คนที่มาหาตระกูลเฉิงที่ตรอกหยางหลิ่วมีไม่มากนัก
นอกจากบ้านห้าตระกูลเฉิงที่มักจะมาเยี่ยมนางหลิ่วเป็ประจำแล้ว ผู้อื่นไม่ค่อยให้ความสนใจครอบครัวของเฉิงชิงเท่าไร แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในอำเภอเดียวกัน บ้านอื่นของตระกูลเฉิงก็ล้วนเ็าอย่างยิ่ง
จู่ๆ ก็มีญาติมาเยี่ยมเยียนครอบครัวเฉิงชิง เพื่อนบ้านในละแวกนั้นรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก
ซือเยี่ยนส่งเสียงดัง ซือโม่พูดจาฉะฉาน อธิบายความเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลฉีและตระกูลเฉิงอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็คือญาติผู้พี่ทางสายเืของคุณหนูใหญ่ วันนี้มาเยี่ยมเยียนถึงที่ คุณหนูใหญ่ย่อมดีใจเป็แน่!”
บรรดาเพื่อนบ้านพยักหน้าเห็นด้วย ล้วนอดไม่ได้ที่จะค้านซือโม่ในใจ
แม้คู่ครองเดิมของใต้เท้าเฉิงจะด่วนจากไปนานแล้ว สุดท้ายก็ยังหลงเหลือบุตรทางสายเือยู่ หากตระกูลฉีมีใจรักและทะนุถนอมบุตรสาวคนโตตระกูลเฉิงจริงๆ ย่อมมาเยี่ยมเยียนถึงที่ตั้งนานแล้วสิ
อยู่อำเภอหย่งหยางข้างเคียงนี้เองไม่ใช่คนต่างเมือง ระยะห่างในการมาเยี่ยมเยือน หากพึ่งสองเท้าเดินทางมาก็ไม่ถึงครึ่งปีอยู่ดี
เฮ้อ ไม่ต้องพูดแล้ว!
ฉีเหยียนซงถูกผู้คนสำรวจด้วยสายตาที่ผิดแปลกไป รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง รีบผลักเด็กรับใช้ที่พามาด้วยเข้าไปยังเรือนน้อยที่ครอบครัวเฉิงชิงเช่าอาศัยอยู่
นางหลิ่วเองก็คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉีจะมาอย่างกะทันหัน พอได้ยินว่าเป็คุณชายรองตระกูลฉี จิตใต้สำนึกก็สั่งให้ผลักบุตรสาวคนโตกลับเข้าห้อง สั่งให้บุตรสาวคนโตแต่งตัวให้สวยงาม
นางหลิ่วเพิ่งจะทอดปลาพร้อมกับบุตรสาวคนโตในครัว การทำครัวไหนเลยจะรักษาความสวยงามเรียบร้อยได้ คู่หมั้นพบหน้ากันครั้งแรกไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหลงเหลือความประทับใจที่ดีไว้ให้ว่าที่สามี
บุตรสาวคนโตตื่นเต้นทั้งเขินอาย เพิ่งกลับมาในห้องพร้อมกับน้องสาวทั้งสอง ฉีเหยียนซงก็พาคนบุกเข้ามาแล้ว
เรือนก็เล็กขนาดนี้ เกือบจะเบียดกับบุตรสาวคนโตตรงลานบ้านแล้ว
บนตัวนางหลิ่วยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ ในมือถือจานแป้งทอดไว้ จะวางก็ไม่ได้ จะเรียกฉีเหยียนซงกินแป้งทอดก็ยิ่งกระอักกระอ่วน
เหตุใดคุณชายรองฉีท่านนี้ถึงเป็คนใจร้อนถึงเพียงนี้?
