เหอชูซานรู้ดีว่าไม่สามารถถือว่าเสียง ‘อืม’ ของชย่าลิ่วอีในตอนนั้นเป็การตอบตกลงได้—— ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสองคนทะเลาะกันใหญ่โตในคืนนั้นและยังคงงอนกันอยู่จนถึงตอนนี้ วันตรุษจีนกำลังจะมาถึงในอีกสองวัน เขาจึงโทรศัพท์ไปหาชย่าลิ่วอีโดยไม่ถามว่าจะมาหรือไม่ แต่ถามด้วยชั้นเชิงว่า “พี่ลิ่วอี นอกจากเกี๊ยวหมูแดงแล้ว พี่อยากกินอะไรในวันไหว้อีกไหม? ชอบไก่เหวินชางจากไหหลำไหมครับ?”
ชย่าลิ่วอีกำลังยืนคุมอาหย่งซ้อมคนอยู่ที่ชั้นใต้ดิน เขาสูบบุหรี่พลางหาวแล้วพูดตอบ “อะไรก็ได้”
“นึ่งปลาอีกตัวดีไหมครับ?”
“อืม”
หลังจากวางสาย เหอชูซานก็ยิ้มอย่างเงียบๆ คนเดียวที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง ส่วนลูกพี่ใหญ่ชย่าจามออกมา “ฮัดชิ้ว!”
อาหย่งชะงักมือ แล้วเงยหน้ามองเขาพร้อมกับคนที่กำลังถูกซ้อมอย่างโชคร้าย
“มองอะไร! ซ้อมต่อสิ!” ชย่าลิ่วอีถลึงตาใส่ เขาคว้ากระดาษทิชชูจากมืออาเปียวมาสั่งน้ำมูกแล้วโยนทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย
เขากุมศีรษะที่มึนงงเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วก็นึกขึ้นได้ทีหลัง—— เดี๋ยว! เมื่อกี้ใครโทรมา? เหออาซานหรือ? ฉันไปรับปากเขาตอนไหนวะ!
ถึงจะบ่นในใจและลังเล แต่ในบ่ายวันก่อนวันตรุษจีนเขากลับขับรถไปยังตึกเก่าที่เหอชูซานอาศัยอยู่แล้วหาตรอกเล็กๆ เพื่อจอดรถ
เพื่อนบ้านแถวนี้ล้วนเป็ผู้อยู่อาศัยเก่าของชุมชนเมืองกำแพงเจียวหลง เขาไม่อยากให้ใครจำเขาได้ ชย่าลิ่วอีจึงสวมแว่นกันแดดและยกปกเสื้อโค้ตขึ้นเพื่อปิดบังใบหน้าเหมือนมือสังหาร แล้วย่องขึ้นไปบนชั้นอย่างเงียบเชียบ โชคดีที่่เวลานี้ทุกบ้านกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเย็นสำหรับวันรวมญาติ มีเพียงเด็กๆ แสนร่าเริงที่ส่งเสียงหัวเราะและวิ่งเล่นผ่านเขาไปบ้างเป็ครั้งคราว แต่เนื่องจากทางเดินมืด พวกเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นเขา
เขายังไม่ทันเคาะประตู เหอชูซานก็เปิดประตูจากด้านในออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ซ่อนไว้ไม่อยู่บนใบหน้า “พี่ลิ่วอี สวัสดีปีใหม่ครับ”
ชย่าลิ่วอีไม่ได้เห็นใครมีความสุขจากใจจริงแบบนี้มานานแล้ว เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “อืม สวัสดีปีใหม่” แล้วก็ยื่นตะกร้าผลไม้ที่ถือมาด้วยให้
เหอชูซานเชิญเขาเข้าไปในบ้าน บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีขนาดพอๆ กับห้องโถงของบ้านคนรวย แต่เพราะถูกแบ่งออกเป็สองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นอย่างชาญฉลาด ทำให้บ้านดูโปร่งและกว้างขวางกว่าห้องเล็กๆ สองชั้นในชุมชนเมืองกำแพงเจียวหลงมาก หมอฟันเหอใช้เวลาว่างในการตัดกระดาษรูปทรงต่างๆ อย่างสวยงามมาประดับตกแต่งทั่วบ้านทำให้บ้านดูมีสีสันสดใส เหนือโทรทัศน์ยังมีรูปเด็กอ้วนเรียกทรัพย์ซึ่งเป็สัญลักษณ์แห่งความโชคดีติดอยู่ สร้างบรรยากาศแห่งความรื่นเริงได้มากโข
