เยว่เฟิงเกอไม่รู้ว่าในใจม่อหลิงหานกำลังคิดอะไรอยู่ นางเห็นเพียงเขากำลังยิ้มอย่างโง่งม จึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า “ท่านอ๋องกำลังยิ้มโง่งมเื่อะไรอยู่? ”
ม่อหลิงหานไม่กล่าววาจา แต่ดึงเยว่เฟิงเกอเข้ามาในอ้อมแขน เขยิบหน้าเข้ามาใกล้ จุมพิตริมฝีปากนาง
เยว่เฟิงเกอคิดว่าม่อหลิงหานคนนี้เป็บ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อก่อนเวลาเขาเห็นนาง ถ้าไม่บีบคอนางก็บีบข้อมือนาง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็ทุกครั้งยามที่เจอนาง ถ้าไม่กอดนางก็จูบนาง
เกรงว่าจะเหลือก็แค่อ้าปากงับนางแล้ว
สุดท้ายเยว่เฟิงเกอแค่คิด ริมฝีปากนางก็รู้สึกเจ็บแปลบทันที
“โอ๊ย...” เยว่เฟิงเกออดส่งเสียงออกมาไม่ได้
ชายโฉดน่าตายคนนี้ถึงกับกัดปากนาง
นางผลักม่อหลิงหานออกไป กล่าวด้วยความโมโห “ม่อหลิงหาน เหตุใดท่านต้องกัดข้า ท่านเกิดปีจอหรือ? ”
ม่อหลิงหานไม่โกรธ ริมฝีปากเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “พระชายาช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง รู้ด้วยว่าเปิ่นหวางเกิดปีจอ”
เยว่เฟิงเกอตากระตุก นางแต่งให้อ๋องแบบใดกัน ไม่เพียงเป็บ้ายังหน้าไม่อายอีกด้วย
“ชายารักกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ? ” เมื่อเห็นว่าสตรีในอ้อมแขนมีท่าทีโกรธเกรี้ยว เขายิ่งอยากหยอกล้อนางมากขึ้น
เยว่เฟิงเกอรู้สึกว่าริมฝีปากที่ถูกกัดยังเจ็บจนถึงตอนนี้ นางเงยหน้า ก่อนจะส่งยิ้มเ็าให้ม่อหลิงหาน “ข้าอยากกัดตอบ” พูดจบ นางก็อ้าปากงับปากม่อหลิงหานทันที
ที่จริงแล้วม่อหลิงหานสามารถหลบได้ แต่เขาไม่หลบ
เขายินยอมพร้อมใจเต็มที่ที่จะให้ชายารักได้กัดเขา
ั้แ่วินาทีที่เยว่เฟิงเกอถอนพิษให้เขา ม่อหลิงหานก็เห็นนางเป็ชายารักของเขา ชาตินี้เขาจะไม่มีวันทรยศนาง และจะปฏิบัติไม่ดีต่อสตรีอื่นใด เว้นนางผู้เดียว
สำหรับริมฝีปากที่ถูกกัด เดิมทีม่อหลิงหานยังคิดว่าคงต้องเจ็บมาก มิคาดสตรีในอ้อมแขนจะไม่ใจดำพอจะกัดเขาแรงๆ
หัวใจของม่อหลิงหานหลอมละลายเป็น้ำทันที เขากอดเยว่เฟิงเกอไว้แล้วพลิกกาย ทำให้คนทั้งสองนอนราบลงไปกับฟูก
ม่อหลิงหานจุมพิมริมฝีปากน้อยๆ ของเยว่เฟิงเกออย่างลึกซึ้ง จากการจุมพิตเพียงผิวเผินกลายเป็การจุมพิตที่ลึกล้ำขึ้น
ในตอนที่พวกเขากำลังจุมพิตกันจนหลงลืมทุกสิ่งอย่างอยู่นั้น ประตูหอแปดทิศก็ถูกเปิดออก โดยมีถานอี้และเฉียวเฟยยืนค้างอยู่ที่ประตู ฉากตรงหน้าทำเอาพวกเขาได้แต่ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น
เมื่อดึงสติกลับมาได้ภายในเวลาอันสั้น ใบหน้าคนทั้งสองพลันแดงก่ำ หลังจากวางสมุนไพรในมือลงพื้นแล้วถึงได้รีบร้อนปิดประตูทันที
