ตอนที่ ๔
วัชรินทร์หมดฤทธิ์
การต้องนั่งอยู่กลางวงสนทนาของเหล่าคนใหญ่คนโตที่ไม่รู้จัก ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนตัวแทบจะะเิ ร่างขาวที่เพิ่งจะหาข้ออ้างแยกตัวออกมาได้เดินลงเท้าหนัก ๆ ไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ในจุดที่ซูเหวินไม่สามารถมองเห็นได้ เขาสะบัดพัดผ้าไหมพัดวีให้กับตนเองด้วยใบหน้าบูดบึ้งตึง ไม่ว่าใครแอบมองมาก็ตวัดสายตามองกลับอย่างเอาเื่จนฝ่ายนั้นต้องรีบก้มหน้าหลบไปเอง
งานบุญถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เห็นแต่บรรดาแเื่ที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง...ยิ่งตอกย้ำให้ตระหนัก ว่ากลุ่มหยางหลงและชื่อของซูเหวิน ไท่ นั้นทรงอิทธิพลมากเพียงใดในเขตพื้นที่นี้ แม้แต่ตัววัชร์เองที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในตระกูลที่มีอำนาจ ก็ยังแอบรู้สึกตัวเล็กจ้อยไปถนัดตา
แม้จะเป็คู่หมั้นกันมาั้แ่ยังเล็ก กระทั่งแต่งงานมีสถานะเป็สามี ภรรยาโดยถูกต้อง กระนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายที่เขาพอรู้นั้นมีอยู่น้อยนิด...พวกเขาห่างเหิน บทสนทนาก็มีแต่ถ้อยประโยคค่อนขอด ราวกับเป็เพียงคนรู้จักที่จำใจจะต้องอยู่ร่วมใต้ชายคาเดียวกันก็เท่านั้น
คนหนึ่งจนตรอกไม่มีที่ให้ไป อีกคนหนึ่งก็ต้องอ้าแขนรับเอาไว้ เพราะสถานะสามีที่ค้ำคอ
“ฉันบอกว่าอยากดื่มน้ำชา แกฟังไม่รู้เื่หรือ”
มัวแต่นั่งใจลอยอยู่นาน ก่อนจะเริ่มได้สติเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนดังอยู่ไม่ไกล ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชายวัยกลางคนในชุดสูท ซึ่งกำลังมีสีหน้าไม่พอใจอย่างถึงที่สุด เนื่องจากได้รับเครื่องดื่มที่ไม่้า ใกล้ ๆ กันคือลูกหล้าที่นั่งคุกเข่า ก้มหัวคางแทบชิดอก ทั้งสีหน้าคล้ายคนอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
!!!
พลันดวงตาสีสวยเบิกกว้างขึ้นด้วยความใ เมื่ออีกฝ่ายเทน้ำเปล่าราดใส่หัวของเด็กหนุ่มทั้งรอยยิ้มสาแก่ใจ ท่ามกลางสายตาเ็าจากแขกร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ ที่มองอยู่ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็เื่ปกติ ไม่มีอะไรน่าใแม้แต่น้อย
เพล้ง!
“ไปเปลี่ยนมาใหม่”
“ขะ ขอโทษจ้ะ หนูจะรีบไปเปลี่ยนมาให้นะจ๊ะ”
ลูกหล้าเนื้อตัวเปียกโชก ละล่ำละลักพูดเสียงสั่นแล้วยื่นมือไปเก็บบรรดาเศษแก้วที่กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า...วัชร์เบิกตากว้าง มองเด็กหนุ่มที่แอบเช็ดน้ำตัวเองป้อย ๆ ในขณะที่คนกลุ่มนั้นยังคงหันไปหัวเราะพูดคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะปฏิบัติต่อเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งราวกับไม่ใช่คน
ใจร้ายเหลือเกิน...