กลางห้องนั่งเล่นมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีชามและตะเกียบจัดเรียงไว้สามชุด ตรงกลางเป็ปลาหลิงนึ่งโรยหน้าด้วยขิงและต้นหอมกำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปตามควันขาวที่ล่องลอยอ้อยอิ่ง
ชย่าลิ่วอีไม่เคยพบกับบรรยากาศการเฉลิมฉลองปีใหม่อย่างเรียบง่ายและอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน ตอนเด็กๆ การฉลองปีใหม่สำหรับเขาคือการที่พ่อจะดื่มเหล้าหนักกว่าเดิมและตีเขากับเสี่ยวหม่านรุนแรงขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหรูหรา การเฉลิมฉลองที่นั่นแม้จะยิ่งใหญ่แต่กลับเงียบเหงา—— ชิงหลงมักจะยุ่งอยู่กับงานและกลับบ้านดึก เขากับเสี่ยวหม่านก็ได้แต่นั่งมองอาหารเลิศรสบนโต๊ะ กินให้อิ่มแล้วก็จบกัน ทว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในห้องเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลวันตรุษจีน เขาจึงรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
“พี่ลิ่วอี เชิญนั่งก่อนครับ เดี๋ยวอาหารอย่างอื่นก็เสร็จแล้ว” เหอชูซานกล่าวต้อนรับ “ป๊า! พี่ลิ่วอีมาแล้วครับ!”
เมื่อชย่าลิ่วอีได้ยินเสียงเรียกนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บที่ฟันทันที อาป๊าเหอเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับไหเหล้าขาว เขากลอกตาไปมองชย่าลิ่วอีด้วยสายตาที่วิเคราะห์อย่างละเอียด “อื้ออื้ออื้อ คุณชย่ากลายเป็หัวหน้าใหญ่ไปแล้ว ยังมีน้ำใจมาเยี่ยมบ้านเล็กๆ ของเราด้วย บ้านเราดูสว่างไสวขึ้นเยอะเลย”
ชย่าลิ่วอีหันไปหาพ่อคนนี้ เมื่อเทียบกับลูกชายของเขาแล้ว ชย่าลิ่วอีมีท่าทางเกรงใจกันอยู่มากโข เขาพูดด้วยสีหน้าแข็งกระด้างว่า “คุณเหอ เชิญนั่งได้เลยครับ”
“ไม่กล้า ไม่กล้า แขกมาก่อน เ้าบ้านควรต้อนรับก่อน” หมอฟันเหอสุภาพมาก
“เชิญนั่งเถอะครับ”
“เชิญ เชิญ”
ทั้งสองคนต่างสุภาพและถ่อมตนอยู่ในห้องรับแขกเป็เวลานาน ไม่มีใครยอมนั่งลงก่อน เมื่อชย่าลิ่วอีกำลังจะหมดความอดทนและเริ่มโมโห เหอชูซานก็เดินออกมาพร้อมกับไก่ไหหลำหนึ่งจาน “ทั้งสองคนยืนทำอะไรกันอยู่เนี่ย? รีบนั่งลงสิครับ ป๊า พี่ลิ่วอีเอามาฝากครับ”
“ไม่กล้า ไม่กล้า คุณชย่าสุภาพเกินไปแล้ว” หมอฟันเหอพูด “คุณชย่า ผมได้ยินมาว่าครั้งที่แล้วที่ผมป่วย คุณก็เป็คนขับรถพาพวกเราไปโรงพยาบาล ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง คาดไม่ถึงเลยว่าถึงแม้คุณชย่าจะเป็คนที่ทำธุรกิจอยู่ข้างนอก แต่ก็มีจิตใจดีเช่นนี้...”
เหอชูซานหยิบเกี๊ยวอีกจานหนึ่งออกมาจากห้องครัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ป๊า รีบเลิกพูดจาเยิ่นเย้อแบบคนมีการศึกษาเถอะครับ”
หมอฟันเหอจ้องลูกชายเขม็ง “พูดจาเยิ่นเย้ออะไรกัน? ป๊าเป็คนสุภาพนะ! แกไม่มีวัฒนธรรม คิดว่าคนอื่นก็ไม่มีวัฒนธรรมเหมือนแกหรือไง? เขาน่ะ เป็หัวหน้าใหญ่นะ!”