พวกเขาสาบานว่า เมื่อครู่พวกตนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จู่ๆ พวกเขาก็สูญเสียความทรงจำไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินเสียงบางอย่าง สมองก็คล้ายจะกลับมาใช้การได้ดังเดิม เพียงลืมตาขึ้นก็เห็นสมุนไพรอยู่บนพื้น
นางผลักม่อหลิงหานออกทันที รีบร้อนวิ่งเข้าไปหยิบสมุนไพรขึ้นมา
เมื่อเปิดกระดาษที่ห่อไว้ออก นางก็เห็นสมุนไพรที่้าอยู่ด้านใน
ตอนนี้นางมีสมุนไพรแล้ว ขาดก็แค่เตาหลอม
เมื่อเช้าตอนที่นางไปกินอาหาร แน่นอนว่าไม่ได้พกเตาหลอมยาติดตัวไปด้วย ตอนนี้จึงไม่อาจไม่ไปรบกวนถานอี้และเฉียวเฟยให้ช่วยไปนำเตาหลอมมาให้ได้
คนทั้งสองนำเตาหลอมยาทองแดงมาให้เยว่เฟิงเกออย่างรวดเร็ว ครั้งนี้พวกเขาไม่จำเป็ต้องเฝ้าอยู่ที่ประตูอีกแล้ว แต่ได้ยืนมองนางหลอมยา ตาไม่กะพริบ
เยว่เฟิงเกอวางเตาหลอมยาและสมุนไพรต่างๆ ไว้บนโต๊ะ นางนำสมุนไพรออกมาหกชนิดแล้วทยอยใส่เข้าไปในเตาหลอมยาสามครั้ง
ยาสมุนไพรหกชนิดนี้มีไว้สำหรับถอนพิษไฟหนาวในร่างม่อหลิงหาน
ส่วนยาสมุนไพรอีกสามชนิดบนโต๊ะเอาไว้ถอนพิษชนิดใหม่บนร่างเขา
เยว่เฟิงเกอหยิบตะบันไฟมา เมื่อจุดไฟที่เตาหลอมเสร็จก็จดจ่ออยู่ที่เตาเพียงอย่างเดียว
เพียงไม่นานก็มีควันสีดำลอยออกมา
เยว่เฟิงเกอรีบปิดจมูกปิดปากตน และแสดงท่าทีบอกให้พวกม่อหลิงหานปิดทั้งจมูกและปากไว้แล้วออกไปจากหอแปดทิศ
เมื่อทุกคนออกไปจากหอแปดทิศแล้ว ควันสีดำก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีเขียว
เฉียวเฟยถามเยว่เฟิงเกอด้วยความกังวลเล็กน้อย “พระชายา ตอนนี้ยิ่งมีควันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
เยว่เฟิงเกอหันไปส่งสายตาบอกให้เฉียวเฟยวางใจ “เ้าวางใจได้ ประเดี๋ยวควันเหล่านี้ก็จะค่อยๆ สลายไปเอง”
เฉียวเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หมดกังวลทันที
ทว่า ถานอี้กลับยังรู้สึกแปลกใจยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่ากลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาล้วนเป็สีเขียว เขาเอ่ยถาม “พระชายา เหตุใดควันพวกนี้ถึงดูประหลาดนัก อีกทั้งเหตุใดต้องหลอมยาในห้อง ไม่ออกมาหลอมในสวนพ่ะย่ะค่ะ? ”
เยว่เฟิงกอหันศีรษะไปยิ้มตาหยี กล่าวตอบ “เพราะควันสีเขียวนี้เป็ควันพิษอย่างไรเล่า ควันพิษเหล่านี้สามารถกำจัดกระไอพิษในหอแปดทิศได้ ข้าจึงเลือกหลอมยาในห้อง”
ตอนที่เยว่เฟิงเกอมาถึงที่หอแปดทิศ นางก็ได้กลิ่นกระไอพิษจากสถานที่แห่งนี้แล้ว
“หา? ควันพิษ? ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นถานอี้และเฉียวเฟยต่างก็พากันตกตะลึง
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ม่อหลิงหานคิดไม่ถึงก็คือ ในหอแปดทิศแห่งนี้มีกระไอพิษอยู่ด้วย
