หมี่หลันเยว่แสดงออกถึงความใจกว้างและจริงใจอย่างเต็มที่ อันที่จริงสำหรับหมี่หลันเยว่แล้ว เธอเพียง้าใช้เป็โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเท่านั้น ชั้นสองและชั้นสามไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แถมในเื่ราคายังถูกกว่าอีกด้วย แต่สำหรับหวังเ้าชิ่งแล้ว กลับเป็การเปิดโอกาสให้เขามากเกินไป น้ำใจครั้งนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
"ถ้าอย่างนั้นเราก็ตกลงกันตามนี้นะ ลุงก็รู้ว่า่นี้หนูยุ่งมาก เื่ห้างสรรพสินค้าไม่ต้องพูดถึง ได้ยินว่าหนูข้ามชั้นเรียนด้วยเหรอ?"
ไม่คิดว่าหวังเ้าชิ่งจะได้ยินเื่นี้ด้วย หมี่หลันเยว่กลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ข่าวลือแพร่กระจายไปไกลขนาดนี้ มันดูเหมือนโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า
"ลุงหวังคะ ฉันข้ามชั้นเรียนพร้อมกับพี่ชายทั้งสี่คนค่ะ อยากขึ้นมัธยมปลายให้เร็วขึ้นค่ะ"
การพูดถึงจำนวนคนที่มากขึ้น จะไม่ทำให้ตัวเองดูโดดเด่นเกินไปใช่ไหม? ไม่อย่างนั้น เื่นี้แพร่กระจายออกไปไกล ก็ไม่รู้ว่าจะถูกพูดถึงไปในรูปแบบไหน
"รู้แล้วล่ะ ก็เพราะพวกเธอสี่คนข้ามชั้นเรียนด้วยกัน เื่นี้ถึงได้แพร่กระจายไปเร็วขนาดนี้ ทุกคนอยากรู้ว่าในรุ่นเดียวกันมีนักเรียนที่ได้อันดับหนึ่งของสี่ห้องพร้อมใจกันข้ามชั้นเรียน มันคงเป็ภาพที่ยิ่งใหญ่มาก แถมทุกคนยังพูดกันว่าสี่คนนี้เป็เพื่อนที่ดีต่อกัน ฉันเดาได้เลยว่าต้องเป็พวกเธอสี่คนแน่นอน"
ไม่คิดว่าต้นเหตุของเื่จะเป็แบบนี้ หมี่หลันเยว่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย เธอไม่สามารถคิดถึงความรู้สึกของคนนอกได้เพียงอย่างเดียว เวลาของเธออาจจะดูสบายๆ แต่นั่นเป็เพราะอายุของเธอยังน้อย แต่ถ้าให้เธอเสียเวลาไปโดยไม่มีเหตุผล เธอก็คงไม่ยอม เธอมีเื่ที่ต้องทำมากมาย เวลาเท่าไหร่หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกว่าไม่พอ
"แต่เธออายุยังน้อยอยู่เลย ปกติก็เรียนสูงกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะข้ามชั้นเรียนอีก ไม่รู้สึกว่ามันหนักเกินไปเหรอ?"
สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุสิบเอ็ดปี ที่ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.3 หวังเ้าชิ่งก็ยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
"ก็พอไหวค่ะ ั้แ่เด็กฉันก็เรียนกับพี่ชายมาด้วยกันตลอด ชินแล้วค่ะ พี่เขาไปถึงไหนก็จะพาฉันไปด้วย ฉันเลยไม่รู้สึกว่ามันหนักเกินไปเท่าไหร่"
เธอไม่กล้าบอกว่าเธอเป็คนฉุดกระชากลากดึงพี่ชายให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่อย่างนั้นคงทำให้ลุงหวังคนนี้ใตายแน่
"อืม ก็เป็คนที่ขยันขันแข็งคนหนึ่ง แต่เธอตามทันก็ดีแล้ว ยังไงซะ เธอก็อายุยังน้อยอยู่ อย่าหักโหมจนเกินไป เื่เซ็นสัญญาตรงนี้ ฉันจะเอานำเอกสารมาให้เธอที่นี่พรุ่งนี้ เธอจะได้ไม่ต้องวิ่งไปที่สำนักงาน ทั้งเรียนหนังสือทั้งวิ่งเื่ห้างสรรพสินค้า มันยากสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจริงๆ"
ในใจของหวังเ้าชิ่งในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ความยินดีที่หมี่หลันเยว่ช่วยเหลือเขาเท่านั้น แต่สำหรับเด็กผู้หญิงตรงหน้า เขาก็มีความเห็นอกเห็นใจและสงสารด้วย ดังนั้นโดยไม่รู้ตัวเขาก็เริ่มคิดถึงสิ่งต่างๆ เพื่อหมี่หลันเยว่ สิ่งนี้ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ความรู้สึกที่เธอมีต่อหวังเ้าชิ่ง อันที่จริงยังคงอยู่ที่การต่างตอบแทนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนลูกหลานแล้ว จิตใจของคนเรานั้นต่างตอบแทนกัน เมื่อผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณอย่างอ่อนโยน เป็ไปไม่ได้ที่คุณจะไม่ตอบแทนด้วยความกตัญญูเช่นเดียวกัน
