นี่เป็ครั้งแรกที่เขาสงสัยในความสามารถที่แท้จริงของเฟิ่งเฉี่ยน ไม่แน่ว่าเฟิ่งเฉี่ยนอาจจะมีความสามารถจริงๆ เป็คู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับน้องชายหรือ
ไม่ เป็ไปไม่ได้!
ต่อให้นางเป็ยอดฝีมือ ก็เป็เพียงเื่บังเอิญเท่านั้น คิดจะเอาชนะน้องชายเขา ไม่มีทางเป็ไปได้เด็ดขาด!
ดังนั้น เขาไม่มีอะไรต้องกังวล!
ทว่าฮองเฮาของเป่ยเยียนที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้กับที่คนกล่าวถึงกลับกลายเป็คนละคน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในใจของเขามีแต่ความกังขา
ตำหนักหงเหวิน ข่าวยังไม่ถูกรายงานมา ไท่จื่อน้อยมองไปด้านนอกประตูตำหนัก คิ้วขมวดมุ่นเพราะเป็กังวล
เฟิ่งชังเห็นแล้วทนไม่ได้จึงเอ่ยปากปลอบโยน “ไท่จื่อ ก็แค่การประลองหมากกระดานหนึ่ง เป็เกมเท่านั้น ไม่ต้องจริงจังเกินไป!”
เขาคิดจะเกริ่นให้หลานตัวน้อยทำใจแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เขาตั้งความหวังไว้สูงและอาจต้องรู้สึกผิดหวังมากกระทั่งรับไม่ได้หากผลการแข่งขันออกมากลายเป็หมากขาวพ่ายแพ้
แต่เขาไม่รู้เลยว่า หมากเกมนี้ในสายตาเขาสำหรับไท่จื่อน้อยแล้ว มันกลับเป็ศึกที่เป็ตัวชี้ชะตาว่าเขาและเสด็จแม่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันหรือต้องจากกัน ดังนั้น เมื่อไท่จื่อน้อยได้ยินคำพูดของเขา จึงอดที่จะกระบอกตาแดงก่ำไม่ได้ ปากเล็กๆ นั้นเบะออกด้านข้างเล็กน้อย มองเขาด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ ท่าทางราวกับใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มแก่
เฟิ่งชังใจนสะดุ้งโหยง ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิด ไฉนปฏิกิริยาของหลานตัวน้อยจึงได้ประหลาดเช่นนี้
มีคนเข้ามาจากด้านนอกท้องพระโรงเพื่อรายงานในเวลานี้ “ทูลฝ่าา คุณชายสามสกุลเฟิ่งอยู่ด้านนอกตำหนัก มีเื่ด่วนขอเข้าพบท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งชังได้ยินเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นกล่าวว่า “ฝ่าา กระหม่อมไปสักครู่ก็กลับมาพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อพุ่งความสนใจไปที่กระดานหมาก จึงโบกมือให้เขาส่งๆ เฟิ่งชังรับรู้จึงรีบก้าวเท้าออกไปจากท้องพระโรง
ด้านนอกท้องพระโรง เฟิ่งเทียนรุ่ยเดินไปเดินมาด้วยใจที่ร้อนประหนึ่งไฟสุม เห็นบิดาออกมาอย่างมิง่ายดายเขารีบก้าวเข้าไปรับหน้า “ท่านพ่อ เกิดเื่ใหญ่แล้วขอรับ!”
น้ำเสียงของเขาก้องกังวานเกินไป ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น
เฟิ่งชังขมวดคิ้วอย่างมิพอใจ ลากเขาเดินมายังสถานที่ปลอดผู้คนแล้วอบรมสั่งสอน “รีบร้อนลนลานจนเป็อะไรไปแล้ว ข้าสอนเ้ามากี่ครั้ง ไม่ว่าเผชิญหน้ากับเื่ใดต้องควบคุมสติให้ได้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเ้าก็ต้องมีสติ!”
เฟิ่งเทียนรุ่ยพูดอย่างร้อนใจ “ท่านพ่อ ข้าสนใจอะไรไม่ได้มากนัก เกิดเื่ใหญ่แล้วจริงๆ ขอรับ!”
เฟิ่งเชิงพูดอย่างไม่เห็นด้วย “อยู่ดีๆ จะเกิดเื่ใหญ่อะไรได้”
เฟิ่งเทียนรุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็ผู้เดินหมากกับซือคงเซิ่งเจี๋ย”
เฟิ่งชังตอบส่งๆ “ข้ารู้สิ! มิใช่เฟิงเฉี่ยน แม่นางเฟิง ผู้นั้นหรือ”
เฟิ่งเทียนรุ่ยพูดต่ออีกว่า “เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางเฟิงผู้นั้นเป็ใคร”
เฟิ่งชังตอบพร้อมกลับกลอกตาขาวราวกับสิ้นความอดทน “นางมิใช่นางกำนัลคนหนึ่งหรือ”
เฟิ่งเทียนรุ่ยส่ายหน้าราวกับกลองปอหลางกู่[1] “นางไม่ใช่นางกำนัล!”