แต่นางก็ไม่ใช่อาทางสายเืของฉีเหยียนซง ไหนเลยจะแสดงความคิดเห็นได้
นางหลิ่วจึงทำได้เพียงเชิญฉีเหยียนซงนั่งดื่มชาอย่างเกรงใจ ฉีเหยียนซงเรียกนางว่า “ฮูหยินหลิ่ว” นางหลิ่วก็ไม่ใส่ใจ
นางหลิ่วไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรกับฉีเหยียนซง และไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าภายในใจของฉีเหยียนซงในยามนี้ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้น
ครอบครัวของอาเขยเฉิงตกต่ำลงมาถึงเพียงนี้ เรือนเล็กคับแคบ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทั่วแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็ที่อยู่อาศัยของนางหลิ่วและบุตรชายหญิงตระกูลเฉิง ในบ้านไม่มีแม้กระทั่งหญิงรับใช้รินชา เด็กรับใช้ทั้งสองคนก็เดินไปเดินมา ไม่แบ่งแยกเรือนนอกเรือนใน เด็กรับใช้ชายปรนนิบัติสตรี ไร้ระเบียบเช่นนี้—— เมื่อคิดไปถึงว่าคู่หมั้นในนามของตนติดต่อกับเด็กรับใช้ชายด้วยตนเองทั้งวัน แม้ฉีเหยียนซงจะไม่ยอมรับการแต่งงาน แต่ก็ยังรู้สึกว่าบนศีรษะของตนมีแสงสีเขียว[1]เลือนรางอยู่
อีกทั้งครอบครัวของอาเขยก็อาศัยอยู่ในห้องที่เล็กเช่นนี้ ทั้งยังจ้างคนรับใช้ไม่ไหว สามารถเห็นได้ว่าคนในตระกูลเฉิงไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเท่าใดนัก
เช่นนั้นที่เขามาเยี่ยมคารวะที่ตรอกหยางหลิ่ว ใช้การมาหาญาติผู้น้องมาเป็ข้ออ้างแต่ที่จริงแล้วคิดขอความช่วยเหลือ…เป้าหมายนี้จะสามารถบรรลุได้จริงๆ หรือ?
ฉีเหยียนซงราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม[2] น้ำชาที่ซือโม่ยกให้เขาก็ยากที่จะไหลผ่านลำคอได้
ความประทับใจแรกซึ่งก็คือความไม่ยินดีและการต่อต้านทำให้ฉีเหยียนซงมองอะไรก็ไม่รื่นตา
ประจวบเหมาะกับที่บุตรสาวคนโตได้น้องสาวทั้งสองช่วยแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยออกมารับแขกพอดี
บุตรสาวคนรองและบุตรสาวคนที่สามตั้งใจมาก เมื่อรู้ว่าว่าที่สามีของพี่ใหญ่มาแล้ว สองพี่น้องเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแต่ก็ไม่ได้ประณีตนัก พวกนางยินยอมที่จะเป็ไม้ประดับให้กับบุตรสาวคนโต
บุตรสาวคนโตวัยสิบเจ็ดปีผิวขาวใสกระจ่าง ใบหน้ารูปไข่ห่าน คิ้วเหมือนใบหลิ่ว ริมฝีปากแดงแม้ไม่ได้แต่งแต้ม พอเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าพี่ชาย พวงแก้มก็ย้อมเป็สีแดง
นี่คือความงามของหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในสายตาผู้คน อ่อนโยนแต่ไม่เกินงาม เขินอายสามส่วน อีกเจ็ดส่วนปล่อยเป็ตามธรรมชาติได้จู่โจมฉีเหยียนซงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“น้องสาว?”
เฮ้อ ไม่เคยมีใครบอกเขามาก่อนเลยว่าญาติผู้น้องงดงามเพียงนี้!
ฉีเหยียนซงถูกบุตรสาวคนโตทำให้ตกตะลึง พริบตานั้นเขาถึงกับรู้สึกว่าแต่งงานกับญาติผู้น้องที่งดงามผู้นี้ตามการหมั้นหมายเดิมก็ไม่แย่นัก
แต่ว่าเมื่อกวาดสายตามองเรือนเล็กอันคับแคบ ฉีเหยียนซงก็พลันได้สติขึ้นมาแล้ว
แม้จะไม่ค่อยได้พบแม่นางน้อยที่งดงาม แต่ถ้าหาอย่างพิถีพิถันก็สามารถหาพบได้ แต่งภรรยาก็แต่งกับผู้ที่คู่ควร บ้านภรรยาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำคัญกว่าความงามนัก!