หากไม่ใช่เยว่เฟิงเกอพูดออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ััไม่ได้
ม่อหลิงหานมองเยว่เฟิงเกอตาไม่กะพริบ อยากดูว่านางจะพูดอะไรต่อไป
เยว่เฟิงเกอไม่ปิดบัง กล่าวออกไปตามจริง “ที่จริงแล้วพิษไฟหนาวในร่างท่านอ๋องจะใช้ยาธรรมดาทั่วไปในการถอนพิษไม่ได้ มีแค่ยาพิษที่ข้าหลอมออกมาถึงจะถอนได้ ดังนั้น ยาที่ก่อนหน้านี้ข้าป้อนให้ท่านอ๋องก็คือยาพิษ”
คำพูดของเยว่เฟิงเกอทำให้เฉียวเฟยและถานอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ม่อหลิงหานยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่เยว่เฟิงเกอถึงได้วิ่งออกไปอาเจียน
ที่แท้นางก็ไม่ได้รังเกียจเขา แต่วิ่งออกไปอาเจียนเอาพิษออกมา
ม่อหลิงหานมองสตรีข้างกายที่ไม่สนความเป็ความตายของตนเพื่อช่วยชีวิตเขา หัวใจที่เคยเ็าพลันอบอุ่นขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นแล้วกระไอพิษในหอแปดทิศ มันเื่อะไรกัน? ” ม่อหลิงหานกอดเยว่เฟิงเกอไว้ในอ้อมแขน ถามนางเบาๆ ที่ข้างหู
เยว่เฟิงเกอกล่าวตอบ “ตอนที่ข้ามาถึงหอแปดทิศ ข้าััได้ถึงกลิ่นอายพิษในเรือนแห่งนี้ เพียงแต่เมื่อครู่ตอนที่ข้าช่วยท่านอ๋อง ไม่ได้พูดถึงเื่นี้ออกมา แต่พวกท่านวางใจ กระไอพิษพวกนี้ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายคน แค่อาศัยการเคลื่อนกำลังภายในก็สามารถขจัดพิษนี้ออกไปได้”
ม่อหลิงหานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ส่วนเฉียวเฟยและถานอี้ยิ่งตื่นตะลึงกับวิชาแพทย์ของเยว่เฟิงเกอมากขึ้น
เพียงไม่นานควันในหอแปดทิศก็สลายหายไปพร้อมๆ กับขจัดกระไอพิษภายในออกไปด้วย
เยว่เฟิงเกอเดินนำเข้าไปในหอแปดทิศ โดยมีพวกม่อหลิงหานตามเข้าไปติดๆ
เยว่เฟิงเกอเปิดเตาหลอม จากนั้นตักยาพิษสีเขียวด้านในมาเก็บไว้ในขวดกระเบื้องเคลือบ
นางส่งขวดกระเบื้องเคลือบนั้นให้ม่อหลิงหาน “ท่านอ๋อง ยาพิษในขวดนี้ท่านต้องแบ่งใช้สามครั้ง วันนี้ท่านใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้น ต้องรอจนร่างกายขับออกมาจนหมดแล้วถึงจะใช้ยาพิษในขวดนี้ได้อีกครั้ง หรือก็คือท่านจะสามารถดื่มมันได้อีกครั้งในวันมะรืน”
ม่อหลิงหานไม่พูดอะไร เขาเพียงอืมไปคำหนึ่งแล้วเก็บขวดยานั้นไว้
ตอนนี้เขาเชื่อเยว่เฟิงเกออย่างไม่มีข้อกังขาใด เขาเชื่อว่าเยว่เฟิงเกอไม่มีทางทำร้ายเขา
เยว่เฟิงเกอเริ่มหลอมยาอีกชนิด ทว่า ครั้งนี้เป็ยาถอนพิษจริงๆ ไม่ใช่ยาพิษ นางนำสมุนไพรทั้งสามมาใส่ในเตาหลอม โดยแบ่งใส่เป็สองครั้ง หลังจากนั้นปล่อยให้เตาหลอมทำงานของมันไป เพียงไม่นานก็มีกลิ่นหอมลอยออกมา
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้กลิ่นหอมนี้ก็รู้แล้วว่ายาถอนพิษใกล้จะหลอมสำเร็จแล้ว
ฉับพลันนั้นในเตาหลอมก็ส่งเสียง “เป๊าะ” ขณะที่ไฟด้านล่างเองก็มอดดับ