เฟิ่งชังสิ้นความอดทน “ไม่ใช่นางกำนัล เช่นนั้นจะเป็อะไรได้”
ดวงตาทอประกายกล้านั้นจ้องบิดาเขม็งยากจะระงับความตื่นเต้นในใจได้ “ที่จริง ท่านก็รู้จักแม่นางเฟิงคนนั้น ไม่เพียงแต่รู้จัก ท่านยังคุ้นเคยกับนางมากด้วย”
ครั้งนี้เฟิ่งชังหรี่ตาลงด้วยความแปลกใจ “ข้ารู้จักนาง อีกทั้งคุ้นเคยกับนางเป็อย่างมากด้วย สตรีวัยสาวที่ข้าพอจะรู้จักอยู่นั้นมีคนเป็ยอดฝีมือในการเดินหมากล้อมหรือ”
เฟิ่งชังพลันนึกถึงอะไรบางอย่างได้ เขาตบเข่าฉาดเมื่อเชื่อมโยงเื่ราวทั้งหมดได้ “ข้ารู้แล้วว่านางเป็ใคร! เ้าเด็กคนนี้ ถึงกับปิดบังข้า เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไปเดินหมากกับคนอื่นหรือ”
เขาพลันหัวเราะเสียงดังลั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ “ดี ดีเหลือเกิน! เมื่อสักครู่ข้ายังกังวลใจว่าฝ่าาสนใจแม่นางเฟิงคนนี้เหลือเกิน ไม่ส่งผลดีต่อสกุลเฟิ่งของข้า ตอนนี้ข้าวางใจแล้ว ข้าวางใจได้แล้วจริงๆ! ล้วนเป็คนในครอบครัวเดียวกัน เรือล่มในหนองแท้ๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ...”
เริ่มแรกเฟิ่งเทียนรุ่ยคิดว่าบิดาทายถูกแล้ว แต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆ กลับคิดว่ายิ่งไม่ค่อยถูกต้อง “ท่านพ่อ คนที่ท่านพูดถึงนั้นเป็ใครกัน พวกเราพูดถึงคนๆ เดียวกันหรือไม่ขอรับ”
“ย่อมต้องเป็คนเดียวกันสิ!” เฟิ่งชังมีสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ “คนๆ นี้ที่เ้าพูดถึงมิใช่น้องสาวบุญธรรมของเ้า เซียนเอ๋อร์ หรือ ในบรรดาสตรีวัยสาวที่ข้ารู้จัก และมีทักษะในการเดินหมากล้อมเยี่ยมยอดเช่นนี้ มีเพียงนาง! พูดขึ้นมาแล้ว เซียนเอ๋อร์ไปจากสกุลเฟิ่งเพื่อติดตามอาจารย์ของนางไปฝึกยุทธ์ที่เมืองหลวงเป็เวลาหกปีแล้ว หกปีก่อน นางฉายแววว่ามีสติปัญญาและพร์เหนือผู้อื่น ดังนั้นจึงทำให้อาจารย์ของนางเลือกนางและพานางไปฝึกยุทธ์ในเมืองหลวง จำได้ว่าตอนนั้นทักษะการเดินหมากล้อมของนางอยู่ในขั้นดีเยี่ยมแล้ว อยู่เหนือพวกเ้าหลายคนพี่น้อง! เวลาผ่านมาหกปี ด้วยการอบรมสั่งสอนของอาจารย์ของนาง ฝีมือการเดินหมากของนางย่อมต้องดียิ่งขึ้น!”
พูดถึงบุตรสาวบุญธรรมของเขา คิ้วตาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เฟิ่งเทียนรุ่ยกลับส่ายหน้า “ผิดแล้ว ผิดแล้ว! คนๆ นี้ที่ข้าพูดถึง มิใช่เซียนเอ๋อร์!”
“มิใช่ เซียนเอ๋อร์หรือ แล้วจะเป็ใครได้อีก” เฟิ่งชังประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก
เฟิ่งเทียนรุ่ยลังเลเล็กน้อย “ท่านพ่อ คนที่ข้าจะพูดออกมานั้น ท่านต้องเตรียมตัวเตรียมใจสักหน่อย อย่าได้สิ้นสติไปเล่า!”