ร่างขาวหุบพัดในมือแล้วกัดฟันกรอด กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ครู่หนึ่ง ครั้นเมื่อเห็นคนรับใช้กำลังยกถาดบรรจุแก้วน้ำชาเดินผ่านมาพอดี ก็รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบแก้วมาถือไว้ในทันใด...ฝ่ายลูกหล้าพอเห็นนายของตนกำลังเดินตรงดิ่งมาทางนี้ก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยเรียก
“คะ คุณวัชร์อยากได้อะไรหรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวหนูไปหยิบหะ---”
เสียงถูกกลืนหายไป เมื่อคุณวัชร์เดินถือแก้วชาผ่านหน้าตนไปโดยไม่พูดไม่จา เสียงพูดคุยจอแจเริ่มค่อย ๆ เบาบางลง เมื่อทุกสายตาเริ่มจับจ้องไปยังเ้าของดวงหน้างามที่ย่างเท้าเดินอย่างอ้อยอิ่งและสง่า เสียงกระพรวนข้อเท้าดังขึ้นในทุกจังหวะที่ขยับตัว...ดูโดดเด่นเสียยิ่งกว่าใคร แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้
ผู้คนต่างลือกันไปทั่วว่าซูเหวิน ไท่ ถึงแม้จะใช้ชีวิตสันโดษ แท้จริงแล้วตัวเขามีภรรยาที่ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงาน และไม่เคยมีใครได้เห็น...มาวันนี้จึงได้รู้ ว่าภรรยาคนที่ว่านั้นงดงามราวกับนางอัปสร ผิวพรรณขาวนวลสว่างเสียจนแทบไม่อาจละสายตา
ในขณะเดียวกันดูร้ายกาจ หยิ่งยโส ราวกับไม่เคยคิดก้มหัวให้ใคร
“...”
วัชรินทร์หยุดยืนตรงหน้าชายในชุดสูทคนดังกล่าว ฝ่ายนั้นกำลังมองตนอยู่ด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม ไม่ได้รับรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
“กรี๊ด!!!!”
น้ำชาจากในแก้วถูกเทราดใส่หัวของอีกฝ่ายทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าว พลันเสียงร้องใจากแขกร่วมโต๊ะคนอื่นดังลั่นเสียจนวงดนตรีต้องหยุดบรรเลงเพลง ผู้คนแตกตื่นไปคนละทิศละทาง ในขณะที่ตัวต้นเื่เพียงยกริมฝีปากขึ้นยิ้มเยาะ แล้วเอ่ยถามเสียงเยียบเย็น
“ได้ยินว่าอยากดื่มน้ำชาไม่ใช่หรือ...คราวนี้สมใจแกหรือยัง”
“...”
“ฉันเห็นว่าแกราดน้ำใส่หัวคนอื่นก่อน...ก็เลยเข้าใจว่าคนในเขตพระนครคงจะหยิบยื่นน้ำใจให้กันด้วยวิธีนี้เป็เื่ปกติ”
งานกินเลี้ยงแสนสงบในคราแรก ถูกวัชรินทร์ทำลายลงจนสิ้น เสียงผู้คนดังอื้ออึงด้วยความแตกตื่น ไม่มีใครสนใจอาหารรสเลิศที่อยู่บนโต๊ะอีกต่อไป ดูคล้ายว่าชายวัยกลางคนจะยังคงงุนงงกับสถานการณ์ ได้แต่ปัดป่ายมือไปตามเสื้อผ้าของตนที่เปียกโชกด้วยสีหน้าใ แทบจะหาเสียงมาพูดไม่เจอเลยด้วยซ้ำ
“ไม่รู้หรือว่าเขาเป็ใคร ทำไมถึงกล้าทำแบบนี้!”
วัชร์ชะงักไป ค่อย ๆ หันไปมองสบกับหญิงสาวคนดังกล่าว เธอสวมชุดกระโปรงสีฉูดฉาด มีเครื่องเพชรราคาแพงประดับอยู่แทบทั้งตัว มีท่าทางคล้ายอยากจะต่อว่า แต่ก็แอบหวาดกลัวอยู่ในที ร่างขาวเพียงเดาะลิ้นที่ข้างกระพุ้งแก้ม แล้วตอบกลับเสียงเรียบคล้ายไม่แยแส
“ถ้าให้ลองเดา ก็คงจะเป็แขกคนสำคัญสักคนของคุณไท่...แต่มันไม่ใช่แขกคนสำคัญของฉันเสียหน่อย”
ตึง!!
