ เข้ามาได้” หลิวต้าฟู่ส่งเสียงตอบจากในบ้าน ไม่ได้วิ่งโร่ออกไปต้อนรับเหมือนแต่ก่อน เห็นทีการแยกบ้านนับว่าเป็เื่ที่ทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย
หลิวฉีซื่อยืนกรานที่จะแยกบ้าน อันที่จริงนี่เป็เพียงภาพเบื้องหน้า เพราะคนที่ถูกแยกออกไปจริงๆ มีเพียงครอบครัวหลิวซานกุ้ย
ตอนนี้เขาไม่ใช่แรงงานที่ดีที่สุดในบ้านอีกต่อไป หากแต่เป็ตัวอุปสรรคที่ขัดขวางทุกอย่าง
หลิวสี่กุ้ย้าสืบทอดทรัพย์สินมากกว่านี้ ก่อนอื่นก็ต้องอาศัยจังหวะที่หลิวฉีซื่อยังไม่ได้เปิดเผยเื่บ้านพร้อมที่นาในจังหวัด เพื่อตัดตัวขัดขวางออกไปก่อน
“เ้าเรียกหลี่เจิ้งมาหรือ?” คิ้วของหลิวฉีซื่อขมวดแน่น
นางไม่้าให้คนอื่นรู้เห็นเื่ที่ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยแยกออกไป
“อืม ข้าเรียกเอง ถึงอย่างไรมรดกของเราต่อไปก็ต้องยกให้สี่กุ้ย อาศัยตอนนี้มาแบ่งทุกอย่างให้ชัดเจนแจ่มแจ้งดีกว่า”
หลิวฉีซื่อเกือบล้มหงายหลังเมื่อได้ยิน มองตาขวางใส่หลิวต้าฟู่แล้วพึมพำ “อีกเดี๋ยวเ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ให้ข้าพูดเอง เ้าเห็นว่าเื่ในบ้านยังวุ่นวายไม่มากพอหรือ?”
“หรุ่ยเอ๋อร์ เราทำอะไรก็ต้องมีมโนธรรมด้วย” หลิวต้าฟู่พยายามเกลี้ยกล่อมนาง
“แล้วเราไม่มีมโนธรรมอย่างไรหรือ? หากข้าไม่เมตตาแล้วจะแบ่ง...” แบ่งอะไร ประโยคหลังนางก็พูดเสียงเบาจนมีเพียงหลิวต้าฟู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินชัดเจน
“ท่านพ่อ หลี่เจิ้งมาถึงพร้อมกับผู้าุโอีกหลายคนในหมู่บ้าน” หลิวซานกุ้ยที่นั่งอยู่ข้างประตูเอามือออกมาจากกระเป๋า แล้วลุกขึ้นต้อนรับ
เขาทักทายพวกเขาเ่าั้ก่อนแล้วจึงเชิญเข้ามาในบ้าน
หลิวต้าฟู่กวักมือเรียกทุกคนให้นั่งลง ชุ่ยหลิวและอิงเอ๋อร์ยกชาชั้นดีและของว่างชั้นดีมาให้ การกระทำเช่นนี้กลับทำให้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายรู้สึกเก้ๆ กังๆ จนนึกว่าตนเองมายังบ้านของคนร่ำรวยใหญ่โต
พลันทอดถอนใจเงียบๆ ว่าตระกูลหลิวนับวันก็ยิ่งรุ่งโรจน์ การปรนนิบัติเช่นนี้มีเพียงบ้านเ้าของที่ดินจึงจะมีไม่ใช่หรือ?
หากบ้านเ้าของที่ดินจะแยกบ้าน ไฉนเลยต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างพวกเขามาเป็พยานด้วย!
หลายคนเหลือบมองกัน ตราบใดที่คนในบ้านนี้ไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะสงบปากสงบคำ
หลิวฉีซื่อมองไปที่สีหน้าที่พึงพอใจของทุกคน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของนางที่ทำให้ภาพลักษณ์ของบ้านหลังนี้ไม่เหมือนบ้านทั่วไปในชนบท นางเองแค่้าทำให้พวกเขาที่มาเป็พยานรู้สึกยำเกรง จะได้ควบคุมได้อยู่หมัดเพื่อให้ช่วยจัดการเื่ต่างๆ!