เฟิ่งชังทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเหลือกตาขาว “บิดาของเ้าเป็คนชนิดใดกัน คลื่นลมและอุปสรรคใดไม่เคยพบมาบ้าง ยังต้องถูกคนๆ หนึ่งทำให้สิ้นสติได้ เ้าอย่ามัวแต่โยกโย้ รีบพูดออกมาเถิด! ฝ่าาและขุนนางทั้งหลายล้วนอยู่ด้านใน ข้าออกมานานนักไม่ได้ เพื่อไม่ให้มีคนแทงข้างหลังข้า!”
เฟิ่งเทียนรุ่ยกลืนน้ำลายลงคอแล้วสูดลมหายใจลึกๆ เขาพูดช้าๆ “ท่านยังจำนามของแม่นางเฟิงได้หรือไม่”
เฟิ่งชังแทบจะสิ้นความอดทน “จำได้! นางมิใช่ชื่อ เฟิงเฉี่ยน หรือ เฟิง ที่มีความหมายว่าลม เฉี่ยน ที่หมายความว่า จางหรือบาง!”
เฟิ่งเทียนรุ่ยกลับส่ายหน้า “ไม่ถูกต้อง! นางมิได้ชื่อ เฟิงเฉี่ยน นางชื่อ เฟิ่งเฉี่ยน! นางก็คือน้องหญิงสี่ของข้า บุตรสาวของท่าน และเป็ฮองเฮาแห่งแค้วนเป่ยเยียน--เฟิ่งเฉี่ยน!”
วินาทีถัดมา เฟิ่งชังแน่นิ่งไปทั้งร่าง คล้ายกับกลายเป็ก้อนหิน ไม่เคลื่อนไหว
เฟิ่งเทียนรุ่ยเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงก้าวเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปโบกเบื้องหน้าดวงตา “ท่านพ่อ ท่านไม่เป็ไรกระมัง ท่านพ่อ--”
เฟิ่งชังยังคงยืนทื่ออยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าแข็งค้างเนิ่นนาน ร่างของเขาเริ่มโอนไปเอนมา คล้ายว่ากำลังจะล้มลง
เฟิ่งเทียนรุ่ยรีบเข้าไปประคองเขา “ท่านพ่อ ท่านสบายดีหรือไม่ มิใช่บอกว่าไม่ถูกทำให้ใจนสิ้นสติหรอกหรือ”
เฟิ่งชังยื่นมือออกมาจับบุตรชาย หลังจากยืนมั่นคงแล้ว ดวงตาเจิดจ้าทั้งคู่ของเขาถลึงใส่บุตรชาว “เ้าพูดอีกครั้ง นางเป็ใคร”
เฟิ่งเทียนรุ่ยฉีกยิ้ม เขาพูดอีกครั้ง “นางก็คือน้องหญิงสี่ของข้า บุตรสาวของท่าน และเป็ฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยเยียน--เฟิ่งเฉี่ยน!”
มือทั้งคู่ของเฟิ่งชังจับแขนของบุตรชายเอาไว้มั่น เขาจ้องบุตรชายเขม็ง “เ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด”
เฟิ่งเทียนรุ่ยส่ายหน้าและตอบอย่างมั่นใจ “ไม่มีทางดูผิดเด็ดขาด! นางก็คือน้องหญิงสี่ เฟิ่งเฉี่ยน!”
เงียบไปราวๆ สิบวินาที ต่อมาเฟิ่งชังผลักบุตรชายออกแล้วปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ...”
เขากระจ่างแจ้งแล้ว เหตุใดฝ่าาและไท่จื่อน้อยล้วนใส่ใจผลแพ้ชนะของหมากขาวเช่นนี้ เหตุใดเมื่อเขาวางเดิมพันข้างหมากขาวเป็ฝ่ายพ่ายแพ้ ปฏิกิริยาตอบโต้ของไท่จื่อน้อยจึงได้รุนแรงเพียงนี้ ที่แท้ผู้ที่เดินหมากขาว เป็บุตรสาวของเขานี่เอง!
เขาถึงกับวางเดิมพันให้บุตรสาวของตนเองเป็ฝ่ายพ่ายแพ้ กลับเป็ศัตรูคู่แค้นของเขา หลี่หรงเต๋อ ที่วางเดิมพันว่าบุตรสาวของเขาจะชนะ นี่มันเย้ยหยันกันเกินไปแล้ว!
เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทำอย่างไรก็หยุดหัวเราะไม่ได้
องครักษ์และขันทีที่อยู่ไม่ไกลนักได้แต่เมียงมองมาด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดเื่อันใดขึ้น
[1] กลองปอหลางกู่ คือ กลองป๋องแป๋ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้