“อั้ก!!”
วัชร์กดศีรษะของชายวัยกลางคนลงไปอย่างแรง กระทั่งเสี้ยวใบหน้าของอีกฝ่ายแนบอยู่กับโต๊ะ ดวงตาสีน้ำตาลสวยหรี่ลงเล็กน้อย เอ่ยถามคู่สนทนา
“อยากโดนเหมือนมันบ้างหรือ”
“มะ ไม่ใช่...”
“ถ้าอย่างนั้นก็เงียบปากเอาไว้”
สถานการณ์รอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ราวกับทุกคนถูกจับปิดปาก วัชรินทร์หลังจากแผลงฤทธิ์ได้สมใจแล้วจึงยอมปล่อยร่างในอาณัติให้เป็อิสระ แล้วเดินกลับไปหาลูกหล้า หมายจะช่วยพาอีกฝ่ายออกไปจากตรงนี้...แต่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะจบลงไปแล้ว ก็ยังไม่วายต้องได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่ดังตามมาอยู่ดี
“หน้าตาก็งาม ไม่คิดว่าจะเป็คนแบบนี้ ไม่สำนึกบ้างเลยหรือว่าเป็แขกคนสำคัญของคุณไท่”
“ฉันรู้สึกอับอายแทนคุณไท่เสียจริง ที่มีภรรยาแบบนี้”
“ได้ยินมาว่าที่ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็เพราะถูกคนที่เชียงใหม่ไล่มาไม่ใช่หรือ”
“มารยาทแย่เหลือทน...สมแล้วที่คุณไท่แสนชังนักหนา”
เสียงกระซิบกระซาบแ่เบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ทว่าวัชร์กลับได้ยินมันชัดเจนและจดจำทุกถ้อยคำราวกับถูกะโอัดใส่หูอยู่ตลอดเวลา...บนใบหน้ายังคงฉายแววเรียบเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร สวนทางกับภายในดวงตาที่เริ่มสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นคง
รู้ดีอยู่แล้วว่าการแก้ปัญหาด้วยนิสัยก้าวร้าวของตนนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดแอบจะตั้งคำถามในใจไม่ได้อยู่ดี
มันทำร้ายเด็กไม่มีทางสู้ก่อนนะ...ตัวเขาผิดตรงไหน ที่เลือกจะปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า
เพราะเป็คนใหญ่คนโต จะทำตัวชาติชั่วใส่ใครก็ได้อย่างนั้นหรือ...หากเลือกเข้าข้างคนผิดขึ้นมา ก็จะถูกติฉินนินทาด้วยถ้อยคำปรามาสเช่นนี้ตลอดไปงั้นหรือ
“เอะอะอะไรกัน”
เสียงกระซิบกระซาบเงียบลงกะทันหัน ยามเห็นร่างของซูเหวินเดินเข้ามาดูสถานการณ์ ร่างสูงเดินผ่านฝูงชนนับหลายสิบคน เพื่อพบกับภาพเละเทะตรงหน้า แขกคนสำคัญนอนแนบหน้าอยู่กับโต๊ะ ทั้งเนื้อตัวที่เปียกโชกไปหมด ใกล้ ๆ กันคือภรรยาของตนที่ยังคงถือแก้วน้ำชาเอาไว้ในมือ
พลันเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ทั้งดวงตาคมฉายแววดุดันขึ้นทันที ในขณะที่วัชร์ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ภายใต้ท่าทางแสนยโส แท้จริงแล้วหัวใจกลับกำลังเต้นกระหน่ำถี่รัว เพียงได้เห็นสีหน้าของผู้เป็สามี ก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
‘เธอไปก่อเื่อะไรไว้อีก’ ‘ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครเขาอีก’
คงอยากจะถามเขาว่าอย่างนั้นสินะ หรือไม่ก็คงอยากจะต่อว่ากันอีกหลาย ๆ คำ เมื่องานสำคัญถูกเขาทำลายลงไม่เหลือชิ้นดี...ยิ่งกลายเป็เป้านิ่งให้ถูกจดจ้องด้วยสายตากดดันนับหลายคู่ ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเสียจนอยากจะหนีไปนั่งร้องไห้ในห้องคนเดียวเหลือเกิน
ครั้นเมื่อตั้งสติได้ก็รีบเก็บสีหน้าและท่าทางทุกอย่างให้เป็ปกติ แล้วคว้าข้อมือของลูกหล้าที่ยังคงยืนตัวสั่นงกให้เดินตามตนออกมาจากบริเวณงานทันที
...