"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณลุงหวังจริงๆ ค่ะ ฉันสบายขึ้นเยอะเลย แต่กลับต้องรบกวนให้ลุงมาวิ่งเต้นให้ฉันอีกรอบ"
"ไม่เป็ไรๆ ่สองวันนี้ลุงก็วิ่งเต้นเื่เช่าบ้านอยู่แล้ว ไม่ได้มาที่หนู ลุงก็ต้องไปทางห้างสรรพสินค้านั่นอยู่ดี ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก"
เมื่อเื่ทุกอย่างลงตัว หวังเ้าชิ่งก็รู้สึกผ่อนคลายลงไปด้วย ทางห้างสรรพสินค้าเมื่อมีคำแนะนำของหมี่หลันเยว่ ก็มีแนวทางให้ตามหาแล้ว สามารถค่อยๆ สร้างขึ้นได้ ถ้าห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนปล่อยเช่าชั้นสามออกไปก่อน การปล่อยเช่าชั้นสองก็จะง่ายขึ้น ไม่คิดว่าการมาของตัวเองในครั้งนี้ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด
"หลันเยว่ เธอช่วยลุงไว้มากเลยนะ เธอวางใจได้เลย ลุงจะกลับไปประชุมกับสำนักงาน เพื่อขอคำชี้แนะ และจะพยายามให้ราคาพิเศษที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าพรุ่งนี้ลุงจะนำข่าวดีมาให้หนูได้"
หวังเ้าชิ่งลุกขึ้นยืนและให้คำมั่นสัญญากับหมี่หลันเยว่อีกครั้ง เขา้าช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างจริงใจ
"ขอบคุณลุงหวังค่ะ ถ้าอย่างนั้นหลันเยว่จะรอฟังข่าวดีจากคุณลุงนะคะ"
หมี่หลันเยว่ส่งหวังเ้าชิ่งออกไปนอกห้างสรรพสินค้าอย่างกระตือรือร้น เธอส่งคนจนลับสายตา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกตื่นเต้น จริงๆ แล้วเมื่อเื่ราวเป็ไปด้วยดี สิ่งดีๆ ก็จะวิ่งเข้ามาหาเอง
ความตั้งใจที่จะเช่าพื้นที่ชั้นหนึ่งเพื่อทำโรงงานเสื้อผ้า หมี่หลันเยว่ได้คิดไว้แล้วั้แ่ตอนเซ็นสัญญาเช่าห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน เพียงแต่ในตอนนั้นขีดความสามารถของตัวเองมีจำกัด หนึ่งคือโรงงานในตอนนั้นยังใช้งานได้เพียงพอ ไม่จำเป็ต้องรีบขยายกิจการให้ใหญ่โตเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจและเป็ที่อิจฉาของคนอื่น
ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่ายิ่งปล่อยเื่การเช่าไว้นานเท่าไหร่ ราคาเช่าพื้นที่ชั้นหนึ่งก็จะยิ่งถูกลง เพราะพื้นที่วางอยู่ตรงนี้ ทุกวันคือการสูญเสีย ดังนั้นเธอจึงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ตั้งใจว่าจะคุยเื่นี้อีกครั้งหลังจากห้างสรรพสินค้าเปิดทำการไปแล้วหนึ่งปี ไม่คิดว่าสิ่งดีๆ จะตามมาติดๆ
่เวลาตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลว สาเหตุหลักเป็เพราะหมี่หลันเยว่ไม่คิดว่าการพัฒนาของเธอจะเร็วขนาดนี้ ผู้ประกอบการขายส่งเกินกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้ั้แ่เริ่มต้น ดังนั้นการขยายโรงงานจึงเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การมาของลุงหวังในวันนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็การตัดสินใจแทนหมี่หลันเยว่ การขยายโรงงานของหมี่หลันเยว่จึงถือเป็การทำตามกระแส
วันรุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน หวังเ้าชิ่งถือเอกสารและสัญญา พร้อมด้วยเ้าหน้าที่และเลขาจากสำนักงานก็มาด้วย ประสิทธิภาพของการทำงานในสถานที่จริงนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่นานก็เซ็นสัญญาเช่าโรงงานชั้นหนึ่ง ระยะเวลาคือสามปีเช่นเดิม เื่นี้หมี่หลันเยว่ไม่ได้ขอร้อง หวังเ้าชิ่งก็ให้ตามนโยบายโดยตรง