ชย่าลิ่วอีรู้สึกปวดฟันอย่างต่อเนื่อง เขาพูดด้วยสีหน้าแข็งกระด้างว่า “คุณเหอเกรงใจกันเกินไปแล้ว การไปส่งพวกคุณไม่ได้เป็เื่ใหญ่โตอะไร ก่อนหน้านี้ในเมืองเก่า ผมสิต้องรบกวนให้คุณช่วยเหลือ”
“ไม่หรอก ไม่หรอก คุณชย่า ่นี้สุขภาพฟันเป็ยังไงบ้าง? เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วผมจะช่วยดูให้นะ?”
“แค่ก! ไม่เป็ไรครับ”
“คุณชย่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้ครับ ตรวจให้ฟรี! ไม่คิดเงิน!”
“ไม่ต้อง…”
“คุณชย่า ฟันเป็ส่วนที่สำคัญมากของร่างกายเรา คุณไม่ควรมองข้ามมันนะครับ...”
“ไม่... ฮัดชิ้ว!”
ก่อนที่คุณชย่าซึ่งกำลังสั่งน้ำมูกจะทนไม่ไหวและโมโห เหอชูซานก็ยกอาหารหม้อดินออกมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ “ป๊า กินข้าวแล้วก็อย่าพูดเื่ฟันกันอีกเลยครับ มาดูทีวีกันเถอะ”
หมอฟันเหอที่ไม่ได้เปิดคลินิกมานานรู้สึกอึดอัดจนแทบคลั่งเมื่อเจอคนแปลกหน้า เขามีความกระตือรือร้นและพยายามพูดคุยเกี่ยวกับความสำคัญของฟันกับคุณชย่าอยู่ตลอด แต่ก็ถูกเหอชูซานยัดถ้วยซุปให้ถือไว้ในมือ จึงต้องหยุดพูดและดื่มซุปไปก่อน
เหอชูซานตักซุปให้ชย่าลิ่วอีหนึ่งชามเช่นกัน เป็ซุปลูกแพร์ตุ๋นเห็ดหูหนูรสชาติหวานชุ่มคอ แก้ร้อนในได้ดี และมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการจามและน้ำมูกไหล เขาไม่ได้พูดถึงสรรพคุณของซุปเลย เพียงแค่หันไปดูทีวีกับพ่อ รอจนชย่าลิ่วอีทานหมดชาม แล้วจึงลุกขึ้นไปตักให้อีกชามด้วยท่าทางที่เป็ธรรมชาติ
ชย่าลิ่วอีมาบ้านของเหอชูซานในครั้งนี้ด้วยความระมัดระวัง เขาคอยจับตาดูเหอชูซานไม่ให้เล่นลูกไม้อะไรได้ แต่กลับกลายเป็ว่าเหอชูซานนั้นทั้งสงบและเป็ธรรมชาติมาก บางครั้งก็ถามเขานิดหน่อยว่า่นี้ยุ่งไหม พี่หม่ากับเจ๊ตงสบายดีไหม อะไรทำนองนี้ ไม่มีคำพูดหรือการกระทำที่เกินเลยเลย ดูอย่างไรก็เป็คนซื่อสัตย์จริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
เตาผิงในห้องมีไฟลุกโชนให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ชย่าลิ่วอีรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่มาจากด้านหลัง เขาจึงค่อยๆ ผ่อนคลายความระมัดระวังลงแล้วเริ่มหันความสนใจไปที่อาหาร—— คนไร้ประโยชน์เหอทำอาหารไม่ค่อยเก่ง รสชาติอาหารอื่นๆ ก็ธรรมดา แต่กลับทำปลานึ่งได้ดี ลูกพี่ใหญ่ชย่าอดไม่ได้ที่จะคีบตะเกียบไปยังจานปลานั้นหลายครั้ง แม้แต่ก้างปลาก็ยังแทะ
เหอชูซานพลิกปลาให้เขาเงียบๆ
ชย่าลิ่วอีกินปลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรเลย หากเทียบกับเมื่อก่อนที่เขามักออกไปกินข้าวกับเหอชูซานแล้วทั้งสองคนจะต่อปากต่อคำกันไปมามากกว่านี้ ทว่าวันนี้เขาทั้งไม่อยากแสดงท่าทีอะไรต่อหน้าหมอฟันเหอ และในขณะเดียวกันก็อยากรักษาระยะห่างกับเหอชูซาน เขาจึงไม่ค่อยพูด ยกเว้นตอนถูกถาม นอกเหนือจากนั้นเขาแทบไม่เปิดปากเลย สีหน้าของเขาเ็าและดูเข้าถึงยาก แต่พ่อลูกตระกูลเหอกลับไม่ใส่ใจท่าทีเ็าของเขาเลยแม้แต่น้อย ยังคงพูดคุยเื่สัพเพเหระและเื่ในครอบครัวกันเองต่อไป