ณ ห้องโถง หลิวต้าฟู่สูบบุหรี่ไปขณะที่พูดคุยกับหลี่เจิ้งเื่การแยกครอบครัวและวิธีการแบ่งที่นา
หลังจากหลี่เจิ้งหวงจินได้ฟัง จึงเอ่ย “พ่อหลิว นี่เป็เื่ในครอบครัวของเ้า เดิมที ข้าเองก็ไม่ได้อยากพูดมากอะไร เพียงแต่ซานกุ้ยเป็เด็กที่ข้าเห็นว่าเขาคือคนดี เงินสองตำลึงไม่ได้นับว่ามากมายจริงๆ การจะซ่อมแซมบ้านก็เพียงแค่พอถูไถไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกตั้งครึ่งปีกว่าจะถึงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน ถึงอย่างไรก็ควรแบ่งเสบียงให้ครอบครัวเขาสักหน่อย คงจะปล่อยให้เด็กๆ เหล่านี้ต้องอดอยากไปครึ่งปีไม่ได้หรอก เช่นนั้นคงอดตายกันพอดี”
เมื่อวานนี้หลิวสี่กุ้ยมีโอกาสไปที่บ้านของหลี่เจิ้งเพื่อขายที่นาเจ็ดไร่ให้แก่เขา หลี่เจิ้งเองก็กำลังบ่นๆ ว่าที่นาของบ้านเขาน้อยไปหน่อย จึงตกปากรับคำ แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าผิดปกติ ที่นาดีราคาสี่สิบกว่าตำลึง เขาเชื่อว่าหลิวฉีซื่อไม่มีทางแบ่งให้หลิวซานกุ้ยมากเท่ากันเช่นนี้แน่นอน
พอวันนี้ได้ฟังหลิวต้าฟู่ เขาพึมพําในใจว่า หลิวฉีซื่อช่างมีจิตใจโหดร้าย!
เขาจึงช่วยหลิวซานกุ้ยพูด!
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อที่อยู่ข้างๆ เริ่มเปลี่ยนไป เดิมที่นางไม่้าเอ่ยถึงเื่นี้เพราะว่า้าประหยัดเสบียงจากครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ย มิเช่นนั้นหนแรกนางจะเพิ่มเงินสองตำลึงไปด้วยเหตุใด?
หลิวต้าฟู่ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นเขาก็ยิ้ม “ขอบคุณพี่หวงที่ตักเตือน ข้าเองก็ลืมเื่นี้ไป บ้านหลังนั้นยังต้องดูแลอีกเยอะ เพียงแค่เสบียงคงไม่พอ ถึงอย่างไรในบ้านก็มีเนื้อหมูเค็มเหลือไม่น้อย ถึงตอนนั้นค่อยแบ่งให้พวกเขาอีกสองท่อน”
คำพูดประโยคหน้าเขาพูดกับหวงจิน แต่ประโยคหลังคือคำสั่งที่ให้กับหลิวฉีซื่อ
หลิวต้าฟู่เป็คนดื้อรั้น ยามปกติไม่ค่อยจะแสดงอารมณ์อะไร เพียงแต่เมื่อเขาเอ่ยปากพูดออกมา หลิวฉีซื่อก็มิอาจคัดค้านได้อีก
หากคัดค้าน นางนึกถึงยามที่ดวงตาของเขาเผยความโกรธเคือง ปีที่แล้วหลิวต้าฟู่เคยตบนาง นั่นเป็เื่ที่เ็ปใจเหลือเกิน!
ทรัพย์สินของตระกูลหลิวอยู่เบื้องหน้า เมื่อเจรจาเื่การแบ่งเรียบร้อย ของใช้ในบ้านของหลิวซานกุ้ยก็ปล่อยให้เป็ของพวกเขาโดยปริยาย เพราะถึงอย่างไรหลิวฉีซื่อก็คงไม่อยากได้ของผุพังเ่าั้อยู่แล้ว
หากนางรู้ว่าจางกุ้ยฮัวเล่นกลอุบายที่แอบซ่อนผ้าฝ้ายชั้นดีไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกกลับเอาผ้าคลุมที่เก่ามาเย็บคลุมไว้อีกชั้น นางคงจับจางกุ้ยฮัวมาฉีกเป็ชิ้นๆ แน่
ทุกคนได้เจรจาเงื่อนไขแล้ว แต่เพียงรอให้หลี่เจิ้งมาและเขียนหนังสือแยกครอบครัว หลี่เจิ้งและผู้าุโในหมู่บ้านหลายคนลงนาม
ลายเซ็นในที่นี้ไม่ได้เขียนลงบนกระดาษเปล่า แต่นำสําเนาของหนังสือแยกครอบครัวหลายชุดรวมเข้าด้วยกันแล้วเขียนบนขอบกระดาษ เมื่อรวมหนังสือเข้าไว้ด้วยกันก็จะเห็นลายเซ็นทั้งหมด
“เื่หม้อถ้วยชามเหล่านี้ ข้าจะไม่สนใจ เพราะในบ้านมีเพียงชุดเดียว เ้าเอาเงินสองตำลึงนั้นแบ่งออกมาซื้อเองก็แล้วกัน”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าลูกหมูห้าตัวที่เลี้ยงก็ถูกแบ่งไปหนึ่งตัว หัวใจของนางเ็ปนักแล
เมื่อคิดดูอีกครั้ง หากไม่รีบแยกเขาออกไป เกรงว่าต่อไปคงต้องแบ่งสมบัติออกไปมากกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็สบายใจขึ้นมาก
“ข้าจะไม่มีทางแบ่งเงินอีก ข้ากับพ่อของเ้ายังมีชีวิตได้อีกสิบยี่สิบปี น้องเล็กเ้ากับวั่งกุ้ยก็ยังไม่ได้แต่งงาน!”
หลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยสบตากัน ต่างก็เห็นด้วยตามกัน
พวกเขาแค่้าแยกหลิวซานกุ้ยออกไปก่อน จะได้ตัดคนที่แก่งแย่งทรัพย์สินในอนาคต
แต่ตระกูลหลิวคนอื่นกลับไม่ได้แยกบ้านกันจริงๆ
ในมือของหลิวฉีซื่อยังคงถือครองสมบัติส่วนใหญ่ในตอนนี้ สิ่งที่แบ่งออกไปเป็เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
“ข้าวเปลือกของบ้านเรายังมีหนึ่งพันสองร้อยชั่ง พวกเ้าห้าคนแบ่งไปห้าร้อยชั่ง ประหยัดกินหน่อย ถึงอย่างไรก็คงอยู่ได้จนถึงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อน” หลิวต้าฟู่นึกเสียใจทีหลังที่ปีก่อนขายข้าวเปลือกออกไป
หลิวฉีซื่อไม่ชอบท่าทีเสียใจของเขา จึงเบนศีรษะไปอีกทาง โชคดีที่นางกุมอำนาจในบ้าน จึงขายข้าวเปลือกไว้เหลือเพียงเท่านี้
หลิวต้าฟู่ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัว ครอบครัวหลิวซานกุ้ยมีทั้งห้าคน แต่ที่ยังเหลืออยู่กับเขามีเพียงหกคน การแบ่งเช่นนี้จึงไม่ได้อยุติธรรมแต่อย่างใด
“ไก่และเป็ดในครอบครัวก็มีกุ้ยฮัวเป็คนให้อาหาร ข้าว่าควรแบ่งให้นางสักหน่อย”
พูดถึงตรงนี้เขาจึงมองไปที่หลิวฉีซื่ออีก จู่ๆ เขาก็พบว่าตนเองไม่รู้ว่าเป็ดไก่ในบ้านมีจำนวนเท่าใด
หลิวฉีซื่อเบะปาก “ก็ไม่เท่าไร เพียงแค่สิบตัว ถึงเวลายังต้องแบ่งให้สี่กุ้ยกับเหรินกุ้ย แล้วก็ต้องมอบให้อาจารย์ของวั่งกุ้ยด้วยอีกสองตัว ในบ้านเองก็ต้องเหลือไว้บ้าง เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิจะได้วางไข่ออกมา”
อย่างที่นางบอก หมายความว่าไม่มีให้แบ่งเช่นนั้นหรือ?
หลิวซานกุ้ยเข้าใจความหมายของนาง เขาเองก็ไม่้าตอแยกับเื่เหล่านี้ ถึงอย่างไรหนังสือแยกครอบครัวก็เขียนเสร็จแล้ว เขามีบ้านเล็กๆ ของตนเอง คงไม่ต้องห่วงเื่การเลี้ยงสัตว์เหล่านี้อีกต่อไป
“ท่านแม่ ในเมื่อไม่พอแบ่ง เช่นนั้นข้าไม่เอาก็ได้”
ความหมายของเขาคือ ขอเพียง้าแยกครอบครัวโดยเร็ว แบ่งได้เท่าไรเขาไม่ได้สนใจ
เขาคํานวณคร่าวๆ ว่าจางกุ้ยฮัวมีเงินแปดตำลึง แล้วยังมีเครื่องประดับเงินและผ้าฝ้ายชั้นดี ของเหล่านี้สามารถแลกเป็เงินได้
นอกจากนี้บุตรสาวสองคนก็สามารถหาเงินได้ คงช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในบ้านได้ รอจนฤดูใบไม้ผลิเริ่มอบอุ่น ตนเองก็สามารถจับปลาในแม่น้ำไปขายได้ เช่นนี้ค่าเล่าเรียนของตนเองก็ไม่ต้องกังวลอีก
ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธได้อย่างไม่รู้สึกกดดัน
-----