หลังจากเซ็นสัญญาฉบับนี้แล้ว หมี่หลันเยว่และคนอื่นๆ ก็เริ่มวุ่นวายกันอีกครั้ง ต้องรู้ว่าโรงงานเสียเวลาไปหนึ่งวัน นั่นคือความเสียหายที่ใหญ่หลวง ตอนนี้มีงานเข้ามาจนแทบจะรับไม่ไหว แน่นอนว่าโรงงานยุ่งที่สุด ต้องมีโควตาในแต่ละวัน ถ้าล่าช้าไปหนึ่งวัน ปริมาณที่สูญเสียไปอาจเป็ปริมาณของงานขนาดเล็กหนึ่งรายการ
แต่สิ่งที่หมี่หลันเยว่ไม่คาดคิดก็คือ โรงงานที่เธอเช่ามานี้ กลับมีสิ่งที่น่าประหลาดใจที่เธอคาดไม่ถึง เพราะชั้นนี้เดิมทีเคยใช้เป็โรงงานของบริษัทเสื้อผ้าของรัฐ ในโรงงานขนาดใหญ่ กลับมีการออกแบบหอพักพนักงาน สิ่งนี้ช่วยประหยัดเื่ต่างๆ ให้กับหมี่หลันเยว่ได้มาก
เดิมทีเธอกำลังคิดว่าต้องเช่าบ้านขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงให้พนักงานอยู่เป็หอพัก ไม่คิดว่าที่นี่จะมีพร้อมอยู่แล้ว แถมอุปกรณ์ครบครัน นอกจากผ้าปูที่นอนแล้ว ทุกอย่างมีหมด สิ่งอำนวยความสะดวกในการล้างหน้าและแปรงฟันก็ครบครัน แต่มีข้อหนึ่งคือ ห้ามทำอาหาร
หมี่หลันเยว่สนับสนุนเื่นี้มาก ต้องรู้ว่าด้านนอกหอพักคือโรงงาน จะมีผ้าและอุปกรณ์จำนวนมาก ใต้โรงงานยังมีห้างสรรพสินค้า การทำอาหารเป็สิ่งที่ง่ายต่อการก่อให้เกิดไฟไหม้ นี่ไม่ใช่เื่เล็กน้อย ถ้าเกิดอันตรายขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นประเมินค่าไม่ได้ ดังนั้นหมี่หลันเยว่จึงเห็นด้วยกับข้อกำหนดนี้
"หลันเยว่ เธอว่าทำยังไงถึงจะย้ายโดยที่เสียหายน้อยที่สุด"
เนื่องจาก่นี้งานล้นมือ หลินเผิงเฟยจึงกังวลว่าการเสียเวลาไปหนึ่งวัน จะทำให้งานของโรงงานในวันนั้นหายไป
"ตอนนี้ห้องก็ทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว การทาสีผนังและการตรวจสอบสายไฟ พวกเราทำเสร็จหมดแล้ว เพียงแต่การย้ายบ้านนี่แหละ ที่ต้องใช้สมองดู ว่าจะทำยังไงถึงจะทำให้โรงงานของเราย้ายได้อย่างราบรื่น โดยไม่กระทบต่อปริมาณสินค้าที่เราต้องส่ง"
เฉียนหย่งจิ้นก็กำลังใช้สมองคิดตามไปด้วย เมื่อโรงงานปรับปรุงเสร็จแล้ว แน่นอนว่ายิ่งย้ายมาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตอนนี้สภาพอากาศเพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เป็่เวลาที่ดีในการย้ายบ้าน ไม่ร้อนไม่หนาว ส่วนบ้านที่นั่น เมื่อย้ายออกไปแล้ว ก็สามารถดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปของตัวเองได้
"พวกพี่ลองคิดดูอีกที ถ้าคิดไม่ออก เงินเดือนเดือนนี้ลดครึ่งหนึ่งนะคะ"
หมี่หลันเยว่พูดติดตลกปนจริงจัง ในใจเธอคิดวิธีไว้แล้ว ไม่คิดว่าพี่ชายทั้งสามที่ปกติฉลาดๆ กัน ตอนนี้กลับกำลังกะพริบตาปริบๆ ด้วยความกังวล นี่คือสติปัญญาเหือดแห้งไปแล้วหรือไง
"หลันเยว่ ให้คนงานขนเครื่องนอนมาด้วยตอนเลิกงาน แล้วย้ายมาเลย แบบนี้ก็ง่ายดี คืนเดียวเื่หอพักก็เรียบร้อย แต่ถ้าจะย้ายเครื่องจักร คงต้องเสียเวลาหน่อย ไม่เสียเวลาไปสองวัน คงไม่เสร็จ"
หมี่หลันหยางก็คิดไม่ออกว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้ ที่จะย้ายเครื่องจักรมาที่โรงงานใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูจากท่าทีของน้องสาวแล้ว เห็นได้ชัดว่าในใจมีแผนอยู่แล้ว นั่นแสดงว่าต้องมีบางอย่างที่ตัวเองคิดไม่ถึง
"ขอฉันคิดดูก่อน ขอฉันคิดดูก่อนนะ"
เมื่อเห็นหนุ่มๆ ทั้งสามคนค้ำคางบ้าง จับเอวบ้าง ต่างก็พยายามใช้สมองคิดกันอย่างหนัก หมี่หลันเยว่ก็อดขำไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนเราบางครั้งก็จะถูกกรอบความคิดที่ตายตัวมาจำกัดไว้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ฉลาด เพียงแต่พวกเขาไม่ได้พัฒนากระบวนการคิดไปในทิศทางนั้น
"อะแฮ่ม..."
