“ท่านพี่โปรดฟังข้าก่อน เื่นี้ข้าอธิบายได้ เดิมทีข้าก็แค่อยากสั่งสอนให้ลูกสามรู้ความ ว่าการปักผ้าให้กับจิวอี้ซิงนั้นไม่เหมาะสม การปักผ้าเช่นนั้นสื่อถึงความรักเชิงชู้สาว แต่พวกนางเป็พี่น้องกัน จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นไม่ได้ สกุลจิวอาจเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“ก่อนหน้า นางซุ่มซ่ามหกล้มจนเข่าถลอก ข้าให้นางยืมผ้าไปซับเื นางก็แค่ปักผ้าผืนใหม่คืนให้ข้า” อยู่ ๆ เสียงของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งมานานก็เอ่ยขึ้น ทำให้หวางฟางเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘หึ! คิดว่าจะไม่พูดอะไรซะแล้ว’ หญิงสาวลอบคิดในใจ ก่อนจะปั้นหน้าเศร้าแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่ออย่าได้ถามหาความผิดจากผู้ใดเลยเ้าค่ะ ทุกอย่างเป็ความผิดข้าเอง ต่อไปข้าจะไม่วุ่นวายกับพี่ใหญ่ให้เป็ที่เสื่อมเสียอีก” จิวอี้ซิงเลื่อนสายตามองหญิงสาว แม้รู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในอากัปกิริยานั้น แต่ไม่ทำให้เขาใส่ใจมากนัก ยังคงตักอาหารใส่ปากช้า ๆ
“จะไม่เอาผิดได้อย่างไร เยว่หลิว! เ้าถีบนางลงสระจริงหรือไม่ และหากคิดโกหกล่ะก็ โทษของเ้าจะหนักหนากว่าเดิม!”
“ขะ ข้า...” เย่หลิวอึกอัก สายตาหวาดหวั่นแสดงออกมา ก่อนจะก้มหน้าแล้วยอมรับความผิดแต่โดยดี
“ข้าเป็คนทำนางตกน้ำเองเ้าค่ะ แต่ว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าทำไปเพราะเลอะเลือนชั่วขณะเท่านั้น ท่านพ่ออย่าได้ลงโทษข้าหนักหนาเลยนะเ้าคะ” หวางฟางเฟยได้ยินดังนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้นในทันที
“ท่านพ่อไว้โทษพี่รองเถอะนะเ้าคะ ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้เป็อะไรแล้ว”
“ทำผิดก็ต้องได้รับโทษ นับจากนี้ข้าจะให้เ้าสำนึกผิดในห้องตำรา ห้ามออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันเป็เวลาหนึ่งเดือน หากทำไม่ได้ ข้าจะให้เ้าย้ายไปอยู่กับท่านย่าที่เมืองซีหนาน” เยว่หลิวน้ำตาเอ่อขึ้น พลันเลื่อนสายตาคับแค้นใจมายังหวางฟางเฟย ที่กำลังยกชาขึ้นจิบพร้อมรอยยิ้มอ่อน ก่อนหวางฟางเฟยจะหันไปเห็นสายตาราบเรียบของจิวอี้ซิง ทอดมองมาอย่างจับผิด ทำให้นางรีบปรับสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เยว่หลิวกวาดข้าวของในห้องกระจัดกระจายเต็มพื้น พร้อมน้ำตานองหน้า เสียงโครมครามทำให้จิวฮูหยินรีบเข้ามาหาบุตรสาวของตนในทันที
“เยว่หลิว รีบสงบสติอารมณ์ซะ!”