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่ท่าทีของฉีเหยียนซงหลังจากได้พบบุตรสาวคนโตก็เปลี่ยนไปเป็กระตือรือร้นเป็มิตรไม่น้อย ระหว่างแลกเปลี่ยนถ้อยคำทักทายกัน เขาแสดงถึงความกังวลของตระกูลฉีที่มีต่อบุตรสาวคนโต แน่นอนว่าไม่อาจเอ่ยว่าตระกูลฉี้าหลีกเลี่ยง เพียงได้แต่กล่าวว่าตนเองเพิ่งรู้ว่าบุตรสาวคนโตกลับมายังหนานอี๋ อีกทั้งเอ่ยว่าหลังจากนี้ตนเองก็จะมาเล่าเรียนที่หนานอี๋ ยามปกติก็ยังจะสามารถดูแลครอบครัวของบุตรสาวคนโตได้
“นี่ก็เป็ความประสงค์ของคนในครอบครัวเช่นกัน พวกท่านย่าต่างก็เป็ห่วงน้องสาว หากไม่ใช่ว่าสุขภาพของท่านแม่ไม่ค่อยดี อีกทั้งท่านย่าก็อายุมากแล้ว ย่อมต้องมาหาน้องสาวด้วยตนเองเป็แน่”
บุตรสาวคนโตตาแดงแล้ว “เป็ข้าที่อกตัญญู ไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนที่อำเภอหย่งหยาง”
บุตรสาวคนโตไม่ได้สงสัยในถ้อยคำของฉีเหยียนซงแม้แต่น้อย นางมีความประทับใจที่ดีมากกับตระกูลฉีของท่านย่า ใน่หลายปีก่อนหน้านี้ตระกูลฉีก็ยังส่งคนมามอบสิ่งของให้นางอยู่บ่อยครั้ง ย่อมต้องรักและทะนุถนอมนางแน่
อีกทั้งญาติผู้พี่ฉีก็กล่าวว่าหลังจากนี้จะมาเล่าเรียนที่อำเภอหนานอี๋ เพียงแค่คิดถึงเหตุผลในการจัดการเช่นนี้ของตระกูลฉีแล้วบุตรสาวคนโตก็หน้าแดง
นางหลิ่วเองก็มีท่าทียิ้มแย้ม
ถึงแม้นางจะกล่าวคำสาบานกับเฉิงชิง แต่กลับมายังอำเภอหนานอี๋นานขนาดนี้แล้วตระกูลฉีไม่ได้ส่งคนมาหาเลย นางหลิ่วเองก็กังวลว่าเื่แต่งงานของบุตรสาวคนโตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
เฮ้อ เป็นางที่คิดเลอะเทอะไปเอง คุณชายรองฉีไม่ได้มาถึงที่แล้วหรือ ถึงขนาดจะรั้งอยู่ที่อำเภอหนานอี๋เพื่อดูแลบุตรสาวคนโต ตระกูลฉีทำถึงขั้นนี้แล้ว จะสงสัยความจริงใจของตระกูลฉีอีกก็เป็การไม่เหมาะสมเกินไปแล้ว!
ทั้งครอบครัวมีสตรีสี่นาง ต่างยินดีที่ฉีเหยียนซงมาหา พอฉีเหยียนซงกล่าวว่าตนเองยังไม่ถูกสถานศึกษารับเข้า นางหลิ่วและบุตรสาวคนโตต่างก็สนใจขึ้นมา
“เหตุใดจึงไม่รับ?”
“ท่านพี่อย่าได้กังวลไปเลย น้องชายเองก็เล่าเรียนอยู่ที่สถานศึกษา ข้าจะให้น้องชายไปสอบถามให้เ้าค่ะ!”