ลูกหล้าถูกกึ่งดึงกึ่งลากมาจนถึงหน้าเรือนไทย พื้นที่ตรงนี้มีแค่พวกเขา ไม่ได้ถูกรายล้อมไปด้วยแเื่มากมายเฉกเช่นในงาน เมื่อเห็นว่าอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว วัชร์จึงปล่อยมือออกแล้วเอ่ยพูดเสียงสั้นห้วน
“ไปนอนพักเถอะ งานตรงนั้นก็ไม่ต้องไปทำแล้ว”
เด็กหนุ่มได้แต่ละล่ำละลัก แม้จะถูกไล่ให้ไปพักผ่อนแต่ก็ยังไม่ยอมไปไหนเสียที จากในตอนแรกที่หวาดกลัวคุณเขานักหนา ยามนี้กลับรีบวิ่งตามหลังอีกฝ่ายไป แล้วเรียกรั้งเอาไว้ ก่อนที่เ้าตัวจะปิดประตูลงกลอนเสียก่อน
“คะ คุณวัชร์จ๊ะ!”
“มีอะไร”
คนอายุน้อยกว่าเงียบไปครู่หนึ่ง ขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็เส้นตรง ก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงเบาหวิว
“คุณวัชร์...ปกป้องหนูหรือจ๊ะ”
“...”
พลันผู้ฟังชะงักไป หันไปมองเด็กหนุ่มที่แม้จะมีท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังอยากจะขอบคุณกันอยู่ในทีก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ตลอดทั้งชีวิตนี้เขาเคยได้รับคำขอบคุณแบบคนอื่นเขาเสียเมื่อไร...วัชร์ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร จึงเลือกที่จะตอบกลับไปเสียงห้วนราวกับรำคาญที่จะตอบก็เท่านั้น
“ฉันก็แค่ทำตัวนิสัยเสียไปเรื่อยเท่านั้นแหละ”
ว่าเพียงเท่านั้นก็รีบปิดห้องหนี...ทันทีที่บานประตูถูกปิดลง พลันคนที่อยู่ในห้องรีบทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าแล้วฟุบหน้าลงไป ไหล่ที่เคยตั้งตรงสง่าเริ่มห่อลง...แม้ใบหน้าจะยังคงเรียบเฉย ราวกับไม่คิดแยแสสิ่งใด ทว่าภายในหัวกลับได้ยินถ้อยคำปรามาสที่ตนได้ฟังดังก้องวนเวียนอยู่ซ้ำ ๆ
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ ดังอยู่เป็ระยะเท่านั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“...”
เสียงเคาะประตูดึงความสนใจจากเ้าของห้องไปได้อีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แม้จะแอบสงสัยว่าใครกล้ามารบกวนตนในเวลานี้ แต่ก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อมัน กระนั้น เสียงเคาะประตูก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนวัชร์เริ่มอารมณ์เสีย รีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกไปลวก ๆ แล้วยอมลุกขึ้นเปิดประตูด้วยใบหน้าบูดบึ้งตึง
“...”
เขาคิดว่าจะด่าทอคนที่มารบกวนสักทีให้เจ็บแสบ ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็ซูเหวินที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ต้องชะงักไป ดวงตาสีสวยฉายแววสั่นไหวออกมาให้เห็นเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนดวงหน้างามจะเชิดขึ้นเล็กน้อย เผลอโพล่งออกไปเป็ภาษาถิ่นอย่างเหลืออด เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าคงจะเคืองสิ่งที่ตนทำในงาน จนต้องตามมาหาเื่กันถึงหน้าห้อง
น่าโมโหเหลือเกิน
ให้เขาพักบ้างไม่ได้เลยหรือยังไง
“ตวยมายะหยัง” (ตามมาทำไม)
“...”