“ท่านแม่...ท่านต้องเอาคืนหวางฟางเฟยให้ข้า นางทำให้ข้าถูกท่านพ่อทำโทษ ข้าเกลียดนาง!” จิวฮูหยินดึงร่างเล็กเข้ามาสวมกอดเพื่อปลอบโลม
“หากเ้ายังโวยวายไม่เก็บสติ คนที่แพ้ก็คือเ้า หวางฟางเฟยไม่ใช่คนไร้เดียงสาเหมือนเคยเสียแล้ว หรือเพราะนางโตขึ้น จึงไม่หวั่นเกรงคำพูดของข้า” จิวฮูหยินพยายามหาเหตุผล
“เพราะนางมีท่านพ่อคอยให้ท้าย” เยว่หลิวโพล่งขึ้นด้วยความอัดอั้น
“เมื่อเ้ารู้จุดแข็งของนาง ก็ยิ่งควรหุบปาก แล้วรีบไปสำนึกผิดที่ห้องตำรา หากพ่อเ้ามาเห็นในสภาพเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ช่วยเ้าไม่ได้” สิ้นเสียงของมารดา เยว่หลิวก็จำใจเบี่ยงตัวเดินจากไป
ระหว่างทางเดินไปยังห้องตำรา เยว่หลิวเก็บความขุ่นมัวคับแค้นคุกรุ่นไว้ภายในใจ ก่อนจะเดินมาพบกับร่างของหวางฟางเฟย ทั้งสองสบสายตากันครู่หนึ่ง ก่อนเยว่หลิวจะก้าวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วเอ่ยขึ้น
“นับจากนี้ อย่าคิดว่าชีวิตของเ้า จะเหมือนเดิมอีกต่อไป!”
“แน่นอนว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” คำพูดราบเรียบทว่าแอบแฝง ไปด้วยความหมายมากมายซ่อนอยู่ ทำให้เยว่หลิวมองหน้าอีกฝ่ายแน่นิ่ง ก่อนหวางฟางเหมยจะส่งยิ้มให้เบา ๆ
นั่นยิ่งทำให้เยว่หลิวคับแค้นใจ จนไม่อาจทนมองต่อไปได้ นางเดินฉับ ๆ ตรงไปยังห้องตำรา ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหลินหลิน ที่มองเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ
“คุณหนูเก่งที่สุด ทำให้คุณหนูรองโกรธจนหน้าแดง” สาวใช้รีบเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
“ว่าแต่คุณหนูไม่กลัวว่าพวกนางจะรังแก ตอนที่นายท่านไม่อยู่เหรอ ข้าคิดว่าเหตุการณ์นี้ จะทำให้ฮูหยินไม่พอใจอย่างมาก” หวางฟางเฟยยิ้มเล็กน้อย แล้วเบี่ยงตัวเดินจากไปพร้อมสายลมพัดมาปะทะกายเบา ๆ
หญิงสาวเดินเข้ามาหาเสนาบดีจิวหยางเหริน ขณะที่เขาเตรียมตัวไปว่าราชการที่วังหลวง ชายกลางคนหันมาพบกับบุตรสาวจึงยิ้ม แล้วเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายพลันยกมือลูบศีรษะนางเบา ๆ
“มาหาพ่อถึงที่นี่ มีอะไรงั้นเหรอ” หวางฟางเฟยยิ้ม แล้วเลื่อนสายตามองลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย พลันเอ่ยความ้าของตัวเอง
“ข้าจะมาขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปเดินซื้อของใช้ส่วนตัวมีของหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าอยากได้ และแน่นอนว่า หากขออนุญาตท่านแม่ ท่านแม่คงไม่ยอม” ชายกลางคนชะงักนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาถุงเงินยื่นให้อีกฝ่าย
“พ่ออนุญาต แต่เ้าต้องให้หลินหลินตามไปคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซื้อของเสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับก่อนตะวันตกดิน ตอนนี้บ้านเมืองใช่ว่าจะสงบปลอดภัย” หญิงสาวเอื้อมไปรับถุงเงิน แล้วค่อย ๆ โอบกอดอีกฝ่ายแแ่ ชายกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหัวเราะร่วนออกมาด้วยความดีใจ
“เ้าไม่เคยกอดข้าเช่นนี้มาก่อน วันนี้คิดอะไร” เขาถามนางด้วยความเอ็นดู ก่อนหวางฟางเฟยจะปล่อยยิ้ม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ท่านพ่อดีต่อข้าที่สุด ไม่ให้ข้ารักท่านพ่อ จะให้ข้าไปรักผู้ใด”
“ฮ่า ๆ ๆ เอาล่ะ ๆ พ่อรู้แล้ว” เสนาบดีจิวหยางเหรินตบหลังบุตรสาวเบา ๆ แล้วยกมือลูบศีรษะนาง
“เ้านี่...ยิ่งโตเป็สาว ยิ่งขี้อ้อนกว่าตอนเป็เด็กเสียอีก” นางยิ้ม ก่อนชายกลางคนจะเบี่ยงตัวเดินจากไป