หมี่หลันเยว่กระแอมเบาๆ แล้วพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจว่า
"โรงงานใหม่ของเราใหญ่โตขนาดนี้ โรงงานของเราก็ต้องขยายใหญ่ขึ้นสิ"
"แน่นอนว่าต้องขยายใหญ่ขึ้น ไม่งั้นเราจะย้ายโรงงานมาทำไม"
เฉียนหย่งจิ้นตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ หมี่หลันเยว่คนนี้ ไม่พูดความคิดของตัวเองออกมา แต่กลับมาพูดจาประชดประชันอยู่ได้ แต่พอพูดจบ เขาก็ถูกประโยคนี้จุดประกายขึ้นมาทันที เหมือนมีประตูอีกบานเปิดออกในสมอง
"เดี๋ยวก่อน…"
คำว่า ‘เดี๋ยวก่อน’ ของเฉียนหย่งจิ้นเพิ่งหลุดออกมา หมี่หลันหยางก็พูดออกมาพร้อมกันว่า
"ฉันนึกออกแล้ว"
หมี่หลันเยว่มองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม
"นึกอะไรออกแล้ว พวกพี่ลองพูดมาสิ"
เมื่อได้ยินว่าทั้งสองคนคิดแผนออกแล้ว หลินเผิงเฟยก็มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยความหดหู่ รู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มทึ่มขึ้นมาแล้ว เขาจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่ามีวิธีไหน
"เราไม่ได้จะขยายโรงงานเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อเครื่องจักรชุดใหม่กลับมาก่อนเลยสิ"
เฉียนหย่งจิ้นเพิ่งพูดออกมาประโยคหนึ่ง หมี่หลันหยางก็สานต่อความคิดของตัวเอง
"แล้วให้คนงานเก่ามาใช้เครื่องจักรใหม่ได้เลย ส่วนเครื่องจักรพวกนั้นในโรงงานเก่า เราจะย้ายไปเมื่อไหร่ก็ได้"
เมื่อคำพูดของหมี่หลันหยางจบลง เฉียนหย่งจิ้นก็ยื่นมือออกมา ทั้งสองคนตบมือกันอย่างหนักแน่น แล้วมองไปที่หมี่หลันเยว่ด้วยสายตาแน่วแน่ หวังว่าความคิดนี้จะได้รับการยืนยันจากเธอ
"ใช่แล้ว ทำแบบนี้แหละ ทั้งประหยัดเวลา ทั้งขยายโรงงานไปในตัว ได้ประโยชน์สองต่อ"
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยไปซื้อเครื่องจักร เนื่องจากครั้งนี้มีจำนวนมาก ห้างสรรพสินค้าจึงให้ราคาพิเศษด้วย นี่เป็สิ่งที่เหนือความคาดหมายของหมี่หลันเยว่ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าการไปซื้อจักรเย็บผ้าโดยตรงจะถูกกว่า แต่ทางฝั่งตัวเองไม่มีใครและไม่มีเวลา ตอนนี้สามารถได้รับส่วนลดพิเศษที่ไม่คาดคิดได้ เธอก็พอใจมากแล้ว
ในคืนที่ซื้อเครื่องจักรกลับมาติดตั้งเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่คนงานในโรงงานเลิกงาน ต่างก็จัดเตรียมสัมภาระของตัวเองให้พร้อม หลินเผิงเฟยเช่ารถบรรทุกขนาดใหญ่คันหนึ่ง ขนทั้งคนทั้งสัมภาระไปที่ห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนในรอบเดียว คนงานต่างก็ไปหาเตียงที่มีชื่อของตัวเองติดอยู่ที่หอพัก การย้ายโรงงานก็เสร็จสิ้นอย่างง่ายดาย