“จะตวยมาด่ามาว่าเปิ้นก๋า” (จะตามมาด่ามาว่าวัชร์หรือ)
“...”
คำตอบที่ได้รับกลับมานั้นมีแต่ความเงียบเท่านั้น คนอายุมากกว่าเพียงมองกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับกำลังสังเกตกันเงียบ ๆ แต่ไม่ยอมทำอะไรไปมากกว่านั้น และนั่นยิ่งทำให้วัชร์อารมณ์เสียยิ่งกว่าเก่า ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหา กระทั่งเหลือช่องว่างระหว่างกันเพียงเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ
“เอาแล่ ไค้ว่าอะหยังเปิ้นล่ะ” (เอาเลยสิ อยากจะว่าอะไรวัชร์ล่ะ)
“ร้องไห้ทำไม”
ทว่าคำถามที่ได้รับกลับมานั้นผิดจากที่คาดเดาไปไกล วัชร์เบิกตากว้างด้วยความใที่ถูกจับได้ รีบยกหลังมือขึ้นเช็ดตาตัวเองซ้ำ ๆ แล้วเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นก้อนสะอื้น แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที รอบกระบอกตาก็พลันรู้สึกร้อนผ่าวอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
จะเถียงออกไปว่า ‘ไม่ได้ร้อง’ แต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่ยืนก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ต่อหน้าผู้เป็สามี เขาไม่มีอารมณ์จะมาดื้อดึงต่ออีกแล้ว ครั้นจะเถียงต่อปากต่อคำ เสียงที่เปล่งออกมาก็มีเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น
ร้องไห้ต่อหน้าคนที่ไม่อยากให้เห็นมันมากที่สุด
น่าอาย...น่าอายเสียจนน่าเจ็บใจ
“สภาพเป็อย่างนี้ก็ยังมีแรงมาเถียงเฮีย...เก่งเหลือเกินนะ”
“...”
“อยากถูกว่าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยพูดเป็จังหวะเนิบช้า ถึงอย่างนั้นก็แฝงไปด้วยกระแสความเ็าและเข้มงวดอยู่ในนั้น วัชร์ขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น หากจะให้มาทำาสร้างความเกลียดชังให้กัน คงจะต้องให้เป็เื่ของวันพรุ่งนี้...เพราะในตอนนี้ เขามีปัญญาเพียงทรุดตัวลงนั่งกอดเข่า แล้วเอ่ยพูดขอร้องเสียงเบาอย่างสิ้นท่าเท่านั้น
เขากลัวถูกคนอื่นต่อว่าอีกเหลือเกิน
“จะไปว่าเปิ้นเลยเน้อ...” (อย่าว่าวัชร์เลยนะ...)
ซูเหวินได้แต่มองคนที่เอาแต่นั่งกอดเข่าด้วยสายตาไม่เข้าใจและสับสน...ไม่กี่นาทีที่แล้วยังสร้างเื่ไว้เสียวุ่นวาย ตอนนี้กลับยืนร้องไห้ใส่กันเสียอย่างนั้น
บางครั้งก็ก้าวร้าว บางครั้งก็อ่อนไหว…เข้าใจยาก
ไม่รู้ว่านิสัยใดที่เป็ตัวตนจริงกันแน่
ดวงตาสีรัตติกาลที่ฉายแววดุดันและเข้มงวดในคราแรกเริ่มฉายแววอ่อนลงเล็กน้อย ตัดสินใจนั่งยองลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเสมอกับผู้เป็ภรรยา แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาที่ติดข้างปรางแก้มนวลออกให้ น้ำเสียงราบเรียบด้วยสำเนียงภาษาเหนือถูกเอ่ยพูดออกมาอย่างใจเย็นลง
“ถ้าทำตั๋วเป๋นเด็กดี อ้ายก่อบ่าว่า” (ถ้าทำตัวเป็เด็กดี เฮียก็ไม่ว่า)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้