นางหลิ่วและบุตรสาวคนโตต่างกังวลแทนเขา หลังจากฉีเหยียนซงจุดชนวนขึ้นไม่นานนักก็ขอตัวกลับ แม้นางหลิ่วจะรั้งตัวเขาไว้ให้ทานข้าวก็ไม่ยินยอม ยังกล่าวอีกว่าสิ่งสำคัญที่สุดของตระกูลเฉิงคือการฝ่าฟันวิกฤตในขณะนี้ไปให้ได้ ไม่จำเป็ต้องใช้จ่ายมากมายเพื่อเขา
หลังจากส่งฉีเหยียนซงแล้ว นางหลิ่วก็นำผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา ดีใจแทนบุตรสาวคนโตอย่างแท้จริง
“ฮุ่ยเหนียง การกำหนดการแต่งงานของเ้านี้ช่างดีเหลือเกิน”
ซือโม่ได้ยินเข้าก็อยากกลอกั์ตา
ความสามารถด้านการเล่าเรียนของคุณชายรองฉีเป็อย่างไรไม่อาจพูดได้ แต่เก่งกาจในการแสดงละครนัก หากไม่ใช่ว่าซือโม่จับตาดูฉีเหยียนซงมาหนึ่งเดือนกว่าเต็มๆ ก็คงจะถูกการแสดงของคนผู้นี้หลอกเอาแล้ว
“ฮูหยินขอรับ ้าให้ข้าน้อยไปแจ้งนายน้อยว่านายน้อยผู้พี่มาเยี่ยมเยียนหรือไม่ขอรับ?”
นางหลิ่วลังเล “จะรบกวนการเรียนของชิงเกอเอ๋อร์หรือไม่”
“หากนายน้อยทราบว่านายน้อยผู้พี่มาเยี่ยมถึงที่ ย่อมต้องยินดีอย่างแน่นอน อีกทั้งเื่ของนายน้อยผู้พี่ ให้นายน้อยเร่งไปสอบถามให้ดีหรือไม่ขอรับ…”
ซือโม่โน้มน้าวนางหลิ่วได้แล้ว
ยังดีที่นางหลิ่วทอดปลาไว้มากมาย จึงหากล่องใส่อาหารแล้วให้ซือโม่นำไปให้เฉิงชิงที่สถานศึกษาบางส่วน ซือโม่ก็ยกของออกจากประตูไป ยามปกติซือเยี่ยนจะพยายามไม่อยู่ภายในเรือน เหลือเพียงพวกนางหลิ่วสี่แม่ลูก บุตรสาวคนรองและบุตรสาวคนที่สามต่างรุมล้อมเย้าแหย่พี่สาว คนหนึ่งกล่าวว่าญาติผู้พี่ฉีนั้นหล่อเหลา อีกคนกล่าวว่าญาติผู้พี่ฉีน้ำเสียงอ่อนโยน บุตรสาวคนโตที่เขินอายไม่พูดคุยกับน้องสาวทั้งสองอยู่นาน
แม้ทั้งครอบครัวจะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับกลมเกลียวและมีชีวิตชีวา ภายในเรือนหลังน้อยเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ
ฉีเหยียนซงไปจากบ้านของเฉิงชิงแล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดียวกัน อีกทั้งเด็กรับใช้ก็เอ่ยยกยอเขา
“คุณหนูผู้น้องช่างงดงามเสียจริง ราวกับเซียนที่ออกมาจากภาพวาดเลยนะขอรับ!”
ญาติผู้น้องที่งดงามเช่นนั้นมองเขาด้วยความเขินอาย ฉีเหยียนซงภูมิใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่ายหน้าวิจารณ์ “ญาติผู้น้องเติบโตมาไม่เลวก็จริง แต่เมื่อเทียบกับซือซือก็ยังขาดความสง่างามอยู่บ้าง”
——พอเขาแต่งภรรยาที่มีภูมิหลังครอบครัวที่โด่งดัง ก็ค่อยรับญาติผู้น้องและซือซือมาอยู่ด้วย มีคนงามสองคนแนบอก นี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิตดั่งเทพเซียน!
[1] มาจากสำนวน “สวมหมวกเขียว” หมายถึงถูกนอกใจ
[2] ราวกับนั่งอยู่บนพรมเข็ม หมายถึงจิตใจพะว้าพะวังไม่เป็สุข
